สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ไม่เชื่อเพราะ
1.พระภิกษุเล่นหุ้นไม่ได้
2.จะโอนให้คนอื่นเล่นแทนก็เสี่ยงไป
3.เจ้าภาพมีกำลังทรัพย์มากมาย รับปัจจัยที่นำมาถวายเลยง่ายกว่า
4.รายจ่ายในวัดไม่ใช่น้อย งานก่อสร้างเพียบ จะมีเงินเอาไว้เล่นซักเท่าไหร่ เสียเวลา เสี่ยงด้วย
อันนี้พูดแบบที่คนทั่วไปน่าจะลองคิดเล่นๆ
ส่วนที่คนวัดมองคือ วัดมีกฎระเบียบชัด ตั้งแต่สมัยคุณยายยังอยู่ว่าห้ามทำธุรกิจกันในวัด
ถ้าท่านทำซะเอง ท่านอยู่ไม่ได้แน่นอน
1.พระภิกษุเล่นหุ้นไม่ได้
2.จะโอนให้คนอื่นเล่นแทนก็เสี่ยงไป
3.เจ้าภาพมีกำลังทรัพย์มากมาย รับปัจจัยที่นำมาถวายเลยง่ายกว่า
4.รายจ่ายในวัดไม่ใช่น้อย งานก่อสร้างเพียบ จะมีเงินเอาไว้เล่นซักเท่าไหร่ เสียเวลา เสี่ยงด้วย
อันนี้พูดแบบที่คนทั่วไปน่าจะลองคิดเล่นๆ
ส่วนที่คนวัดมองคือ วัดมีกฎระเบียบชัด ตั้งแต่สมัยคุณยายยังอยู่ว่าห้ามทำธุรกิจกันในวัด
ถ้าท่านทำซะเอง ท่านอยู่ไม่ได้แน่นอน
ความคิดเห็นที่ 57
ไม่เช่ือ อย่างยิ่ง
ท่านอายุ 72 ปีแล้ว เป็นพระ ไม่มีทายาท
และ ลองอ่านบทความนี้ดู
" ข้อกล่าวหา "เอาเงินวัดมาเล่นหุ้น" คนกล่าวหา มีความรู้เรื่องการเงินติดลบทีเดียว
วัดหรือโบสถ์ในศาสนจักรทุกแห่งทั่วโลก รวมทั้งสำนักคุณไสยสารพัด มีสินค้าหลักที่เป็นจุดขายโดดเด่นคือ ศรัทธา" ซึ่งไม่สามารถตีค่าต้นทุนได้ แต่ตีออกมาเป็นมูลค่าทางธุรกรรมได้
การตลาดที่เน้นศรัทธาแบบนี้เรียกว่า holistic marketing ที่ส่งต่อให้เกิดธุรกรรมทางการเงินในแบบ holistic finance ได้
หลักการง่ายๆของ holistic finance คือ แปลงศรัทธาให้เป็นทุนทรัพย์ หรือ เรียกให้เพราะคือ holistic OPM นั่นเอง โดยที่ ศรัทธาวัดต้นทุนไม่ได้ จึงมีค่าต้นทุนในทางบัญชีใกล้กับ 0 แต่สามารถสร้าง"ส่วนเหลื่อม"หรือ พรีเมี่ยมของมูลค่า ได้หลายสิบหลายร้อยเท่า
การะดมทุนทรัพย์โดยมีจุดขายเป็นศรัทธานี้ ดีกว่าตลาดการเงิน ตลาดหุ้น หรือตลาดตราสารหนี้มากน้อยแค่ไหน ตอบได้ว่าดีกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะHolistic OPM เป็นไปตามหลัก"3ไม่" คือ 1) ไม่ต้องจ่ายปันผลเหมือนระดมทุนขายหุ้น 2) ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเหมือนตราสารหรี้หรือสินเชื่อเงินกู้ หรือบัตรเครดิต 3) ไม่มีใครอ้างเป็นหุ้นส่วน 4) ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีหน้าที่ต่อกันและกันภายหน้าในธุรกรรมที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง
สวนลอยแห่งบาบิโลเนียนในอดีต ,วิหารทองคำในรัฐปัญจาบของชาวซิกข์ ,หินกาบะห์ที่เมกกะของมุสลิม ,วาติกันของสำนักคาธอลิก ,วัดเส้าหลินของพุทธมหายาน และวัดพระธรรมกายของพุทธหีนยาน ถูกสร้างขึ้นมาให้เห็นความมั่งคั่งที่เป็นรูปธรรม ในรายละเอียดที่ต่างกันออกไป แต่มีฐานรากเดียวกันคือ ศรัทธา
ในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา การะดมทุนขนาดใหญ่ สามารถทำได้หลากรูป แต่ที่ง่ายสุด และทำกันประจำคือ การทอดผ้าป่า (ปีละหลายครั้ง)และ ทอดกฐินปีละครั้ง (ไม่นับงานกิจกรรมอื่นๆ)
ไม่มีความจำเป็นต้องหาเงินเพิ่มด้วยการทำอย่างอื่น โดยเฉพาะเอาเงินให้คนมาเล่นหุ้น ที่ใครๆก็รู้ดีว่า เป็นขาขึ้นปีละแค่ 4 เดือน เป็นขาลงเสีย 8 เดือน ที่สำคัญ .... ถูกตรวจสอบเส้นทางเงินง่ายสุด "
( ชัดเจน เข้าใจง่าย)
( Cr.คุณ วิษณุ )
ท่านอายุ 72 ปีแล้ว เป็นพระ ไม่มีทายาท
และ ลองอ่านบทความนี้ดู
" ข้อกล่าวหา "เอาเงินวัดมาเล่นหุ้น" คนกล่าวหา มีความรู้เรื่องการเงินติดลบทีเดียว
วัดหรือโบสถ์ในศาสนจักรทุกแห่งทั่วโลก รวมทั้งสำนักคุณไสยสารพัด มีสินค้าหลักที่เป็นจุดขายโดดเด่นคือ ศรัทธา" ซึ่งไม่สามารถตีค่าต้นทุนได้ แต่ตีออกมาเป็นมูลค่าทางธุรกรรมได้
การตลาดที่เน้นศรัทธาแบบนี้เรียกว่า holistic marketing ที่ส่งต่อให้เกิดธุรกรรมทางการเงินในแบบ holistic finance ได้
หลักการง่ายๆของ holistic finance คือ แปลงศรัทธาให้เป็นทุนทรัพย์ หรือ เรียกให้เพราะคือ holistic OPM นั่นเอง โดยที่ ศรัทธาวัดต้นทุนไม่ได้ จึงมีค่าต้นทุนในทางบัญชีใกล้กับ 0 แต่สามารถสร้าง"ส่วนเหลื่อม"หรือ พรีเมี่ยมของมูลค่า ได้หลายสิบหลายร้อยเท่า
การะดมทุนทรัพย์โดยมีจุดขายเป็นศรัทธานี้ ดีกว่าตลาดการเงิน ตลาดหุ้น หรือตลาดตราสารหนี้มากน้อยแค่ไหน ตอบได้ว่าดีกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะHolistic OPM เป็นไปตามหลัก"3ไม่" คือ 1) ไม่ต้องจ่ายปันผลเหมือนระดมทุนขายหุ้น 2) ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเหมือนตราสารหรี้หรือสินเชื่อเงินกู้ หรือบัตรเครดิต 3) ไม่มีใครอ้างเป็นหุ้นส่วน 4) ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีหน้าที่ต่อกันและกันภายหน้าในธุรกรรมที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง
สวนลอยแห่งบาบิโลเนียนในอดีต ,วิหารทองคำในรัฐปัญจาบของชาวซิกข์ ,หินกาบะห์ที่เมกกะของมุสลิม ,วาติกันของสำนักคาธอลิก ,วัดเส้าหลินของพุทธมหายาน และวัดพระธรรมกายของพุทธหีนยาน ถูกสร้างขึ้นมาให้เห็นความมั่งคั่งที่เป็นรูปธรรม ในรายละเอียดที่ต่างกันออกไป แต่มีฐานรากเดียวกันคือ ศรัทธา
ในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา การะดมทุนขนาดใหญ่ สามารถทำได้หลากรูป แต่ที่ง่ายสุด และทำกันประจำคือ การทอดผ้าป่า (ปีละหลายครั้ง)และ ทอดกฐินปีละครั้ง (ไม่นับงานกิจกรรมอื่นๆ)
ไม่มีความจำเป็นต้องหาเงินเพิ่มด้วยการทำอย่างอื่น โดยเฉพาะเอาเงินให้คนมาเล่นหุ้น ที่ใครๆก็รู้ดีว่า เป็นขาขึ้นปีละแค่ 4 เดือน เป็นขาลงเสีย 8 เดือน ที่สำคัญ .... ถูกตรวจสอบเส้นทางเงินง่ายสุด "
( ชัดเจน เข้าใจง่าย)
( Cr.คุณ วิษณุ )
แสดงความคิดเห็น
หลวงพ่อทัตตชีโว กับตลาดหุ้น เชื่อหรือไม่เชื่อ???
หลายท่านคงทราบข่าวคราวเรื่องที่วัดพระธรรมกาย โดยหลวงพ่อทัตตชีโว ไปเกี่ยวพันกับตลาดหุ้นแล้ว เมื่อมีข่าวนี้ออกมาย่อมแน่นอนว่า ความเชื่อต้องถูกแบ่งออกเป็น ๒ สาย คือเชื่อกับไม่เชื่ออยู่แล้ว
๑. ฝ่ายที่เชื่อก็มีเหตุผลอยู่ ๒ อย่าง คือ
๑.๑ เชื่อเพราะอยากจะเชื่ออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอะไรก็ตามที่ออกมา
เป็นด้านลบของวัดก็พร้อมจะเชื่อทันที เชื่อเพื่อสนองความปรารถนาของตน แต่ถ้าเป็นข่าวด้านบวก ก็ขอคิดดูก่อน
๑.๒ เชื่อเพราะเอาตัวเองไปเทียบ ในเมื่อชีวิตฆราวาส เงิน คือ ตัวความสุข
เงิน คือ ชีวิต ไม่มีอะไรสำคัญกว่าเงิน พระก็คงเช่นเดียวกันกับเรา เมื่อมีช่องทางทำกำไรท่านก็คงจะเลือก โดยลืมไปว่า รูปแบบการครองชีวิตของท่านกับของเรา คนละอย่างละเรื่องกันเลย
๒. ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็มีเหตุผลอยู่ ๒ อย่าง
๒.๑ ไม่เชื่อเพราะ เอาตัวเองไปเปรียบ เช่นเดียวกับกรณี นักข่าวสพ.ไทยรัฐประกาศไม่เชื่อข่าวสีกากับพระยันตระ หลังจากได้ร่วมเดินธุดงค์หนึ่งเดือน
๒.๒ ไม่เชื่อเพราะคิดรอบคอบแล้ว หลวงพ่อทัตตชีโว ท่านได้ตั้งใจบวชตลอดชีวิตเพื่อทำงานรับใช้ศาสนา โดยได้เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ ตั้งแต่
วัยหนุ่ม และปัจจุบันอายุถึง ๗๖ ปีแล้ว ท่านจะเล่นหุ้นไปเพื่ออะไร? และที่สำคัญพระที่มีปฏิทางดงาม เป็นครูที่ดี ตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชรา ' ท่านสละชีวิตฝากไว้กับพุทธศาสนา จำเป็นอะไรที่จะต้องใช้เงินถึงกับต้องไปเล่นหุ้นเฉกเช่นฆราวาสเล่า!! '' เพราะชีวิตท่านอยู่ได้เพราะอาศัยศีล อาศัยธรรมมิใช่อาศัยเงินเช่นฆราวาส '
#แต่ถ้าคิดอย่างผู้ไม่ประมาทจะพบว่า หลวงพ่อทัตตชีโว คือพระสงฆ์เบอร์ ๑ ที่ถูกวางตัวให้เป็นเจ้าอาวาสรูปต่อไป แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ใช่แผนสกัด ไม่ให้ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาส หรือคิดว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย!!
Cr. ผู้ศรัทธาในรอยธรรม