[K-POP] 1 ปี "The Velvet" ความนุ่มนวลที่แฝงไปความขรุขระ

ชั่งใจอยู่นานว่าจะตั้งกระทู้นี้ดีมั้ย ส่วนนึงเพราะอาจจะดูเยอะไปหน่อย
เพราะช่วง 2-3 วีคที่ผ่านมาตั้งกระทู้เกี่ยวกับ Red Velvet ไป 2 กระทู้แล้ว 5555555555
แต่พอมานึกถึงอัลบั้มนี้แล้ว มีเรื่องราวที่อยากพูดค่อนข้างเยอะเลย ประกอบกับผ่านมา 1 ปีพอดิบพอดี เลยตัดสินใจตั้งกระทู้เลยละกันครับ






       ก่อนอื่นขอกล่าวถึงข้อมูลเบื้องต้นของอัลบั้มก่อน The Velvet เป็นมินิอัลบั้มชุดที่ 2 ของสาวๆ Red Velvet ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคมปีที่แล้ว โดยอัลบั้มนี้เปรียบเสมือนภาคต่อจากอัลบั้มเต็มชุดแรกอย่าง The Red ที่ถ้า The Red เน้นไปทางภาพลักษณ์แก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าส์ก๋ากั่นยังไง The Velvet ก็คือด้านตรงข้ามของ The Red อย่างสิ้นเชิง The Velvet นั้นจะเน้นไปที่ภาพลักษณ์นุ่มนวล อ่อนหวาน และมีเสน่ห์ความเป็นผู้หญิงอย่างเต็มที่ อัลบั้มนี้มีเพลง One of These Nights เป็นเพลงโปรโมท


ก่อนจะถึง The Velvet


        ย้อนกลับไปช่วงปล่อยอัลบั้ม The Red ใหม่ๆ มีกระแสเกี่ยวกับ The Velvet มาพอสมควร จากการที่เมมเบอร์อย่างเวนดี้พูดถึง The Velvet ว่าจะออกมาหลังจาก The Red อย่างแน่นอน ในขณะที่ฝั่ง SM กล่าวว่า “ยังไม่มีการตัดสินใจแน่นอน” (ตามสไตล์ SM) กระนั้น แฟนคลับส่วนมากก็แน่ใจว่า The Velvet กำลังจะมาต่อจาก The Red แน่นอน โดยคาดการณ์กันว่าจะเป็น Repackage Album ของ The Red ซึ่งถ้าจำกันได้ ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2015 มีการอัพภาพของสาวๆถ่ายงานอะไรบางอย่างอยู่ หลายคนพุ่งเป้าไปที่ The Velvet กัน แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่




       ล่วงเลยมาถึงช่วงงานประกาศรางวัล Gaon Chart Awards 2016 งานนี้แหละที่ทำให้แฟนคลับจับสังเกตได้ว่าสาวๆกำลังจะคัมแบค เพราะจะเห็นว่าเวนดี้กับเยริใส่วิกผมอย่างชัดเจน (และเป็นวิกที่ไม่เนียนเลย =_=) ปลายผมของซึลกิเป็นสีเทาๆ และเหมือนจะเห็นรอยต่อผมของจอย

       จนมาถึงวันที่ 2 มีนาคม 2016 SM ก็ออกมาประกาศว่าสาวๆได้ทำการถ่ายทำ MV เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมจะคัมแบคในช่วงกลางเดือน ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทีเซอร์แรกก็ถูกอัพโหลดบน Official Instagram ของสาวๆ


#THEVELVET #COMINGSOON


       วันที่ 10 มีนาคม 2016 SM ได้ทำการปล่อยภาพทีเซอร์อัลบั้มใหม่อย่างเป็นทางการ โดยใช้วิธีเดียวกับตอนปล่อยทีเซอร์อัลบั้ม The Red คือการอัพภาพแบบต่อกันใน Instagram ของวง พร้อมติดแฮชแท็ก #THEVELVET #COMINGSOON แต่จะมีความแตกต่างจาก  The Red ตรงที่คราวนี้ SM อัพคลิปเสียงตัวอย่างเพลงในอัลบั้มในรูปทีเซอร์ช่องสุดท้ายของเมมเบอร์แต่ละคน (ยกเว้นเยริ) โดยภาพทีเซอร์แรกนั้นเป็นของเยริ ต่อด้วยซึลกิ จอย เวนดี้ และไอรีน ที่สร้างความตื่นเต้นให้แฟนคลับไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นลุคผมทองของเยริ ผมแดงของเวนดี้ หรือการที่จอยตัดผมสั้น



       ในส่วนของรูปแบบและวันปล่อยอัลบั้มนั้น SM แจ้งว่า The Velvet จะเป็นมินิอัลบั้มชุดที่ 2 ของวง และจะปล่อยอัลบั้มในวันที่ 16 มีนาคม โดยจะมีเพลง “One of These Nights” เป็นเพลงโปรโมทหลัก ซึ่ง SM ได้บอกว่าจะเป็นเพลงแนว R&B Ballad และได้ทำการปล่อยทีเซอร์หลักของเพลงมาในวันที่ 14 มีนาคม

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


       ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยเพลงนี้อย่างใจจดใจจ่อ หลายคนนึกภาพว่าเพลงนี้จะมาต่อยอดเพลงคอนเซปต์ Velvet ก่อนหน้าอย่าง Be Natural และ Automatic….. แต่แล้ว ความขรุขระแรกก็เกิดขึ้น


The Roughly "Velvet"


       10 นาทีหลังจากเวลา 00.00น. ของวันที่ 16 มีนาคม อันเป็นวันกำหนดปล่อยเพลง One of These Nights และอัลบั้ม The Velvet ที่แฟนคลับหลายคนกดรีเฟรชหน้า YouTube ของ SM อย่างใจจดใจจ่อแต่ก็ไม่มีอะไรอัพเดทเสียที SM ก็ประกาศเลื่อนการปล่อยอัลบั้ม The Velvet ออกไปเป็นวันที่ 17 มีนาคมแทน โดยให้เหตุผลว่า “เพื่อคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น” เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจต่อแฟนคลับพอสมควร ในวันต่อมา สาวๆ Red Velvet ได้ไปออกรายการวิทยุเพื่อโปรโมทอัลบั้มก็ได้กล่าวขอโทษแฟนคลับที่ต้องรอต่อไปอีก

       ณ จุดเริ่มต้น The Velvet ก็เริ่มจะไม่นุ่มนวลดั่งกำมะหยี่เสียแล้ว

       จนในที่สุด เที่ยงคืนวันที่ 17 มีนาคมของเกาหลี MV เพลง One of These Nights ก็ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ และตัวเพลงก็สร้างความฉงนขึ้นทันที


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


       “จะเอาเพลงนี้ขึ้นสเตจจริงๆหรอ” “ไม่รู้จะเอาไปชนะเอาถ้วยยังไง มีจังหวะเนิบมากไรมากก” “ชอบเพลงนะคะ เเต่คิดว่าไม่น่าเอามาเป็นไตเติ้ล” “ไม่เหมาะจะเอาขึ้นมาเป็น title track เลยให้ตายเหอะ” คือคอมเมนท์ในกระทู้ MV เพลง One of These Nights ในพันทิปบางส่วนที่น่าจะอธิบาย Reaction ของแฟนคลับและหลายๆคนหลังจากฟังเพลงนี้ได้ดี เพราะไม่มีใครคาดคิดเลยว่า One of These Nights จะมาแบบเกือบจะเป็นบัลลาดเต็มขั้น ต่างจาก Be Natural และ Automatic ที่มาในภาพลักษณ์สาวสวยเรียบหรูดูลึกลับกับเพลงแนว Slow Groove ที่คนส่วนใหญ่มองว่า “นี่แหละ Velvet” ในขณะที่ชาร์ทนั้นก็ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


       ในขณะที่ Live Performance นั้นก็สร้างความงุนงงกับคนดูพอสมควร เพราะไม่มีใครคิดว่าเพลงแบบนี้จะมีท่าเต้นได้ และคอมเมนท์ส่วนใหญ่ (เฉพาะในพันทิป) ต่างไปในทางเดียวกันว่า “ท่าเต้นไม่เข้ากับเพลง”

       เรียกได้ว่าคัมแบคครั้งนี้สร้างความกดดันให้ทั้งตัวสาวๆและแฟนคลับเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลตอบรับไม่ดีเท่าเพลงก่อนหน้าอย่าง Dumb Dumb ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพลงชาติของวง อย่างไรก็ตามในความกดดันก็มีเรื่องให้น่ายินดี เมื่อ The Velvet สามารถทำยอดขายอัลบั้มในสัปดาห์แรกในชาร์ท Hanteo ไปได้ถึง 33,190 ก๊อปปี้ ทำสถิติเป็นอัลบั้มของ Red Velvet ที่ทำยอดขายสัปดาห์แรกสูงสุดของวงไปในทันที (ก่อนจะถูก Rookie อัลบั้มล่าสุดทำลายสถิติไป) และเมื่อรวมกับการช่วยกันสตรีมเพลงและดู MV ก็ส่งผลให้ One of These Nights สามารถทำ All-Kill ในรายการเพลงได้ เก็บถ้วยไปได้ครบทุกรายการ จะเห็นได้ว่าสาวๆกดดันกันมากแค่ไหนก็ตอนที่ชนะถ้วยแรกบนเวที The Show สมาชิกบางคนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ทีเดียว

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


     Red Velvet จบการโปรโมทเพลง One of These Nights ไปในวันที่ 3 เมษายน 2016 ในรายการ SBS Inkigayo เก็บถ้วยรายการเพลงไปได้ทั้งสิ้น 5 ถ้วย ทำยอดดิจิตอลในสัปดาห์ Goodbye Stage ไปที่ 239,686 และทำยอดอัลบั้มในเดือนแรกบนชาร์ท Gaon ไปได้ที่ 47,481 ก๊อปปี้



What “The Velvet” left to us



       อัลบั้ม The Velvet และเพลง One of These Nights อาจจะไม่ใช่เพลงที่ประสบความสำเร็จมากเมื่อเปรียบเทียบกับเพลงก่อนหน้าอย่าง Ice Cream Cake, Dumb Dumb หรือแม้แต่เพลงที่ตามหลังมาอย่าง Russian Roulette และ Rookie แต่เมื่อพิจารณาดีๆแล้วนั้นจะเห็นว่า นอกจากจะต่อ Story Red & Velvet ของวงให้สมบูรณ์แล้วนั้น The Velvet คืออัลบั้มที่บ่งบอกถึงการพัฒนาของ Red Velvet ได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่ค่ายใจกล้าให้เพลงบัลลาดเป็นเพลงโปรโมทหลัก ทำให้สมาชิกต้องพัฒนาความสามารถด้านการร้องให้เต็มที่ ซึ่งจาก Live Performance ของเพลงนี้ทำให้เห็นเลยว่าสาวๆพัฒนาความสามารถทางการร้องได้มากแค่ไหน และ Live ที่เป็นเครื่องยืนยันได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็น Live จากรายการ Yoo Heeyeol’s Sketchbook

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


       ส่วนเพลงในอัลบั้มนั้น The Velvet ก็ยิ่งเป็นอัลบั้มที่ตอกย้ำถึงคุณภาพการทำเพลงของวงที่ขึ้นชื่อเรื่องเพลงในอัลบั้มได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น

       Cool Hot Sweet Love เพลงที่ใช้ขึ้นสเตจร่วมกับเพลง One of These Nights ที่หลายๆคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าจะเอาเพลงนี้เป็นเพลงโปรโมทหลักมากกว่า นับเป็นอีกหนึ่ง Best Side Track ของวงเลยทีเดียว

       Light Me Up เพลงแนว R&B ที่หลายๆคนชอบรองจาก Cool Hot Sweet Love ภาคดนตรีของเพลงนี้จัดได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

       First Time เพลงแนว Pop Ballad ที่สมาชิกทุกคนได้โชว์เสียงร้อง ก็เพราะไม่ใช่เบา

       Rose Scent Breeze เพลงรีเมคจากคุณอี ซูมาน ผู้ก่อตั้งค่าย SM ที่ร้องโดยสายร้องของวง (เวนดี้ ซึลกิ จอย) ที่เรียกได้ว่าเป็นเพลงแนวบัลลาดแบบ 100% (ต่างจาก One of These Nights ที่มีแนว R&B มาผสม หรือ First Time ที่มีกลิ่นไอแนว Pop ผสมอยู่) ก็เป็นเพลงที่ทำให้เราได้ทึ่งกับความสามารถด้านการร้องของสายร้องของวงไม่น้อยเลยทีเดียว


       อย่างที่กล่าวไปว่า The Velvet อาจจะไม่ใช่อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Red Velvet หลายคนแทบจะค่อนแคะว่าเป็นคัมแบคที่แป๊ก แต่ The Velvet นั้นก็ทำให้เราเห็นถึงการพัฒนาความสามารถของ Red Velvet ที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้เห็นอีกด้านนึงของ Red Velvet ที่จะไม่ได้เห็นจากเพลงคอนเซปต์ Red หรือ Red+Velvet และที่สำคัญคือ ทำให้แฟนคลับได้ภาคภูมิใจว่าศิลปินเราชอบนั้นเก่งและมีความสามารถแค่ไหนนั่นเอง

       ขอส่งท้ายกระทู้นี้ด้วยคำพูดของแฟนคลับที่พูดกับสาวๆนะครับ

"ทั้ง Red และ Velvet มันดีมากๆ แค่ทำเพลงที่พวกเธออยากทำก็พอ"


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่