(เรื่องสั้น) เพื่อชาติจนหยาดสุดท้าย

“เอาไงดีครับจ่า...”
“ชู่ววว... เงียบไว้... อยู่นิ่งๆ”
        
                          จ่ามะโหนกปรามพลทหารสมพงษ์ซึ่งออกอาการร้อนรนไม่อยู่นิ่งด้วยเสียงกระซิบ ทั้งคู่นอนหมอบหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้และกำลังสังเกตการณ์กลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดนประมาณยี่สิบคนที่กำลังสำรวจศพทหารชุดลาดตระเวนที่เพิ่งฆ่าได้  พวกมันกำลังยึดรวบรวมสัมภาระ อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆ ของศพและเตะศพเล่น  ใช้เท้าเหยียบหน้าศพ  บ้างก็ใช้ปืนยิงเข้าไปที่ศพอีกเพียงเพื่อความสะใจ  สูบบุหรี่และพูดคุยภาษายาวีกันด้วยความกระหยิ่มใจที่ภารกิจซุ่มโจมตีของพวกมันสำเร็จลงอย่างสวยงาม  กริยาทั้งหมดนี้ทำให้พลทหารสมพงษ์กัดกรามกรอด  นิ้วที่โกร่งไกปืนสั่นพร้อมที่จะลั่นไกส่งกระสุนไปให้ไอ้ตัวที่มันยิงศพเพื่อนของเขาทันที

“ไอ้หนู ! ใจเย็นๆ ไว้ เดี๋ยวก็ได้ตายทั้งคู่หรอก !”  จ่ามะโหนกรีบกระซิบเตือนสติลูกน้องของเขาที่เหลือรอดมาเพียงคนเดียว
        
                         เมื่อโจรไปหมดแล้ว  ทหารทั้งคู่ก็ค่อยๆ โผล่ออกจากพุ่มไม้ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณพื้นที่สังหารที่มีศพเพื่อนทหารร่วมหมู่ลาดตระเวนนอนเรียงรายอยู่  สัมภาระต่างๆ รองเท้าบู๊ต รวมทั้งกระสุนและอาวุธ  ถูกปลดออกไปหมด

“เอาล่ะ... รีบไปกันเถอะว่ะ  พวกเรายังไม่ปลอดภัยหรอก  เท่าที่ดูแถวนี้คงเป็นถิ่นของมันแน่ ”
       “ครับจ่า”
          แต่เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย  รถฮัมวีที่จอดไว้ข้างถนนก็มีสภาพพังเสียหายยับเยิน  ไฟลุกท่วมทั่วทั้งคันรถควันโขมง

       “เวรตะไลเอ๊ย !!  กลางป่าซะด้วย  เดินยาวสิแบบนี้ ! ”  พลทหารสมพงษ์สบถออกมาด้วยความเดือดดาล
“เอาน่า... อย่างน้อยมันก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเรายังรอด  คิดซะว่าเป็นวันฝึกใหญ่กำลังพลสิวะ”  ว่าแล้วจ่ามะโหนกก็เริ่มตรวจเช็คอาวุธให้พร้อมใช้งาน
       “โห จ่า... ฝึกใหญ่มันยังไม่เท่ากับของจริงแบบวันนี้เลยนะครับ”
“กระสุนเอ็งเหลือเท่าไหร่ ?”
       “เอ่อ... แม็กนึงกับอีกที่เหลือในปืนครับ”
“เอ้านี่... เอาไปอีกสองแม็ก  บรรจุกระสุนใหม่ซะ ตรวจเช็คอาวุธ  อาวุธพร้อมยิง  อยู่ในสถานะพร้อมตอบโต้”
        
                        เมื่อสั่งการเสร็จและทุกอย่างพร้อมแล้ว จ่ามะโหนกกับลูกน้องก็เริ่มออกเดินเท้าไปตามถนน  ข้างทางเป็นป่าดงดิบทั้งสองข้าง  มุ่งย้อนกลับสู่กองบัญชาการในตัวอำเภอซึ่งไม่ใช่ใกล้ๆ เลย  สิ่งแวดล้อมมีเพียงป่า ถนน และขอบฟ้าเท่านั้น  โทรศัพมือถือก็ไม่มีคลื่นสัญญาณ ติดต่อใครไม่ได้

“ซวยจริงๆ... ใจคอจะเอากันให้เหมือนในหนังฮอลลีวู๊ดเลยใช่มั้ย ? ” จ่ามะโหนกบ่นออกมาเบาๆ เมื่อจนปัญญาในการติดต่อโลกภายนอก
      “โทรศัพท์ผมก็ใช้ไม่ได้ครับจ่า” พลทหารสมพงษ์หันมารายงานกับผู้บังคับบัญญาชาของเขาหลังจากที่ปลุกปล้ำโทรศัพท์ของตัวเองอยู่นาน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ...”
                                                            
        
                        ในขณะที่เดินออกมาจากจุดเกิดเหตุได้เพียงครึ่งกิโลเมตรเท่านั้น  จ่ามะโหนกจึงหยุดและนึกอะไรขึ้นได้

“นี่ พลทหาร... เอ็งชื่อเล่นว่าอะไรนะ ?”
         “พงษ์ครับผม”
“โอเค พงษ์... ตอนนี้เราจะกลับไปที่จุดเกิดเหตุกัน”
         “หา !?  นี่จ่าล้อเล่นใช่มั้ยครับเนี่ย !?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น  ข้าคิดอะไรได้แล้ว  ถ้าเราทำสำเร็จ.. เราจะรอด  แล้วที่นี่ก็จะไม่มีพวกมันอีก”
         “อะไรเหรอครับจ่า ?”
“แถวนี้คงมีค่ายบัญชาการใหญ่ของพวกมันอยู่แน่  เราสองคนจะไปบุกค่ายมัน”
         “หา !!?”
              พลทหารสมพงษ์อุทานออกมา  ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาของเขาจะพูดอะไรออกมาได้บ้าระห่ำถึงขนาดนี้

        “ด้วยความเคารพครับจ่า !  จ่าจะรนไปหาที่ตายเหรอครับ !? ถึงค่ายนั่นมีจริง... เราแค่สองคนจะสู้กับมันทั้งค่ายได้เหรอ ?”
“เอ็งก็ใช้สมองคิดดูสิวะ  ในป่าดงดิบไม่มีคลื่นโทรศัพท์แบบนี้พวกมันอยู่กันได้ยังไง  แสดงว่าที่ค่ายมันคงจะมีอะไรใช้ติดต่อโลกภายนอกได้  เราจะใช้ที่นั่นแหละ  รายงานไปทางกองร้อยบอกพิกัดให้พวกนั้นรู้  ทลายค่ายมันไปด้วยในตัวซะเลย... ไหนๆ ก็ซวยแล้วให้มันซวยจนถึงที่สุดซะ  จะได้รู้กันว่าวันนี้จะรอดไม่รอด... เอ็งไม่อยากแก้แค้นให้เพื่อนเอ็งรึไงวะ? ”
        “อยากครับ... แต่...มัน....จะดีเหรอครับจ่า  เรายังไม่รู้กันด้วยซ้ำว่าจะมีค่ายที่จ่าว่านี่รึเปล่า”
“ถ้าเอ็งไม่ไปกับข้าก็ไม่เป็นไร  ให้เอ็งเดินไปตามถนนเข้าตัวอำเภอให้ได้  พยายามใช้สิ่งที่ข้าฝึกสอนเอ็งมาให้เป็นประโยชน์ด้วย... ข้าจะไปล่ะ  โชคดี”
ว่าแล้วจ่ามะโหนกก็เดินกลับมุ่งไปสู่จุดเกิดเหตุอีกครั้ง  ทิ้งลูกน้องให้ยืนอยู่คนเดียว
        “จ่า ! รอผมด้วย !”
                                                              
        
                      กลางป่าดงดิบของเทือกเขาแห่งหนึ่งในบริเวนขอบอำเภอ   มีหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พัฒนากลายเป็นค่ายใหญ่ของกองโจรแบ่งแยกดินแดน  มีแนวกระสอบทรายและลวดหนามวางไปรอบๆ หมู่บ้าน  มีรังปืนกลและหอสังเกตการณ์วางอยู่เป็นจุด ปักธงเขียวมีสัญลักษ์พระจันทร์เสี้ยวกับดาวและอักษรภาษาอาหรับ-ยาวีสีขาวอยู่ในผืนธง แปลได้ความว่า ‘เราจะเอาดินแดนของเราคืน’  ภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่อยู่ในนั้นเป็นปฏิปักษ์กับทางรัฐบาลเนื่องจากถูกพวกโจรทำการล้างสมอง  กองโจรนี้จึงมีทั้งหญิงและชาย รวมถึงวัยรุ่นที่อาสาร่วมด้วย  ทุกคนในหมู่บ้านมีสถานะเป็นนักรบได้ทุกคนหากกองโจรต้องการกำลังเพิ่ม
        
             ในเต๊นท์บัญชาการใกล้ๆ หมู่บ้าน...

    “อัสลามมุอะลัยกุม”
“วาอะลัยกุมมุสลาม  เป็นยังไงกันบ้าง  เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย? ”
    “ค่ะหัวหน้า เราฆ่ามันได้ทั้งชุดเลย ฝ่ายเราไม่มีตายซักคน  ได้ของมาเยอะด้วย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า..! ดีมาก ! ให้มันรู้ซะมั่งว่านี่ถิ่นใคร”
                  
                     โจรระดับสั่งการที่เป็นหัวหน้าตบมือหัวเราะด้วยความสะใจ  ใบหน้ามีแต่แผลเป็นและหนวดเคราหนาดูเหี้ยมเกรียม  แล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู

“ กลุ่มของไอ้ซาอิดโดนพวกมันจับตายไปแล้ว  เดือนนี้พวกเราคงต้องเกณฑ์คนอีกแล้วล่ะ... ส่งข่าวไปให้ทางหมู่บ้านซะ ว่าเราต้องการคนเพิ่มอีก ”
   “ค่ะ หัวหน้า”  โจรแบ่งแยกดินแดนสาวสะพายปืนอาก้ารับคำสั่งและออกจากเต๊นท์ไปทันที
        
                     ในขณะที่กำลังเดินตรงไปยังหมู่บ้าน  โจรสาวก็สะดุ้งฮวบ  ล้มลงไปนอนกับพื้นฝุ่นตลบ  ชักกระตุกสองสามเฮือกแล้วแน่นิ่งไป  หลักจากนั้นก็มีคนในเครื่องแบบทหารคนหนึ่งลากศพเธอกลับเข้าไปในพงหญ้าหนาทึบข้างทางเดิน
      
        “อ้าว ! ผู้หญิงครับจ่า... เวรจริงๆ” พลทหารสมพงษ์อุทานด้วยความตกตะลึงหลังจากเปิดผ้าโพกหัวชุ่มเลือดของศพโจรสาวที่โดนกระสุนปืนสั้นเก็บเสียงของเขาเจาะเข้าที่กกหูทะลุไปอีกด้าน
“เดี๋ยวนี้มันพัฒนาขึ้นถึงขนาดเอาผู้หญิงมาสู้ด้วยเหรอเนี่ย  ไอ้พวกทำลายชาติบ้านเมืองเอ๊ย !”
       “เอาไงต่อครับจ่า ?”
“เอ็งรออยู่นี่  เดี๋ยวข้าจะไปเก็บไอ้ตัวที่อยู่ในเต๊นท์เอง  อย่าหน้ามืดไปข่มขืนศพเข้าล่ะ”

                                                              
                    ตูม !!!  ปังปังปังปังปัง..(อ๊ากกก !!!)..ปรอออดดดดด !!!... (กรี๊ดดด!! )…(วี๊ดดดด ว้ายยย!!!)…ตูม !!!

“ไอ้พงษ์ !!  เอ็งยิงสกัดพวกมันไปเรื่อยๆ !!  ข้าจะไปที่กระท่อมวิทยุมัน !! ” จ่ามะโหนกตะโกนสั่งการพลทหารสมพงษ์ที่กำลังกราดยิงกลุ่มโจรล้มระเนระนาด
       “ครับผม !!”

                      พลทหารสมพงษ์อยู่ในที่กำบังอย่างดีกระหน่ำยิงพวกโจรที่กำลังกรูกันเข้ามาอย่างแม่นยำจนพวกมันล้มกลิ้งกันไปตามๆ กัน  ในขณะที่จ่ามะโหนกถือปืนวิ่งบุกตะลุยตรงไปยังกระท่อมที่ตั้งไว้เป็นฐานวิทยุและยิงพวกโจรที่เข้ามาขัดขวางตายเป็นใบไม้ร่วงท่ามกลางพวกชาวบ้านที่วิ่งแตกตื่นกันจ้าละหวั่นด้วยความหวาดกลัว  โดนลูกหลงจากการปะทะตายไปก็มี              
                     ครั้นปืนที่ใช้อยู่กระสุนหมด  พลทหารสมพงษ์ก็คว้าปืนอีกกระบอกจากศพของศัตรูออกมายิงต่อสู้อีกทันที  และทำแบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  ไม่มีใครสามารถเข้าไปใกล้เขาได้เลยแม้แต่หลาหนึ่ง
      
       “เข้ามาเลย !!  ไอ้พวกเนรคุณบ้านเมือง เข้ามาเลยยย !!! ”
        
                     พวกโจรแบ่งแยกดินแดนนั้นเมื่อโดนทหารที่ชำนาญการยุทธแค่สองคนบุกหมู่บ้านเข้าโจมตีจนพวกตนบาดเจ็บล้มตายลงไปเป็นอันมาก  ก็สั่งการกันจ้าละหวั่นเป็นภาษายาวีบ้างอาหรับบ้างเพื่อเตรียมล่าถอย  พากันหนีออกไปจากหมู่บ้าน  พอหนีเข้าไปในป่า พวกมันทุกคนก็โดนกับดักธรรมชาติแบบสมัยสงครามเวียดนามที่จ่ามะโหนกกับพลทหารสมพงษ์ช่วยกันวางดักไว้เมื่อคืนก่อนหน้านั้นเล่นงานเข้า  คนหนึ่งโดนแผงเดือยไม้ไผ่แหลมดีดสะบัดแทงเข้าไปที่หน้าอก  อีกสามคนพลัดตกลงไปในหลุมกิ่งไม้แหลมที่เหลาไว้ดีแล้วเสียบพรุนไปทั้งร่างตายคาที่สยดสยอง  ในขณะที่อีกคนหนึ่งโดนกับดักระเบิดเครโมที่ซ่อนอยู่ในดงกล้วยจนขาขาดลงไปนอนดิ้นร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด  นอกนั้นก็โดนกับดักธรรมชาติแบบอื่นๆ ฆ่าตายสยองหมดทั้งกลุ่ม    
                                                          

                         ปั่ดปั่ดปั่ดปั่ดปั่ด....
                            เฮลิคอปเตอร์กำลังเสริมสองลำบินลงจอดที่ลานกว้างของหมู่บ้านซึ่งตอนนี้ทหารสังกัดกองพันทหารม้าและทหารพรานได้เข้าควบคุมหมู่บ้านไว้ได้เรียบร้อยแล้ว  จับพวกโจรแบ่งแยกดินแดนชายหญิงที่เหลือรอดได้ทั้งหมดเป็นจำนวนหลายสิบคน  และให้ชาวบ้านทั้งหมดมานั่งชุมนุมกันกลางหมู่บ้าน  จากการสอบสวนพบว่าเป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นมาด้วยเงินทุนของกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังจากประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้

“เป็นยังไงบ้าง สมพงษ์  ลืมตายเลยล่ะสิ”  
                        
                         ผบ.หน่วยกำลังเสริมซึ่งเป็นผู้การยศพันเอกคนหนึ่งเข้ามากล่าวทักทายกับพลทหารสมพงษ์ที่นั่งอยู่ในเต๊นท์หน่วยพยาบาล  ซึ่งกำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มอย่างหิวกระหายและเอาน้ำที่เหลือเทราดลงบนหัวตัวเอง

         “ ครับผู้การ... บุญยังไม่หมดครับผม”
“ พรุ่งนี้ผมจะเสนอชื่อของคุณรายงานไปทางกรมให้คุณได้เลื่อนยศขึ้นเป็นจ่าสิบเอกนะ  ด้วยวีรกรรมที่คุณทำเนี่ยแหละ ”
         “ ขอบคุณครับผู้การ” พลทหารยิ้มตอบรับอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วก็ยืนขึ้นตาเบ๊ะทำความเคารพผู้การของเขา ทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมหมวกตามกฏระเบียบ
“ อืม...” พันเอกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตาเบ๊ะตอบลูกน้องคนเก่งของเขาด้วยความไม่ถือสาเรื่องระเบียบการ
         “ จ่ามะโหนกก็คงจะได้เลื่อนขั้นด้วยใช่มั้ยครับผู้การ ? ”
“ ใช่ เราได้เลื่อนยศให้เขาเป็นพันตรีไปแล้ว  แล้วก็เลื่อนยศให้คนอื่นๆ ที่ตายด้วย...  เฮ้อ... คนเก่งและรักชาติแบบถวายชีวิตอย่างจ่ามะโหนกเนี่ย หาได้ยากมาก ไม่น่าเลยจริงๆ... เงินเยียวยานี่ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ครอบครัวของจ่ามะโหนกหายโศกเศร้าได้หรอกนะ  เสาหลักของครอบครัวทั้งคน”
         “ !? ” ว่าที่จ่าสิบเอกสมพงษ์นิ่งกึกเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้การของเขา
         “ อ... อะไรนะครับ ? ”
“ รู้มั้ย... ทางเราเองก็นึกว่าชุดลาดตระเวนของคุณโดนฆ่าหมดทั้งชุด ไม่นึกว่าจะมีเพียงคุณที่รอดออกมาได้คนเดียวแบบนี้  แถมยังทำภารกิจเสี่ยงตายด้วยตัวคนเดียวอีก  แล้วก็สามารถวางกับดักสนามฆ่าศัตรูได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด  ไหนจะใช้วิทยุของมันติดต่อบอกพิกัดให้พวกเรารู้ตำแหน่งอีกด้วย... คุณคงจะจำสิ่งจ่ามะโหนกฝึกสอนได้เป็นอย่างดีเลยแน่ๆ...  เขาเองก็ได้ตายในหน้าที่ไปแล้วอย่างสมเกียรติเมื่อวานนี้  ตอนที่ชุดลาดตระเวนอีกชุดหนึ่งพบศพของเขากับทหารคนอื่นๆ ในจุดที่โดนซุ่มโจมตี  พวกเราเสียใจกับการจากไปของเขามากจริงๆ...  ต่อไปนี้ไม่มีจ่ามะโหนกแล้ว  ฮีโร่อย่างคุณก็คงต้องรับหน้าที่แทนเขาล่ะนะ... จ่าสมพงษ์ ”
                  
                       ว่าที่จ่าสิบเอกสมพงษ์ตัวแข็งทื่อตาเบิกโพลง  ช็อคกับคำพูดของผู้การของเขาสุดขีด  หน้าซีด  มือไม้สั่นไปหมด... แล้วที่ผ่านมาล่ะ ?  เขาซุ่มอยู่ในพุ่มไม้หลบพวกโจรอยู่กับใคร !? เขาทำภาระกิจเสี่ยงตายนี้กับใคร !!?  แล้ววางแผนภาระกิจอยู่กับใครทั้งคืน…!!!?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่