“เอาไงดีครับจ่า...”
“ชู่ววว... เงียบไว้... อยู่นิ่งๆ”
จ่ามะโหนกปรามพลทหารสมพงษ์ซึ่งออกอาการร้อนรนไม่อยู่นิ่งด้วยเสียงกระซิบ ทั้งคู่นอนหมอบหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้และกำลังสังเกตการณ์กลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดนประมาณยี่สิบคนที่กำลังสำรวจศพทหารชุดลาดตระเวนที่เพิ่งฆ่าได้ พวกมันกำลังยึดรวบรวมสัมภาระ อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ของศพและเตะศพเล่น ใช้เท้าเหยียบหน้าศพ บ้างก็ใช้ปืนยิงเข้าไปที่ศพอีกเพียงเพื่อความสะใจ สูบบุหรี่และพูดคุยภาษายาวีกันด้วยความกระหยิ่มใจที่ภารกิจซุ่มโจมตีของพวกมันสำเร็จลงอย่างสวยงาม กริยาทั้งหมดนี้ทำให้พลทหารสมพงษ์กัดกรามกรอด นิ้วที่โกร่งไกปืนสั่นพร้อมที่จะลั่นไกส่งกระสุนไปให้ไอ้ตัวที่มันยิงศพเพื่อนของเขาทันที
“ไอ้หนู ! ใจเย็นๆ ไว้ เดี๋ยวก็ได้ตายทั้งคู่หรอก !” จ่ามะโหนกรีบกระซิบเตือนสติลูกน้องของเขาที่เหลือรอดมาเพียงคนเดียว
เมื่อโจรไปหมดแล้ว ทหารทั้งคู่ก็ค่อยๆ โผล่ออกจากพุ่มไม้ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณพื้นที่สังหารที่มีศพเพื่อนทหารร่วมหมู่ลาดตระเวนนอนเรียงรายอยู่ สัมภาระต่างๆ รองเท้าบู๊ต รวมทั้งกระสุนและอาวุธ ถูกปลดออกไปหมด
“เอาล่ะ... รีบไปกันเถอะว่ะ พวกเรายังไม่ปลอดภัยหรอก เท่าที่ดูแถวนี้คงเป็นถิ่นของมันแน่ ”
“ครับจ่า”
แต่เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย รถฮัมวีที่จอดไว้ข้างถนนก็มีสภาพพังเสียหายยับเยิน ไฟลุกท่วมทั่วทั้งคันรถควันโขมง
“เวรตะไลเอ๊ย !! กลางป่าซะด้วย เดินยาวสิแบบนี้ ! ” พลทหารสมพงษ์สบถออกมาด้วยความเดือดดาล
“เอาน่า... อย่างน้อยมันก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเรายังรอด คิดซะว่าเป็นวันฝึกใหญ่กำลังพลสิวะ” ว่าแล้วจ่ามะโหนกก็เริ่มตรวจเช็คอาวุธให้พร้อมใช้งาน
“โห จ่า... ฝึกใหญ่มันยังไม่เท่ากับของจริงแบบวันนี้เลยนะครับ”
“กระสุนเอ็งเหลือเท่าไหร่ ?”
“เอ่อ... แม็กนึงกับอีกที่เหลือในปืนครับ”
“เอ้านี่... เอาไปอีกสองแม็ก บรรจุกระสุนใหม่ซะ ตรวจเช็คอาวุธ อาวุธพร้อมยิง อยู่ในสถานะพร้อมตอบโต้”
เมื่อสั่งการเสร็จและทุกอย่างพร้อมแล้ว จ่ามะโหนกกับลูกน้องก็เริ่มออกเดินเท้าไปตามถนน ข้างทางเป็นป่าดงดิบทั้งสองข้าง มุ่งย้อนกลับสู่กองบัญชาการในตัวอำเภอซึ่งไม่ใช่ใกล้ๆ เลย สิ่งแวดล้อมมีเพียงป่า ถนน และขอบฟ้าเท่านั้น โทรศัพมือถือก็ไม่มีคลื่นสัญญาณ ติดต่อใครไม่ได้
“ซวยจริงๆ... ใจคอจะเอากันให้เหมือนในหนังฮอลลีวู๊ดเลยใช่มั้ย ? ” จ่ามะโหนกบ่นออกมาเบาๆ เมื่อจนปัญญาในการติดต่อโลกภายนอก
“โทรศัพท์ผมก็ใช้ไม่ได้ครับจ่า” พลทหารสมพงษ์หันมารายงานกับผู้บังคับบัญญาชาของเขาหลังจากที่ปลุกปล้ำโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นาน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ...”
ในขณะที่เดินออกมาจากจุดเกิดเหตุได้เพียงครึ่งกิโลเมตรเท่านั้น จ่ามะโหนกจึงหยุดและนึกอะไรขึ้นได้
“นี่ พลทหาร... เอ็งชื่อเล่นว่าอะไรนะ ?”
“พงษ์ครับผม”
“โอเค พงษ์... ตอนนี้เราจะกลับไปที่จุดเกิดเหตุกัน”
“หา !? นี่จ่าล้อเล่นใช่มั้ยครับเนี่ย !?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าคิดอะไรได้แล้ว ถ้าเราทำสำเร็จ.. เราจะรอด แล้วที่นี่ก็จะไม่มีพวกมันอีก”
“อะไรเหรอครับจ่า ?”
“แถวนี้คงมีค่ายบัญชาการใหญ่ของพวกมันอยู่แน่ เราสองคนจะไปบุกค่ายมัน”
“หา !!?”
พลทหารสมพงษ์อุทานออกมา ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาของเขาจะพูดอะไรออกมาได้บ้าระห่ำถึงขนาดนี้
“ด้วยความเคารพครับจ่า ! จ่าจะรนไปหาที่ตายเหรอครับ !? ถึงค่ายนั่นมีจริง... เราแค่สองคนจะสู้กับมันทั้งค่ายได้เหรอ ?”
“เอ็งก็ใช้สมองคิดดูสิวะ ในป่าดงดิบไม่มีคลื่นโทรศัพท์แบบนี้พวกมันอยู่กันได้ยังไง แสดงว่าที่ค่ายมันคงจะมีอะไรใช้ติดต่อโลกภายนอกได้ เราจะใช้ที่นั่นแหละ รายงานไปทางกองร้อยบอกพิกัดให้พวกนั้นรู้ ทลายค่ายมันไปด้วยในตัวซะเลย... ไหนๆ ก็ซวยแล้วให้มันซวยจนถึงที่สุดซะ จะได้รู้กันว่าวันนี้จะรอดไม่รอด... เอ็งไม่อยากแก้แค้นให้เพื่อนเอ็งรึไงวะ? ”
“อยากครับ... แต่...มัน....จะดีเหรอครับจ่า เรายังไม่รู้กันด้วยซ้ำว่าจะมีค่ายที่จ่าว่านี่รึเปล่า”
“ถ้าเอ็งไม่ไปกับข้าก็ไม่เป็นไร ให้เอ็งเดินไปตามถนนเข้าตัวอำเภอให้ได้ พยายามใช้สิ่งที่ข้าฝึกสอนเอ็งมาให้เป็นประโยชน์ด้วย... ข้าจะไปล่ะ โชคดี”
ว่าแล้วจ่ามะโหนกก็เดินกลับมุ่งไปสู่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง ทิ้งลูกน้องให้ยืนอยู่คนเดียว
“จ่า ! รอผมด้วย !”
กลางป่าดงดิบของเทือกเขาแห่งหนึ่งในบริเวนขอบอำเภอ มีหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พัฒนากลายเป็นค่ายใหญ่ของกองโจรแบ่งแยกดินแดน มีแนวกระสอบทรายและลวดหนามวางไปรอบๆ หมู่บ้าน มีรังปืนกลและหอสังเกตการณ์วางอยู่เป็นจุด ปักธงเขียวมีสัญลักษ์พระจันทร์เสี้ยวกับดาวและอักษรภาษาอาหรับ-ยาวีสีขาวอยู่ในผืนธง แปลได้ความว่า ‘เราจะเอาดินแดนของเราคืน’ ภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่อยู่ในนั้นเป็นปฏิปักษ์กับทางรัฐบาลเนื่องจากถูกพวกโจรทำการล้างสมอง กองโจรนี้จึงมีทั้งหญิงและชาย รวมถึงวัยรุ่นที่อาสาร่วมด้วย ทุกคนในหมู่บ้านมีสถานะเป็นนักรบได้ทุกคนหากกองโจรต้องการกำลังเพิ่ม
ในเต๊นท์บัญชาการใกล้ๆ หมู่บ้าน...
“อัสลามมุอะลัยกุม”
“วาอะลัยกุมมุสลาม เป็นยังไงกันบ้าง เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย? ”
“ค่ะหัวหน้า เราฆ่ามันได้ทั้งชุดเลย ฝ่ายเราไม่มีตายซักคน ได้ของมาเยอะด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า..! ดีมาก ! ให้มันรู้ซะมั่งว่านี่ถิ่นใคร”
โจรระดับสั่งการที่เป็นหัวหน้าตบมือหัวเราะด้วยความสะใจ ใบหน้ามีแต่แผลเป็นและหนวดเคราหนาดูเหี้ยมเกรียม แล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู
“ กลุ่มของไอ้ซาอิดโดนพวกมันจับตายไปแล้ว เดือนนี้พวกเราคงต้องเกณฑ์คนอีกแล้วล่ะ... ส่งข่าวไปให้ทางหมู่บ้านซะ ว่าเราต้องการคนเพิ่มอีก ”
“ค่ะ หัวหน้า” โจรแบ่งแยกดินแดนสาวสะพายปืนอาก้ารับคำสั่งและออกจากเต๊นท์ไปทันที
ในขณะที่กำลังเดินตรงไปยังหมู่บ้าน โจรสาวก็สะดุ้งฮวบ ล้มลงไปนอนกับพื้นฝุ่นตลบ ชักกระตุกสองสามเฮือกแล้วแน่นิ่งไป หลักจากนั้นก็มีคนในเครื่องแบบทหารคนหนึ่งลากศพเธอกลับเข้าไปในพงหญ้าหนาทึบข้างทางเดิน
“อ้าว ! ผู้หญิงครับจ่า... เวรจริงๆ” พลทหารสมพงษ์อุทานด้วยความตกตะลึงหลังจากเปิดผ้าโพกหัวชุ่มเลือดของศพโจรสาวที่โดนกระสุนปืนสั้นเก็บเสียงของเขาเจาะเข้าที่กกหูทะลุไปอีกด้าน
“เดี๋ยวนี้มันพัฒนาขึ้นถึงขนาดเอาผู้หญิงมาสู้ด้วยเหรอเนี่ย ไอ้พวกทำลายชาติบ้านเมืองเอ๊ย !”
“เอาไงต่อครับจ่า ?”
“เอ็งรออยู่นี่ เดี๋ยวข้าจะไปเก็บไอ้ตัวที่อยู่ในเต๊นท์เอง อย่าหน้ามืดไปข่มขืนศพเข้าล่ะ”
ตูม !!! ปังปังปังปังปัง..(อ๊ากกก !!!)..ปรอออดดดดด !!!... (กรี๊ดดด!! )…(วี๊ดดดด ว้ายยย!!!)…ตูม !!!
“ไอ้พงษ์ !! เอ็งยิงสกัดพวกมันไปเรื่อยๆ !! ข้าจะไปที่กระท่อมวิทยุมัน !! ” จ่ามะโหนกตะโกนสั่งการพลทหารสมพงษ์ที่กำลังกราดยิงกลุ่มโจรล้มระเนระนาด
“ครับผม !!”
พลทหารสมพงษ์อยู่ในที่กำบังอย่างดีกระหน่ำยิงพวกโจรที่กำลังกรูกันเข้ามาอย่างแม่นยำจนพวกมันล้มกลิ้งกันไปตามๆ กัน ในขณะที่จ่ามะโหนกถือปืนวิ่งบุกตะลุยตรงไปยังกระท่อมที่ตั้งไว้เป็นฐานวิทยุและยิงพวกโจรที่เข้ามาขัดขวางตายเป็นใบไม้ร่วงท่ามกลางพวกชาวบ้านที่วิ่งแตกตื่นกันจ้าละหวั่นด้วยความหวาดกลัว โดนลูกหลงจากการปะทะตายไปก็มี
ครั้นปืนที่ใช้อยู่กระสุนหมด พลทหารสมพงษ์ก็คว้าปืนอีกกระบอกจากศพของศัตรูออกมายิงต่อสู้อีกทันที และทำแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีใครสามารถเข้าไปใกล้เขาได้เลยแม้แต่หลาหนึ่ง
“เข้ามาเลย !! ไอ้พวกเนรคุณบ้านเมือง เข้ามาเลยยย !!! ”
พวกโจรแบ่งแยกดินแดนนั้นเมื่อโดนทหารที่ชำนาญการยุทธแค่สองคนบุกหมู่บ้านเข้าโจมตีจนพวกตนบาดเจ็บล้มตายลงไปเป็นอันมาก ก็สั่งการกันจ้าละหวั่นเป็นภาษายาวีบ้างอาหรับบ้างเพื่อเตรียมล่าถอย พากันหนีออกไปจากหมู่บ้าน พอหนีเข้าไปในป่า พวกมันทุกคนก็โดนกับดักธรรมชาติแบบสมัยสงครามเวียดนามที่จ่ามะโหนกกับพลทหารสมพงษ์ช่วยกันวางดักไว้เมื่อคืนก่อนหน้านั้นเล่นงานเข้า คนหนึ่งโดนแผงเดือยไม้ไผ่แหลมดีดสะบัดแทงเข้าไปที่หน้าอก อีกสามคนพลัดตกลงไปในหลุมกิ่งไม้แหลมที่เหลาไว้ดีแล้วเสียบพรุนไปทั้งร่างตายคาที่สยดสยอง ในขณะที่อีกคนหนึ่งโดนกับดักระเบิดเครโมที่ซ่อนอยู่ในดงกล้วยจนขาขาดลงไปนอนดิ้นร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด นอกนั้นก็โดนกับดักธรรมชาติแบบอื่นๆ ฆ่าตายสยองหมดทั้งกลุ่ม
ปั่ดปั่ดปั่ดปั่ดปั่ด....
เฮลิคอปเตอร์กำลังเสริมสองลำบินลงจอดที่ลานกว้างของหมู่บ้านซึ่งตอนนี้ทหารสังกัดกองพันทหารม้าและทหารพรานได้เข้าควบคุมหมู่บ้านไว้ได้เรียบร้อยแล้ว จับพวกโจรแบ่งแยกดินแดนชายหญิงที่เหลือรอดได้ทั้งหมดเป็นจำนวนหลายสิบคน และให้ชาวบ้านทั้งหมดมานั่งชุมนุมกันกลางหมู่บ้าน จากการสอบสวนพบว่าเป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นมาด้วยเงินทุนของกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังจากประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้
“เป็นยังไงบ้าง สมพงษ์ ลืมตายเลยล่ะสิ”
ผบ.หน่วยกำลังเสริมซึ่งเป็นผู้การยศพันเอกคนหนึ่งเข้ามากล่าวทักทายกับพลทหารสมพงษ์ที่นั่งอยู่ในเต๊นท์หน่วยพยาบาล ซึ่งกำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างหิวกระหายและเอาน้ำที่เหลือเทราดลงบนหัวตัวเอง
“ ครับผู้การ... บุญยังไม่หมดครับผม”
“ พรุ่งนี้ผมจะเสนอชื่อของคุณรายงานไปทางกรมให้คุณได้เลื่อนยศขึ้นเป็นจ่าสิบเอกนะ ด้วยวีรกรรมที่คุณทำเนี่ยแหละ ”
“ ขอบคุณครับผู้การ” พลทหารยิ้มตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วก็ยืนขึ้นตาเบ๊ะทำความเคารพผู้การของเขา ทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมหมวกตามกฏระเบียบ
“ อืม...” พันเอกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตาเบ๊ะตอบลูกน้องคนเก่งของเขาด้วยความไม่ถือสาเรื่องระเบียบการ
“ จ่ามะโหนกก็คงจะได้เลื่อนขั้นด้วยใช่มั้ยครับผู้การ ? ”
“ ใช่ เราได้เลื่อนยศให้เขาเป็นพันตรีไปแล้ว แล้วก็เลื่อนยศให้คนอื่นๆ ที่ตายด้วย... เฮ้อ... คนเก่งและรักชาติแบบถวายชีวิตอย่างจ่ามะโหนกเนี่ย หาได้ยากมาก ไม่น่าเลยจริงๆ... เงินเยียวยานี่ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ครอบครัวของจ่ามะโหนกหายโศกเศร้าได้หรอกนะ เสาหลักของครอบครัวทั้งคน”
“ !? ” ว่าที่จ่าสิบเอกสมพงษ์นิ่งกึกเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้การของเขา
“ อ... อะไรนะครับ ? ”
“ รู้มั้ย... ทางเราเองก็นึกว่าชุดลาดตระเวนของคุณโดนฆ่าหมดทั้งชุด ไม่นึกว่าจะมีเพียงคุณที่รอดออกมาได้คนเดียวแบบนี้ แถมยังทำภารกิจเสี่ยงตายด้วยตัวคนเดียวอีก แล้วก็สามารถวางกับดักสนามฆ่าศัตรูได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไหนจะใช้วิทยุของมันติดต่อบอกพิกัดให้พวกเรารู้ตำแหน่งอีกด้วย... คุณคงจะจำสิ่งจ่ามะโหนกฝึกสอนได้เป็นอย่างดีเลยแน่ๆ...
เขาเองก็ได้ตายในหน้าที่ไปแล้วอย่างสมเกียรติเมื่อวานนี้ ตอนที่ชุดลาดตระเวนอีกชุดหนึ่งพบศพของเขากับทหารคนอื่นๆ ในจุดที่โดนซุ่มโจมตี พวกเราเสียใจกับการจากไปของเขามากจริงๆ... ต่อไปนี้ไม่มีจ่ามะโหนกแล้ว ฮีโร่อย่างคุณก็คงต้องรับหน้าที่แทนเขาล่ะนะ... จ่าสมพงษ์ ”
ว่าที่จ่าสิบเอกสมพงษ์ตัวแข็งทื่อตาเบิกโพลง ช็อคกับคำพูดของผู้การของเขาสุดขีด หน้าซีด มือไม้สั่นไปหมด... แล้วที่ผ่านมาล่ะ ?
เขาซุ่มอยู่ในพุ่มไม้หลบพวกโจรอยู่กับใคร !? เขาทำภาระกิจเสี่ยงตายนี้กับใคร !!? แล้ววางแผนภาระกิจอยู่กับใครทั้งคืน…!!!?
(เรื่องสั้น) เพื่อชาติจนหยาดสุดท้าย
“ชู่ววว... เงียบไว้... อยู่นิ่งๆ”
จ่ามะโหนกปรามพลทหารสมพงษ์ซึ่งออกอาการร้อนรนไม่อยู่นิ่งด้วยเสียงกระซิบ ทั้งคู่นอนหมอบหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้และกำลังสังเกตการณ์กลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดนประมาณยี่สิบคนที่กำลังสำรวจศพทหารชุดลาดตระเวนที่เพิ่งฆ่าได้ พวกมันกำลังยึดรวบรวมสัมภาระ อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ของศพและเตะศพเล่น ใช้เท้าเหยียบหน้าศพ บ้างก็ใช้ปืนยิงเข้าไปที่ศพอีกเพียงเพื่อความสะใจ สูบบุหรี่และพูดคุยภาษายาวีกันด้วยความกระหยิ่มใจที่ภารกิจซุ่มโจมตีของพวกมันสำเร็จลงอย่างสวยงาม กริยาทั้งหมดนี้ทำให้พลทหารสมพงษ์กัดกรามกรอด นิ้วที่โกร่งไกปืนสั่นพร้อมที่จะลั่นไกส่งกระสุนไปให้ไอ้ตัวที่มันยิงศพเพื่อนของเขาทันที
“ไอ้หนู ! ใจเย็นๆ ไว้ เดี๋ยวก็ได้ตายทั้งคู่หรอก !” จ่ามะโหนกรีบกระซิบเตือนสติลูกน้องของเขาที่เหลือรอดมาเพียงคนเดียว
เมื่อโจรไปหมดแล้ว ทหารทั้งคู่ก็ค่อยๆ โผล่ออกจากพุ่มไม้ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณพื้นที่สังหารที่มีศพเพื่อนทหารร่วมหมู่ลาดตระเวนนอนเรียงรายอยู่ สัมภาระต่างๆ รองเท้าบู๊ต รวมทั้งกระสุนและอาวุธ ถูกปลดออกไปหมด
“เอาล่ะ... รีบไปกันเถอะว่ะ พวกเรายังไม่ปลอดภัยหรอก เท่าที่ดูแถวนี้คงเป็นถิ่นของมันแน่ ”
“ครับจ่า”
แต่เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย รถฮัมวีที่จอดไว้ข้างถนนก็มีสภาพพังเสียหายยับเยิน ไฟลุกท่วมทั่วทั้งคันรถควันโขมง
“เวรตะไลเอ๊ย !! กลางป่าซะด้วย เดินยาวสิแบบนี้ ! ” พลทหารสมพงษ์สบถออกมาด้วยความเดือดดาล
“เอาน่า... อย่างน้อยมันก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเรายังรอด คิดซะว่าเป็นวันฝึกใหญ่กำลังพลสิวะ” ว่าแล้วจ่ามะโหนกก็เริ่มตรวจเช็คอาวุธให้พร้อมใช้งาน
“โห จ่า... ฝึกใหญ่มันยังไม่เท่ากับของจริงแบบวันนี้เลยนะครับ”
“กระสุนเอ็งเหลือเท่าไหร่ ?”
“เอ่อ... แม็กนึงกับอีกที่เหลือในปืนครับ”
“เอ้านี่... เอาไปอีกสองแม็ก บรรจุกระสุนใหม่ซะ ตรวจเช็คอาวุธ อาวุธพร้อมยิง อยู่ในสถานะพร้อมตอบโต้”
เมื่อสั่งการเสร็จและทุกอย่างพร้อมแล้ว จ่ามะโหนกกับลูกน้องก็เริ่มออกเดินเท้าไปตามถนน ข้างทางเป็นป่าดงดิบทั้งสองข้าง มุ่งย้อนกลับสู่กองบัญชาการในตัวอำเภอซึ่งไม่ใช่ใกล้ๆ เลย สิ่งแวดล้อมมีเพียงป่า ถนน และขอบฟ้าเท่านั้น โทรศัพมือถือก็ไม่มีคลื่นสัญญาณ ติดต่อใครไม่ได้
“ซวยจริงๆ... ใจคอจะเอากันให้เหมือนในหนังฮอลลีวู๊ดเลยใช่มั้ย ? ” จ่ามะโหนกบ่นออกมาเบาๆ เมื่อจนปัญญาในการติดต่อโลกภายนอก
“โทรศัพท์ผมก็ใช้ไม่ได้ครับจ่า” พลทหารสมพงษ์หันมารายงานกับผู้บังคับบัญญาชาของเขาหลังจากที่ปลุกปล้ำโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นาน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ...”
ในขณะที่เดินออกมาจากจุดเกิดเหตุได้เพียงครึ่งกิโลเมตรเท่านั้น จ่ามะโหนกจึงหยุดและนึกอะไรขึ้นได้
“นี่ พลทหาร... เอ็งชื่อเล่นว่าอะไรนะ ?”
“พงษ์ครับผม”
“โอเค พงษ์... ตอนนี้เราจะกลับไปที่จุดเกิดเหตุกัน”
“หา !? นี่จ่าล้อเล่นใช่มั้ยครับเนี่ย !?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ข้าคิดอะไรได้แล้ว ถ้าเราทำสำเร็จ.. เราจะรอด แล้วที่นี่ก็จะไม่มีพวกมันอีก”
“อะไรเหรอครับจ่า ?”
“แถวนี้คงมีค่ายบัญชาการใหญ่ของพวกมันอยู่แน่ เราสองคนจะไปบุกค่ายมัน”
“หา !!?”
พลทหารสมพงษ์อุทานออกมา ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาของเขาจะพูดอะไรออกมาได้บ้าระห่ำถึงขนาดนี้
“ด้วยความเคารพครับจ่า ! จ่าจะรนไปหาที่ตายเหรอครับ !? ถึงค่ายนั่นมีจริง... เราแค่สองคนจะสู้กับมันทั้งค่ายได้เหรอ ?”
“เอ็งก็ใช้สมองคิดดูสิวะ ในป่าดงดิบไม่มีคลื่นโทรศัพท์แบบนี้พวกมันอยู่กันได้ยังไง แสดงว่าที่ค่ายมันคงจะมีอะไรใช้ติดต่อโลกภายนอกได้ เราจะใช้ที่นั่นแหละ รายงานไปทางกองร้อยบอกพิกัดให้พวกนั้นรู้ ทลายค่ายมันไปด้วยในตัวซะเลย... ไหนๆ ก็ซวยแล้วให้มันซวยจนถึงที่สุดซะ จะได้รู้กันว่าวันนี้จะรอดไม่รอด... เอ็งไม่อยากแก้แค้นให้เพื่อนเอ็งรึไงวะ? ”
“อยากครับ... แต่...มัน....จะดีเหรอครับจ่า เรายังไม่รู้กันด้วยซ้ำว่าจะมีค่ายที่จ่าว่านี่รึเปล่า”
“ถ้าเอ็งไม่ไปกับข้าก็ไม่เป็นไร ให้เอ็งเดินไปตามถนนเข้าตัวอำเภอให้ได้ พยายามใช้สิ่งที่ข้าฝึกสอนเอ็งมาให้เป็นประโยชน์ด้วย... ข้าจะไปล่ะ โชคดี”
ว่าแล้วจ่ามะโหนกก็เดินกลับมุ่งไปสู่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง ทิ้งลูกน้องให้ยืนอยู่คนเดียว
“จ่า ! รอผมด้วย !”
กลางป่าดงดิบของเทือกเขาแห่งหนึ่งในบริเวนขอบอำเภอ มีหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พัฒนากลายเป็นค่ายใหญ่ของกองโจรแบ่งแยกดินแดน มีแนวกระสอบทรายและลวดหนามวางไปรอบๆ หมู่บ้าน มีรังปืนกลและหอสังเกตการณ์วางอยู่เป็นจุด ปักธงเขียวมีสัญลักษ์พระจันทร์เสี้ยวกับดาวและอักษรภาษาอาหรับ-ยาวีสีขาวอยู่ในผืนธง แปลได้ความว่า ‘เราจะเอาดินแดนของเราคืน’ ภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่อยู่ในนั้นเป็นปฏิปักษ์กับทางรัฐบาลเนื่องจากถูกพวกโจรทำการล้างสมอง กองโจรนี้จึงมีทั้งหญิงและชาย รวมถึงวัยรุ่นที่อาสาร่วมด้วย ทุกคนในหมู่บ้านมีสถานะเป็นนักรบได้ทุกคนหากกองโจรต้องการกำลังเพิ่ม
ในเต๊นท์บัญชาการใกล้ๆ หมู่บ้าน...
“อัสลามมุอะลัยกุม”
“วาอะลัยกุมมุสลาม เป็นยังไงกันบ้าง เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย? ”
“ค่ะหัวหน้า เราฆ่ามันได้ทั้งชุดเลย ฝ่ายเราไม่มีตายซักคน ได้ของมาเยอะด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า..! ดีมาก ! ให้มันรู้ซะมั่งว่านี่ถิ่นใคร”
โจรระดับสั่งการที่เป็นหัวหน้าตบมือหัวเราะด้วยความสะใจ ใบหน้ามีแต่แผลเป็นและหนวดเคราหนาดูเหี้ยมเกรียม แล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู
“ กลุ่มของไอ้ซาอิดโดนพวกมันจับตายไปแล้ว เดือนนี้พวกเราคงต้องเกณฑ์คนอีกแล้วล่ะ... ส่งข่าวไปให้ทางหมู่บ้านซะ ว่าเราต้องการคนเพิ่มอีก ”
“ค่ะ หัวหน้า” โจรแบ่งแยกดินแดนสาวสะพายปืนอาก้ารับคำสั่งและออกจากเต๊นท์ไปทันที
ในขณะที่กำลังเดินตรงไปยังหมู่บ้าน โจรสาวก็สะดุ้งฮวบ ล้มลงไปนอนกับพื้นฝุ่นตลบ ชักกระตุกสองสามเฮือกแล้วแน่นิ่งไป หลักจากนั้นก็มีคนในเครื่องแบบทหารคนหนึ่งลากศพเธอกลับเข้าไปในพงหญ้าหนาทึบข้างทางเดิน
“อ้าว ! ผู้หญิงครับจ่า... เวรจริงๆ” พลทหารสมพงษ์อุทานด้วยความตกตะลึงหลังจากเปิดผ้าโพกหัวชุ่มเลือดของศพโจรสาวที่โดนกระสุนปืนสั้นเก็บเสียงของเขาเจาะเข้าที่กกหูทะลุไปอีกด้าน
“เดี๋ยวนี้มันพัฒนาขึ้นถึงขนาดเอาผู้หญิงมาสู้ด้วยเหรอเนี่ย ไอ้พวกทำลายชาติบ้านเมืองเอ๊ย !”
“เอาไงต่อครับจ่า ?”
“เอ็งรออยู่นี่ เดี๋ยวข้าจะไปเก็บไอ้ตัวที่อยู่ในเต๊นท์เอง อย่าหน้ามืดไปข่มขืนศพเข้าล่ะ”
ตูม !!! ปังปังปังปังปัง..(อ๊ากกก !!!)..ปรอออดดดดด !!!... (กรี๊ดดด!! )…(วี๊ดดดด ว้ายยย!!!)…ตูม !!!
“ไอ้พงษ์ !! เอ็งยิงสกัดพวกมันไปเรื่อยๆ !! ข้าจะไปที่กระท่อมวิทยุมัน !! ” จ่ามะโหนกตะโกนสั่งการพลทหารสมพงษ์ที่กำลังกราดยิงกลุ่มโจรล้มระเนระนาด
“ครับผม !!”
พลทหารสมพงษ์อยู่ในที่กำบังอย่างดีกระหน่ำยิงพวกโจรที่กำลังกรูกันเข้ามาอย่างแม่นยำจนพวกมันล้มกลิ้งกันไปตามๆ กัน ในขณะที่จ่ามะโหนกถือปืนวิ่งบุกตะลุยตรงไปยังกระท่อมที่ตั้งไว้เป็นฐานวิทยุและยิงพวกโจรที่เข้ามาขัดขวางตายเป็นใบไม้ร่วงท่ามกลางพวกชาวบ้านที่วิ่งแตกตื่นกันจ้าละหวั่นด้วยความหวาดกลัว โดนลูกหลงจากการปะทะตายไปก็มี
ครั้นปืนที่ใช้อยู่กระสุนหมด พลทหารสมพงษ์ก็คว้าปืนอีกกระบอกจากศพของศัตรูออกมายิงต่อสู้อีกทันที และทำแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่มีใครสามารถเข้าไปใกล้เขาได้เลยแม้แต่หลาหนึ่ง
“เข้ามาเลย !! ไอ้พวกเนรคุณบ้านเมือง เข้ามาเลยยย !!! ”
พวกโจรแบ่งแยกดินแดนนั้นเมื่อโดนทหารที่ชำนาญการยุทธแค่สองคนบุกหมู่บ้านเข้าโจมตีจนพวกตนบาดเจ็บล้มตายลงไปเป็นอันมาก ก็สั่งการกันจ้าละหวั่นเป็นภาษายาวีบ้างอาหรับบ้างเพื่อเตรียมล่าถอย พากันหนีออกไปจากหมู่บ้าน พอหนีเข้าไปในป่า พวกมันทุกคนก็โดนกับดักธรรมชาติแบบสมัยสงครามเวียดนามที่จ่ามะโหนกกับพลทหารสมพงษ์ช่วยกันวางดักไว้เมื่อคืนก่อนหน้านั้นเล่นงานเข้า คนหนึ่งโดนแผงเดือยไม้ไผ่แหลมดีดสะบัดแทงเข้าไปที่หน้าอก อีกสามคนพลัดตกลงไปในหลุมกิ่งไม้แหลมที่เหลาไว้ดีแล้วเสียบพรุนไปทั้งร่างตายคาที่สยดสยอง ในขณะที่อีกคนหนึ่งโดนกับดักระเบิดเครโมที่ซ่อนอยู่ในดงกล้วยจนขาขาดลงไปนอนดิ้นร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด นอกนั้นก็โดนกับดักธรรมชาติแบบอื่นๆ ฆ่าตายสยองหมดทั้งกลุ่ม
ปั่ดปั่ดปั่ดปั่ดปั่ด....
เฮลิคอปเตอร์กำลังเสริมสองลำบินลงจอดที่ลานกว้างของหมู่บ้านซึ่งตอนนี้ทหารสังกัดกองพันทหารม้าและทหารพรานได้เข้าควบคุมหมู่บ้านไว้ได้เรียบร้อยแล้ว จับพวกโจรแบ่งแยกดินแดนชายหญิงที่เหลือรอดได้ทั้งหมดเป็นจำนวนหลายสิบคน และให้ชาวบ้านทั้งหมดมานั่งชุมนุมกันกลางหมู่บ้าน จากการสอบสวนพบว่าเป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นมาด้วยเงินทุนของกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังจากประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้
“เป็นยังไงบ้าง สมพงษ์ ลืมตายเลยล่ะสิ”
ผบ.หน่วยกำลังเสริมซึ่งเป็นผู้การยศพันเอกคนหนึ่งเข้ามากล่าวทักทายกับพลทหารสมพงษ์ที่นั่งอยู่ในเต๊นท์หน่วยพยาบาล ซึ่งกำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างหิวกระหายและเอาน้ำที่เหลือเทราดลงบนหัวตัวเอง
“ ครับผู้การ... บุญยังไม่หมดครับผม”
“ พรุ่งนี้ผมจะเสนอชื่อของคุณรายงานไปทางกรมให้คุณได้เลื่อนยศขึ้นเป็นจ่าสิบเอกนะ ด้วยวีรกรรมที่คุณทำเนี่ยแหละ ”
“ ขอบคุณครับผู้การ” พลทหารยิ้มตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วก็ยืนขึ้นตาเบ๊ะทำความเคารพผู้การของเขา ทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมหมวกตามกฏระเบียบ
“ อืม...” พันเอกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตาเบ๊ะตอบลูกน้องคนเก่งของเขาด้วยความไม่ถือสาเรื่องระเบียบการ
“ จ่ามะโหนกก็คงจะได้เลื่อนขั้นด้วยใช่มั้ยครับผู้การ ? ”
“ ใช่ เราได้เลื่อนยศให้เขาเป็นพันตรีไปแล้ว แล้วก็เลื่อนยศให้คนอื่นๆ ที่ตายด้วย... เฮ้อ... คนเก่งและรักชาติแบบถวายชีวิตอย่างจ่ามะโหนกเนี่ย หาได้ยากมาก ไม่น่าเลยจริงๆ... เงินเยียวยานี่ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ครอบครัวของจ่ามะโหนกหายโศกเศร้าได้หรอกนะ เสาหลักของครอบครัวทั้งคน”
“ !? ” ว่าที่จ่าสิบเอกสมพงษ์นิ่งกึกเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้การของเขา
“ อ... อะไรนะครับ ? ”
“ รู้มั้ย... ทางเราเองก็นึกว่าชุดลาดตระเวนของคุณโดนฆ่าหมดทั้งชุด ไม่นึกว่าจะมีเพียงคุณที่รอดออกมาได้คนเดียวแบบนี้ แถมยังทำภารกิจเสี่ยงตายด้วยตัวคนเดียวอีก แล้วก็สามารถวางกับดักสนามฆ่าศัตรูได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไหนจะใช้วิทยุของมันติดต่อบอกพิกัดให้พวกเรารู้ตำแหน่งอีกด้วย... คุณคงจะจำสิ่งจ่ามะโหนกฝึกสอนได้เป็นอย่างดีเลยแน่ๆ... เขาเองก็ได้ตายในหน้าที่ไปแล้วอย่างสมเกียรติเมื่อวานนี้ ตอนที่ชุดลาดตระเวนอีกชุดหนึ่งพบศพของเขากับทหารคนอื่นๆ ในจุดที่โดนซุ่มโจมตี พวกเราเสียใจกับการจากไปของเขามากจริงๆ... ต่อไปนี้ไม่มีจ่ามะโหนกแล้ว ฮีโร่อย่างคุณก็คงต้องรับหน้าที่แทนเขาล่ะนะ... จ่าสมพงษ์ ”
ว่าที่จ่าสิบเอกสมพงษ์ตัวแข็งทื่อตาเบิกโพลง ช็อคกับคำพูดของผู้การของเขาสุดขีด หน้าซีด มือไม้สั่นไปหมด... แล้วที่ผ่านมาล่ะ ? เขาซุ่มอยู่ในพุ่มไม้หลบพวกโจรอยู่กับใคร !? เขาทำภาระกิจเสี่ยงตายนี้กับใคร !!? แล้ววางแผนภาระกิจอยู่กับใครทั้งคืน…!!!?