ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้ปล่อยผ่านไป เพราะมันก็เหมือนเป็นปัญหาจากการทำงานทั่วๆไป แต่นั่งนึกดูแล้ว มันน่าจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น เรียกได้ว่าเป็นปัญหาของสังคมไทย เป็นปัญหาที่เกิดจากคน จากทัศนะคติแย่ๆของคน คนที่เรียกตัวเองว่า “ข้าราชการ”
มันคือเรื่องของคนพิการ บริษัทเอกชน ข้าราชการ และประชารัฐครับ ตามกำหมายการจ้างงานคนพิการ บริษัทเอกชนที่มีพนักงาน 100 คน จะต้องจ้างคนพิการเข้าทำงาน 1 คน แต่โดยทั่วๆไปแล้ว บริษัทมักจะหาคนพิการมาทำงานไม่ค่อยได้ หรือรูปแบบของธุรกิจ หรือสภาพการทำงานอาจจะไม่ค่อยสะดวกที่จะให้คนพิการเข้ามาทำงาน
บริษัทจึงเลือกส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยจ่ายเป็นเช็คจำนวน 109,500 บาท (เรียกว่าส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามมาตรา 34) มีพนักงานเท่าไหร่ ต้องรับคนพิการเท่าไหร่ ก็คูณๆหารๆกันไป ทำให้มันเสร็จๆไปภายในเดือนมกราคมก็จบกัน
แต่มกราคมปีนี้อยู่ดีๆ ก็มีคำสั่งจากคณะประชารัฐมาบอกว่า ไม่ให้จ่ายเช็ค 109,500 บาทเข้ากองทุนคนพิการฯ ตามมาตรา 34 นะจ๊ะ ให้ดำเนินการตามมาตรา 35 แทน ทำให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม คำถามคือ ประชารัฐมายังไง? และมาตรา 35 คืออะไรว๊า?
อ่านประชารัฐได้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.thaihealth.or.th/Content/34285-%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1.html
สรุปคือความร่วมมือของภาครัฐ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) เอกชน (บริษัทเอกชนต่างๆ โดยประธานหอการค้าไทยเป็นหัวหน้าทีม) และภาคประชาสังคม (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ซึ่งมีบริษัทเอกชนหลายๆบริษัทเข้าอยู่ในคณะนี้ด้วย ซึงบริษัทที่เราทำงานอยู่ก็เป็นหนึ่งในคณะประชารัฐนี้ จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 35 ด้วยเพราะผู้ใหญ่สั่งมา
บริษัทเราได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.sif.or.th/
เป็นคนมาอธิบายวัตถุประสงค์ ที่มา ขั้นตอนต่างๆ และเป็นผู้ประสานงานให้ในเรื่องนี้ สิ่งที่เราได้รู้จากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมคือ
บริษัทเอกชนอย่างพวกเราๆเนี่ย ส่งเงินเข้ากองทุนคนพิการฯ ปีละ 2,000 กว่าล้านบาท แต่เงินไม่ถูกนำออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ พูดภาษาบ้านๆ คือเงินมันไม่ถึงคนพิการ แต่จริงๆ มันก็มีการใช้จ่ายผ่านหน่วยงานราชการต่างๆแหละ แต่ประชาชนอย่างพวกเราเห็นหรือเปล่าหล่ะ ว่าคุณภาพชีวิตคนพิการในประเทศเราดีขึ้น???
และคนพิการรู้หรือเปล่าว่าพวกเค้ามีเงินสนับสนุนทุกปีๆละ 2,000 กว่าล้านบาท พวกเค้าอาจจะไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าเค้าจะเข้าถึงเงินทุนตรงนี้ ต้องไปขอกู้จากกองทุนคนพิการฯ ซึ่งจะให้คนละไม่เกิน 40,000 บาท และต้องผ่อนคืนภายใน 5 ปี แล้วส่วนมากก็คือกู้ไม่ผ่าน ข้อมูลปี 2559 ผลการอนุมัติการกู้ยืมเงินกองทุนคนพิการฯ 470,053,271 บาท (มีเงิน 2,000 กว่าล้าน แต่ปล่อยเงินออกมา 400 กว่าล้าน)
ดูข้อมูลได้จากใน link
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://dep.go.th/?q=fund-approved-results&stat_fiscal_year=2559
แล้วเราก็ได้รู้ว่ามาตรา 35 คืออะไร? และมีประโยชน์อย่างไร? คือมันมีประโยชน์มาก เพราะเงินมันจะไปถึงคนพิการโดยตรง แทนที่บริษัทจะเอาเช็คจำนวน 109,5000 บาทจ่ายเข้ากองทุนคนพิการฯ ก็เปลี่ยนเป็นโอนเงินจำนวนนี้ไปให้คนพิการแทน เช่น คนพิการที่อยู่ตามต่างจังหวัด เค้าอาจไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายที่จะสามารถมาทำงานในบริษัท เค้าต้องการอยู่ที่บ้านกับครอบครัว แต่เค้ามีความรู้ความสามารถทำการเกษตรได้ ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงวัว หรือขายของเล็กๆน้อยๆ อะไรก็ว่าไป เงินตรงนี้แหละที่จะไปเป็นเงินทุนให้เค้าสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ มีความภาคภูมิใจในการทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง หรือกับหน่วยงานราชการเอง เช่น โรงพยาบาล อบต.ฯ ที่สามารถรับคนพิการเข้าทำงานได้ แต่ไม่มีงบประมาณจ้างคน บริษัทก็สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปจ้างคนพิการ ให้ไปทำงานที่หน่วยงานราชการต่างๆได้เหมือนกัน
แล้วในฐานะคนทำงานบริษัทเอกชนที่ดูแลเรื่องนี้ได้อะไร
- ได้ทำเอกสารต่างๆเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล (หนังสือมอบอำนาจ หนังสือรับรองบริษัท อากรแสตมป์ ตามล่าลายเซ็นผู้บริหารฯ)
- ได้ติดต่อหน่วยงานราชการเพิ่มขึ้น คือ กรมจัดหางาน
- ต้องไปๆมาๆ ระหว่างสำนักงานจัดหางานกับกองทุนคนพิการฯ
- ต้องทำเรื่องจ่ายเงินให้คนพิการเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2 ครั้งบ้าง บางคนต้องทำเรื่องจ่ายเงินเป็นรายเดือน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ลองเปรียบเทียบกับการทำเช็คจ่ายใบเดียวแล้วจบเลยดู ว่าเราลำบากขึ้นมากแค่ไหน
ใครจะทำ? แต่พวกเราทำครับ เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำ ที่เราลำบากกันอยู่เนี่ย มันเทียบไม่ได้เลยกับความลำบากของคนพิการ และสิ่งที่เราลำบากกันเนี่ย มันเทียบไม่ได้เลยกับผลประโยชน์ที่คนพิการจะได้รับ
ขั้นตอนการดำเนินการเป็นอย่างนี้ครับ ขออธิบายประมาณนี้ครับ
- บริษัทเอกชนจะต้องไปทำบัตรนายจ้างที่สำนักงานจัดหางานพื้นที่
- เตรียมเอกสารของบริษัท รวมกับเอกสารของผู้พิการที่เราจะช่วยเหลือ (ในส่วนนี้ของเราทางมูลนิธินวัตกรรมเตรียมมาให้)
- ยื่นเอกสารทั้งหมดให้กรมจัดหางาน เพื่อให้เค้าออกหนังสือแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35
- นำเอกสารอีกส่วนหนึ่ง รวมถึงหนังสือแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35 ไปยื่นที่กองทุนคนพิการฯ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ลองเปรียบเทียบกับการนำเช็คไปให้กองทุนคนพิการฯ แล้วจบเลย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และจุดประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้อยู่ตรงนี้ครับ อยู่ตรงพฤติกรรมของข้าราชการ!!!
ก่อนอื่นเราเข้าใจครับว่า ข้าราชการเค้าต้องทำงานตรงส่วนนี้เยอะขึ้น เพราะอยู่ดีๆ ก็มีงานงอกเข้ามา สำนักงานจัดหางาน ซึ่งโดยปกติแทบจะไม่ต้องทำเรื่องมาตรา 35 เลย (เพราะบริษัทเอกชนทำเช็คจ่ายไปที่กองทุนคนพิการกันหมด) ก็ต้องมาทำงานเพิ่มากขึ้น กองทุนคนพิการฯ จากที่แค่ยื่นมือรับเช็ค ก็ต้องมาทำเรื่องมาตรา 35 เพิ่มขึ้น เข้าใจได้คัรบ ว่าคงจะมี process ตามมาไม่น้อย
ระบบ “แย่” เพราะการทำงานล่าช้ามาก เนื่องจากเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานที่ดูเรื่องนี้บางพื้นที่มีคนเดียว แต่บริษัทมาทำเรื่องนี้เยอะมาก ทำให้ทำไม่ทัน ทั้งๆที่รู้ว่าโครงการประชารัฐมีนโยบายให้บริษัทเอกชนจำนวนมากทำเรื่องมาตรา 35 แต่ก็ไม่มีการวางแผนรับมือเลย
ไม่เป็นไรครับ ช้า เราก็รอได้
แต่ที่แย่ที่สุด คือ “คน” นี่แหละครับ คนที่เป็น “ข้าราชการ” ตอนไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานจัดหางาน ก็ทำหน้าตาไม่พอใจ เพราะบริษัทเอกชนมายื่นเรื่องกันเยอะ เค้าต้องทำงานเพิ่มขึ้น พูดว่า “
มากันเยอะแบบนี้ จะไปทำทันได้ยังไง???”
ตอนไปยื่นกับเจ้าหน้าที่กองทุนคนพิการฯ เนื่องจากทางสำนักงานจัดหางานออกหนังสือแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35 ให้เราไม่ทัน เราจึงได้แค่สำเนาการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35 มายื่นกับทางกองทุนคนพิการฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ขึ้นเสียงกับเราว่า “ยังไงก็ต้องนำเอกสารแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์จากจัดหางานมาให้ภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้เท่านั้น ถ้าได้ไม่ทัน คุณก็ต้องเอาเช็คมาจ่ายพร้อมเสียค่าปรับด้วย” ซึ่งเราก็ได้อธิบายไปแล้วว่า ทางสำนักงานจัดหางานออกหนังสือฯ ให้เราไม่ทัน เค้าก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยังไงก็ต้องได้ก่อน 31 มีนาคมนี้
จากเหตุการณ์นี้ที่ได้เจอพฤติกรรมของข้าราชการไทย ก่อนอื่นเราเข้าใจว่าทุกคนก็มีหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมองแต่ตัวเอง ไม่ได้มองภาพรวม ว่าสิ่งที่พวกเราทำอยู่คือการช่วยเหลือคนพิการให้ได้รับประโยชน์มากขึ้น คุณอยากทำงานให้น้อยๆ อยากให้งานของตัวเองเสร็จเร็วๆ แบบนี้แย่ครับ คุณไม่ควรที่จะมาอยู่ในหน่วยงานที่ต้องดูแลคนพิการ หรือดูแลประชาชนเลย น่าจะหางานที่มันเหมาะสมกับนิสัยส่วนตัวของพวกคุณทำมากกว่า
ลองเข้าไปใน link นี้ดูก็ได้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://dep.go.th/?q=th/qa
(ถาม/ตอบ) จะได้เห็นว่าเค้าไม่เคยมาตอบคำถามคนพิการที่มีเรื่องเดือดร้อนเลย เลือกตอบแต่คำถามที่เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น
คนพิการ บริษัทเอกชน ประชารัฐ และเฮ้อ ข้าราชการ!
มันคือเรื่องของคนพิการ บริษัทเอกชน ข้าราชการ และประชารัฐครับ ตามกำหมายการจ้างงานคนพิการ บริษัทเอกชนที่มีพนักงาน 100 คน จะต้องจ้างคนพิการเข้าทำงาน 1 คน แต่โดยทั่วๆไปแล้ว บริษัทมักจะหาคนพิการมาทำงานไม่ค่อยได้ หรือรูปแบบของธุรกิจ หรือสภาพการทำงานอาจจะไม่ค่อยสะดวกที่จะให้คนพิการเข้ามาทำงาน
บริษัทจึงเลือกส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยจ่ายเป็นเช็คจำนวน 109,500 บาท (เรียกว่าส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามมาตรา 34) มีพนักงานเท่าไหร่ ต้องรับคนพิการเท่าไหร่ ก็คูณๆหารๆกันไป ทำให้มันเสร็จๆไปภายในเดือนมกราคมก็จบกัน
แต่มกราคมปีนี้อยู่ดีๆ ก็มีคำสั่งจากคณะประชารัฐมาบอกว่า ไม่ให้จ่ายเช็ค 109,500 บาทเข้ากองทุนคนพิการฯ ตามมาตรา 34 นะจ๊ะ ให้ดำเนินการตามมาตรา 35 แทน ทำให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม คำถามคือ ประชารัฐมายังไง? และมาตรา 35 คืออะไรว๊า?
อ่านประชารัฐได้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปคือความร่วมมือของภาครัฐ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) เอกชน (บริษัทเอกชนต่างๆ โดยประธานหอการค้าไทยเป็นหัวหน้าทีม) และภาคประชาสังคม (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ซึ่งมีบริษัทเอกชนหลายๆบริษัทเข้าอยู่ในคณะนี้ด้วย ซึงบริษัทที่เราทำงานอยู่ก็เป็นหนึ่งในคณะประชารัฐนี้ จึงต้องดำเนินการตามมาตรา 35 ด้วยเพราะผู้ใหญ่สั่งมา
บริษัทเราได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เป็นคนมาอธิบายวัตถุประสงค์ ที่มา ขั้นตอนต่างๆ และเป็นผู้ประสานงานให้ในเรื่องนี้ สิ่งที่เราได้รู้จากมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมคือ
บริษัทเอกชนอย่างพวกเราๆเนี่ย ส่งเงินเข้ากองทุนคนพิการฯ ปีละ 2,000 กว่าล้านบาท แต่เงินไม่ถูกนำออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ พูดภาษาบ้านๆ คือเงินมันไม่ถึงคนพิการ แต่จริงๆ มันก็มีการใช้จ่ายผ่านหน่วยงานราชการต่างๆแหละ แต่ประชาชนอย่างพวกเราเห็นหรือเปล่าหล่ะ ว่าคุณภาพชีวิตคนพิการในประเทศเราดีขึ้น???
และคนพิการรู้หรือเปล่าว่าพวกเค้ามีเงินสนับสนุนทุกปีๆละ 2,000 กว่าล้านบาท พวกเค้าอาจจะไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าเค้าจะเข้าถึงเงินทุนตรงนี้ ต้องไปขอกู้จากกองทุนคนพิการฯ ซึ่งจะให้คนละไม่เกิน 40,000 บาท และต้องผ่อนคืนภายใน 5 ปี แล้วส่วนมากก็คือกู้ไม่ผ่าน ข้อมูลปี 2559 ผลการอนุมัติการกู้ยืมเงินกองทุนคนพิการฯ 470,053,271 บาท (มีเงิน 2,000 กว่าล้าน แต่ปล่อยเงินออกมา 400 กว่าล้าน)
ดูข้อมูลได้จากใน link
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วเราก็ได้รู้ว่ามาตรา 35 คืออะไร? และมีประโยชน์อย่างไร? คือมันมีประโยชน์มาก เพราะเงินมันจะไปถึงคนพิการโดยตรง แทนที่บริษัทจะเอาเช็คจำนวน 109,5000 บาทจ่ายเข้ากองทุนคนพิการฯ ก็เปลี่ยนเป็นโอนเงินจำนวนนี้ไปให้คนพิการแทน เช่น คนพิการที่อยู่ตามต่างจังหวัด เค้าอาจไม่ได้มีความรู้อะไรมากมายที่จะสามารถมาทำงานในบริษัท เค้าต้องการอยู่ที่บ้านกับครอบครัว แต่เค้ามีความรู้ความสามารถทำการเกษตรได้ ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงวัว หรือขายของเล็กๆน้อยๆ อะไรก็ว่าไป เงินตรงนี้แหละที่จะไปเป็นเงินทุนให้เค้าสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ มีความภาคภูมิใจในการทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง หรือกับหน่วยงานราชการเอง เช่น โรงพยาบาล อบต.ฯ ที่สามารถรับคนพิการเข้าทำงานได้ แต่ไม่มีงบประมาณจ้างคน บริษัทก็สามารถนำเงินจำนวนนี้ไปจ้างคนพิการ ให้ไปทำงานที่หน่วยงานราชการต่างๆได้เหมือนกัน
แล้วในฐานะคนทำงานบริษัทเอกชนที่ดูแลเรื่องนี้ได้อะไร
- ได้ทำเอกสารต่างๆเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล (หนังสือมอบอำนาจ หนังสือรับรองบริษัท อากรแสตมป์ ตามล่าลายเซ็นผู้บริหารฯ)
- ได้ติดต่อหน่วยงานราชการเพิ่มขึ้น คือ กรมจัดหางาน
- ต้องไปๆมาๆ ระหว่างสำนักงานจัดหางานกับกองทุนคนพิการฯ
- ต้องทำเรื่องจ่ายเงินให้คนพิการเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2 ครั้งบ้าง บางคนต้องทำเรื่องจ่ายเงินเป็นรายเดือน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ลองเปรียบเทียบกับการทำเช็คจ่ายใบเดียวแล้วจบเลยดู ว่าเราลำบากขึ้นมากแค่ไหน
ใครจะทำ? แต่พวกเราทำครับ เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำ ที่เราลำบากกันอยู่เนี่ย มันเทียบไม่ได้เลยกับความลำบากของคนพิการ และสิ่งที่เราลำบากกันเนี่ย มันเทียบไม่ได้เลยกับผลประโยชน์ที่คนพิการจะได้รับ
ขั้นตอนการดำเนินการเป็นอย่างนี้ครับ ขออธิบายประมาณนี้ครับ
- บริษัทเอกชนจะต้องไปทำบัตรนายจ้างที่สำนักงานจัดหางานพื้นที่
- เตรียมเอกสารของบริษัท รวมกับเอกสารของผู้พิการที่เราจะช่วยเหลือ (ในส่วนนี้ของเราทางมูลนิธินวัตกรรมเตรียมมาให้)
- ยื่นเอกสารทั้งหมดให้กรมจัดหางาน เพื่อให้เค้าออกหนังสือแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35
- นำเอกสารอีกส่วนหนึ่ง รวมถึงหนังสือแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35 ไปยื่นที่กองทุนคนพิการฯ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ลองเปรียบเทียบกับการนำเช็คไปให้กองทุนคนพิการฯ แล้วจบเลย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และจุดประสงค์ของการตั้งกระทู้นี้อยู่ตรงนี้ครับ อยู่ตรงพฤติกรรมของข้าราชการ!!!
ก่อนอื่นเราเข้าใจครับว่า ข้าราชการเค้าต้องทำงานตรงส่วนนี้เยอะขึ้น เพราะอยู่ดีๆ ก็มีงานงอกเข้ามา สำนักงานจัดหางาน ซึ่งโดยปกติแทบจะไม่ต้องทำเรื่องมาตรา 35 เลย (เพราะบริษัทเอกชนทำเช็คจ่ายไปที่กองทุนคนพิการกันหมด) ก็ต้องมาทำงานเพิ่มากขึ้น กองทุนคนพิการฯ จากที่แค่ยื่นมือรับเช็ค ก็ต้องมาทำเรื่องมาตรา 35 เพิ่มขึ้น เข้าใจได้คัรบ ว่าคงจะมี process ตามมาไม่น้อย
ระบบ “แย่” เพราะการทำงานล่าช้ามาก เนื่องจากเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานที่ดูเรื่องนี้บางพื้นที่มีคนเดียว แต่บริษัทมาทำเรื่องนี้เยอะมาก ทำให้ทำไม่ทัน ทั้งๆที่รู้ว่าโครงการประชารัฐมีนโยบายให้บริษัทเอกชนจำนวนมากทำเรื่องมาตรา 35 แต่ก็ไม่มีการวางแผนรับมือเลย
ไม่เป็นไรครับ ช้า เราก็รอได้
แต่ที่แย่ที่สุด คือ “คน” นี่แหละครับ คนที่เป็น “ข้าราชการ” ตอนไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานจัดหางาน ก็ทำหน้าตาไม่พอใจ เพราะบริษัทเอกชนมายื่นเรื่องกันเยอะ เค้าต้องทำงานเพิ่มขึ้น พูดว่า “มากันเยอะแบบนี้ จะไปทำทันได้ยังไง???”
ตอนไปยื่นกับเจ้าหน้าที่กองทุนคนพิการฯ เนื่องจากทางสำนักงานจัดหางานออกหนังสือแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35 ให้เราไม่ทัน เราจึงได้แค่สำเนาการขอใช้สิทธิ์ตามมาตรา 35 มายื่นกับทางกองทุนคนพิการฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ขึ้นเสียงกับเราว่า “ยังไงก็ต้องนำเอกสารแจ้งผลการขอใช้สิทธิ์จากจัดหางานมาให้ภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้เท่านั้น ถ้าได้ไม่ทัน คุณก็ต้องเอาเช็คมาจ่ายพร้อมเสียค่าปรับด้วย” ซึ่งเราก็ได้อธิบายไปแล้วว่า ทางสำนักงานจัดหางานออกหนังสือฯ ให้เราไม่ทัน เค้าก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยังไงก็ต้องได้ก่อน 31 มีนาคมนี้
จากเหตุการณ์นี้ที่ได้เจอพฤติกรรมของข้าราชการไทย ก่อนอื่นเราเข้าใจว่าทุกคนก็มีหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าคุณมองแต่ตัวเอง ไม่ได้มองภาพรวม ว่าสิ่งที่พวกเราทำอยู่คือการช่วยเหลือคนพิการให้ได้รับประโยชน์มากขึ้น คุณอยากทำงานให้น้อยๆ อยากให้งานของตัวเองเสร็จเร็วๆ แบบนี้แย่ครับ คุณไม่ควรที่จะมาอยู่ในหน่วยงานที่ต้องดูแลคนพิการ หรือดูแลประชาชนเลย น่าจะหางานที่มันเหมาะสมกับนิสัยส่วนตัวของพวกคุณทำมากกว่า
ลองเข้าไปใน link นี้ดูก็ได้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(ถาม/ตอบ) จะได้เห็นว่าเค้าไม่เคยมาตอบคำถามคนพิการที่มีเรื่องเดือดร้อนเลย เลือกตอบแต่คำถามที่เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่น