ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
ชุดที่ ๓ ลิมชอง.....อัศวินผู้อาภัพ
ตอนที่ ๒ ไม่ถึงที่ตายยังไม่วายวุ่น
"เล่าเซี่ยงชุน "
ลิมชอง กับผู้คุมสองคนคือ ตังเทียว และ สิปา พากันเดินทางมาจนถึงเมืองชองจิว ก็ได้ข่าวว่ามีชายผู้หนึ่งชื่อ ชาจิน เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ฝีมือก็เข้มแข็ง ใจโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และเป็นเชื้อสายของ พระเจ้าชาซิจงฮ่องเต้ ครั้งแผ่นดินก่อน ต่อมา พระเจ้าเตี้ยคังเอี๋ยน ได้พระราชทานสิทธิพิเศษ ให้แก่บุตรหลานของพระเจ้าชาซิจงสืบทอดมาจนถึงชาจิน ไม่ให้ต้องโทษทัณฑ์ทุกประการ เจ้าของโรงสุราก็แนะนำให้ลิมชองไปขอความช่วยเหลือ
ลิมชองกับผู้คุมทั้งสองก็พากันไปที่บ้านของชาจิน แต่ไม่พบเพราะออกไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อใด ทั้งสามก็ไม่รอ เดินทางต่อไปอีกประมาณสามลี้ เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่งดงาม อายุประมาณสามสิบเศษ ขี่ม้ามาท่ามกลางไพร่พล จึงหยุดยืนดูอยู่ ชายผู้นั้นชักม้าเข้ามาใกล้แล้วถามว่า คนต้องโทษมาจากเมืองไหน ชื่อแซ่อะไร
ลิมชองก็แนะนำตัวแล้วเล่าความที่ กอไทอวยใส่ความ จนต้องโทษเนรเทศมาถึงเมืองนี้ ได้ข่าวว่าท่านชาจินมีจิตเมตตาต่อคนโทษจึงมารออยู่ ชายผู้นั้นก็ลงจากหลังม้าบอกว่าตนเองคือชาจิน และขอเชิญลิมชองกลับไปที่บ้าน แล้วสั่งคนใช้ให้จัดการแต่งโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูลิมชองและผู้คุมทั้งสอง คนใช้จัดแต่เพียงเล็กน้อยราคาประมาณสองหมื่นอีแปะ เช่นเดียวกับคนโทษอื่น ๆ ที่เคยผ่านมา
ชาจินก็สั่งให้จัดใหม่ให้สมเกียรติของลิมชอง ซึ่งเคยเป็นครูทหารอยู่ที่เมืองหลวง
ขณะนั้น อังกาซือ ครูเพลงอาวุธประจำบ้านชาจิน กลับจากธุระเข้ามาถึง ชาจินก็จัดโต๊ะให้อีกโต๊ะหนึ่ง ลิมชองเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่ในบ้านนี้จึงลุกขึ้นไปคำนับ อังกาซือเห็นว่าเป็นคนโทษก็ไม่รับคำนับ ชาจินจึงแนะนำลิมชองให้อังกาซือรู้จักชื่อแซ่ และฝีมือ ลิมชองก็คำนับอีก อังกาซือบอกว่าอย่าคำนับเราเลยลุกขึ้นเสียเถิด
ลิมชองก็กลับไปนั่งที่ของตน
ชาจินชวนอังกาซือให้ย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกัน อังกาซือลุกมานั่งข้างชาจิน แล้วถามตรง ๆ ว่า ท่านจัดหาโต๊ะสุราอาหารอย่างดีมาเลี้ยงดูคนโทษนี้มีเหตุผลประการใด ชาจินก็โกรธที่พูดดูถูกลิมชอง จึงว่าท่านไม่รู้จักอะไรเลย ลิมชองไม่เหมือนคนทั้งปวง เขาเป็นครูทหารใหญ่ จึงได้คำนับเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียม
อังกาซือก็ว่าท่านเป็นผู้สนใจเพลงอาวุธ พอใครมาอวดอ้างว่า เป็นครูทหารรู้จักเพลงอาวุธก็เชื่อ บางคนอาจมาหลอกกินและเอาเงินทองไปเท่านั้น อย่าได้เชื่อง่ายนัก ชาจินก็ว่า
"......คนทุกวันนี้จนแล้วกลับมั่งมีทรัพย์สินก็ถมไป เกิดเป็นชายอย่าได้หมิ่นชาย ท่านเห็นลิมชองเป็นคนโทษ ก็มาดูถูกหาควรไม่....."
อังกาซือจึงว่าถ้าได้ทดลองฝีมือ แล้วสามารถเอาชนะตนได้ก็จะเลิกดูถูก ลิมชองเกรงใจเจ้าของบ้านจึงปฏิเสธ แต่อังกาซือคิดว่ากลัว จึงเร่งเร้าให้ทดลองกันหน่อย ชาจินอยากจะดูฝีมือลิมชอง จึงอนุญาตให้ออกไปกลางสนามเดือนสว่าง
ลิมชองเอากระบองของผู้คุม ออกไปสู้กับอังกาซือได้สี่ห้าเพลงก็ร้องว่าขอยอมแพ้แล้ว ชาจินถามว่าเพิ่งลงมือทำไมจะยอมแพ้ ลิมชองก็ว่าจะต่อสู้ทั้ง ๆ ที่ติดขื่อคาอยู่อย่างนี้ มันก็ต้องแพ้วันยังค่ำ
ชาจินก็ว่าลืมไปไม่ทันคิด จึงเอาเงินให้ผู้คุมสิบตำลึง ขอให้ไขขื่อคาออกสักครู่ โดยตนเองรับประกันว่าไม่หนี ผู้คุมเห็นชาจินเป็นผู้มีหลักฐานดี ก็ไขเอาคาออกจากคอลิมชอง ชาจินก็วางเงินรางวัลไว้ยี่สิบห้าตำลึง ผู้ใดชนะให้รับรางวัลไป คราวนี้ลิมชองจับกระบองเข้าสู้รบกับอังกาซือ ซึ่งถือกระบองเหมือนกัน ยังไม่ทันถึงเพลงลิมชองก็ตีถูกขาอังกาซือล้มลง ได้รับความอับอายต้องก้มหน้าเดินออกจากบ้านชาจินไป
ชาจินก็ชวนให้ทั้งผู้คุมและลิมชอง อยู่คุยกันจนสว่างคาตา
รุ่งเช้าชาจินก็เขียนหนังสือสองฉบับ ถึงเจ้าเมืองฉบับหนึ่ง ถึงขุนนางผู้กำกับคุกอีกฉบับหนึ่ง ฝากฝังให้ช่วยดูแลลิมชองด้วย แล้วก็ให้เงินรางวัลแก่ลิมชองยี่สิบห้าตำลึง ให้ผู้คุมห้าตำลึง ผู้คุมทั้งสองก็เอาคาใส่คอลิมชอง พากันเดินไปอีกครึ่งวันจนถึงบ้านเจ้าเมืองชองจิว ผู้คุมนำหนังสือส่งตัวนักโทษให้เจ้าเมืองรับไว้ แล้วรับหนังสือตอบกลับไปเมืองตังเกีย เจ้าเมืองก็ส่งตัวลิมชองเข้าคุกไป
พวกคนโทษเก่าก็มาต้อนรับลิมชอง แล้วแนะนำว่าผู้กำกับคุกกับผู้คุมใหญ่ ใจคอโหดร้าย จะเอาแต่เงินทองอย่างเดียว ถ้ามีเงินให้คนละห้าตำลึงจึงจะอยู่สบาย ถ้าไม่มีให้ก็ต้องเฆี่ยนร้อยทีแล้วเอาไปจำขังไว้ในหลุม ลิมชองก็รับฟังอยู่ พอผู้คุมใหญ่มาสอบถามหา ลิมชองก็เอาเงินให้ไปห้าตำลึง ผู้คุมยินดีถามว่าเงินนี้รวมถึงผู้กำกับคุกด้วยหรือ ลิมชองจึงมอบเงินอีกสิบตำลึงกับหนังสือของชาจิน ให้ช่วยนำไปให้ผู้กำกับคุก ผู้คุมก็พูดว่าจะช่วยเหลือไม่ให้ถูกเฆี่ยน
ลิมชองก็ขอบคุณผู้คุมและคิดในใจว่า
"…….คนทุกวันนี้ มีทรัพย์ก็ไม่ตาย ถ้าไม่มีเงินให้ ชีวิตก็คงตายในคุกนี้เอง…"
ฝ่ายผู้คุมก็แอบยักยอกเงินเสียห้าตำลึง แล้วเอาหนังสือกับเงินห้าตำลึงไปให้ผู้กำกับคุก เมื่ออ่านหนังสือที่ชาจินฝากฝังแล้ว ก็ช่วยลดหย่อนให้ลิมชองไม่ต้องถูกโบยอ้างว่ายังป่วยอยู่
ผู้คุมจึงแนะนำว่าเวลานี้ไม่มีผู้รักษาศาลเจ้าของคุก สมควรให้ลิมชองไปรักษาศาลเจ้า ถึงเวลาก็จุดธูปไหว้เจ้า และกวาดศาลให้เตียนเท่านั้นเอง ผู้คุมก็พูดเอาบุญคุณว่า
"....ท่านดูผู้อื่นเถิด ทำงานยังค่ำซ้ำกลางคืนก็ขังคุกไว้ งานในคุกนี้ถ้าผู้ใดได้ไปรักษาศาลก็จัดเป็นอย่างสบาย ถึงท่านเสียเงินให้เรา ก็มีความสุขมากกว่าคนทั้งปวง..."
ลิมชองก็ว่า
".....ท่านช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้ บุญคุณหนักหนา ถ้าสืบไปภายหน้า ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน....."
พอไปถึงศาลลิมชองก็ส่งเงินให้ผู้คุมอีกสามตำลึง ขอให้ถอดคาออกเสีย รับรองว่าจะไม่หลบหนีไปไหน ผู้คุมก็จัดการให้ ลิมชองก็เป็นสุขสบายอยู่ที่ศาลเจ้า จะไปเที่ยวไหนก็ได้ อยู่มาได้ห้าสิบวันเข้าฤดูหนาว ชาจินก็ส่งเสื้อกางเกงมาให้ลิมชองใส่กันหนาวด้วย
วันหนึ่งลิมชองว่าง ก็ออกมาเดินเล่นอยู่หน้าศาลเจ้า ได้พบกับ เซียวยี่ เดิมเป็นลูกจ้างโรงขายสุราอยู่ที่เมืองหลวง ต่อมาได้ลักเงินเจ้าของโรงสุรา แต่ถูกจับได้จะถูกส่งตัวไปลงโทษ ลิมชองก็ช่วยออกเงินใช้หนี้ให้จึงพ้นโทษ เมื่อขอลาเดินทางไปหาพี่น้อง ลิมชองก็ให้เงินติดตัวไปอีก จึงถามว่ามาทำอะไรอยู่ที่เมืองชองจิวนี้
เซียวยี่ก็คุกเข่าลงคำนับเล่าว่า ไปหาญาติพี่น้องไม่พบ ก็เลยทำมาหากินเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมอยู่ในเมืองนี้ บังเอิญเถ้าแก่ชอบใจการทำงาน มีจิตเมตตายกบุตรสาวให้เป็นภรรยา อยู่กินด้วยกันมา จนบิดามารดาของภรรยาตายไปหมด จึงทำการค้าขายเลี้ยงตัวมาสองคนกับ ภรรยาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยลืมคุณที่ได้รับอุปการะมาแต่หนหลัง
ลิมชองก็เล่าเรื่องที่ตนต้องโทษจนถูกเนรเทศมาอยู่เมืองนี้ เซียวยี่ก็พาลิมชองไปที่บ้าน แล้วให้ภรรยาออกมาคำนับผู้มีคุณ ตั้งแต่นั้นมาลิมชองกับเซียวยี่ ก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำมิได้ขาด
อยู่มาวันหนึ่งตอนเช้า เซียวยี่จัดของหน้าร้านอยู่ เห็นชายสองคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม คนหนึ่งแต่งกายเป็นขุนนางฝ่ายทหาร อีกคนเดินหลังเหมือนคนรับใช้ เซียวยี่ก็ต้อนรับจัดโต๊ะให้ ขุนนางนั้นก็เอาเงินให้เซียวยี่ตำลึงหนึ่ง ให้ไปเชิญผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ มาคุยกันที่โรงเตี๊ยม เซียวยี่ได้ยินออกชื่อกอไทอวยก็อยากรู้เรื่อง
แต่พอเข้าไปใกล้ ขุนนางนั้นบอกว่าไม่ต้องคอยรับใช้ ถ้าอยากได้สิ่งใดจะเรียกเอา เพราะต้องการจะพูดความลับกัน เซียวยี่จึงให้ภรรยาแอบฟังอยู่ที่ห้องข้าง ๆ คนทั้งสี่พูดจาตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็แยกกันไป
พอลิมชองมาหาอย่างเคย เซียวยี่ก็เล่าให้ฟังว่า มีคนเมืองหลวงสองคนมาหาผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ปรึกษาความลับกันอยู่ ให้ภรรยาแอบฟังก็ไม่ค่อยจะได้ยิน เห็นแต่คนที่มาจากเมืองหลวง ส่งถุงกับหนังสือให้ผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ไป ผู้คุมพูดว่าตกพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองคน คงตายในเงื้อมมือ ท่านอย่าวิตกเลย
ลิมชองไต่ถามถึงรูปร่างลักษณะแล้วก็รู้ว่า คนหน้าขาวที่เป็นขุนนางคือเล็กเคียม เพื่อนทรยศของตนเอง อีกคนหนึ่งหน้าแดงตัวเตี้ย คือฮูอันคนใช้ของกอไทอวยแน่ เซียวยี่ก็เตือนให้ลิมชองระวังตัว ลิมชองจึงลาไปซื้อกระบี่เหมาะมือแล้วเที่ยวตามหาคู่อาฆาตทั้งสอง แต่ตามหาอยู่ห้าวันก็ไม่พบ
พอถึงวันที่หก ผู้กำกับคุกก็เรียกตัวลิมชองเข้าไปหา แล้วให้ไปรักษาโรงหญ้าแห้งและฉางถั่วสำหรับเลี้ยงม้าและลา เพราะเห็นว่าดีกว่าอยู่ที่ศาลเจ้า ลิมชองก็มาปรึกษากับเซียวยี่ถึงเรื่องนี้ เซียวยี่ก็บอกว่า
"....ซึ่งจะไปรักษาโรงฟางฉางถั่วต่าง ๆ นั้นดีดอก ผลประโยชน์ก็มีบ้าง แต่ท่านจะไปอยู่ที่นั้นไกลกับข้าพเจ้าทางประมาณสิบห้าลี้เศษ ถ้าท่านไปแล้วจงมาหาข้าพเจ้าบ้าง การงานสิ่งใดท่านอุตส่าห์ตริตรองระวังตัวเถิด..."
ลิมชองก็เก็บข้าวของ ให้ผู้คุมพาไปถึงโรงฟางฉางถั่ว ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบ เจอผู้เฒ่านั่งผิงไฟอยู่หน้าโรงฟางผู้หนึ่ง เพราะเป็นฤดูหนาวลมพัดแรง ลิมชองก็รับหน้าที่จากผู้เฒ่านั้น ซึ่งเปลี่ยนไปเฝ้ารักษาศาลเจ้าแทน ผู้เฒ่าจึงบอกกับลิมชองว่า เปลือกน้ำเต้าแห้งที่แขวนอยู่นั้น สำหรับใส่สุรา ถ้าจะเสพสุราให้เอาน้ำเต้านี้ไปซื้อ เจ้าของโรงสุราจำได้ก็จะให้สุรามากกว่าปกติ โรงสุรานี้ก็อยู่ไม่ไกล ประมาณสองสามลี้
เมื่อผู้เฒ่ากับผู้คุมกลับไป และจัดแจงที่อยู่เรียบร้อยแล้ว ลิมชองก็เอาทวนคู่มือคอนน้ำเต้าว่าจะไปซื้อสุราอาหารมากินแก้หนาว ไม่ช้านักก็ถึงโรงสุรา เข้าไปคุยกับเจ้าของโรงพักหนึ่ง แล้วซื้อสุรากับเสบียงกลับมาโรงฟาง
เมื่อถึงเวลาเย็นใกล้ค่ำมีลมหนาวพัดกระหน่ำ ทำเอาหลังคาโรงเปิดเปิงฝาพังไปเป็นแถบ ลิมชองกลัวไฟในเตาจะลุกไหม้ก็เดินไปดูแล ปรากฎว่าไฟดับหมดแล้ว จึงหาของมาปิดเตาไว้ ไม่ให้หมอกน้ำค้างลงให้เตาเปียก เพราะพื้นโรงที่จะอาศัยก็เปียกชื้นไปทั่ว นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อขาไปโรงสุรา ผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่งระยะทางประมาณครึ่งลี้ จึงเหน็บกระบี่หอบห่อผ้าคอนทวนไปอาศัยนอนในศาลเจ้าซึ่งไม่มีคนเฝ้า แล้วปิดประตูเอาศิลาทับไว้ภายในเปิดไม่ออก
ลิมชองก็เข้าไปคำนับที่หน้าศาลเจ้าแล้วก็ปัดกวาดที่นอน เอาเสื้อกางเกงปูพื้น คว้าน้ำเต้าสุรามารินกินกับเสบียงที่จ่ายมาเมื่อเย็น
จนถึงห้าทุ่มได้ยินเสียงไฟไหม้ปะทุปึงปัง จึงลุกขึ้นดูตามช่องหน้าต่างศาล เห็นไฟไหม้โพลงอยู่ที่โรงฟางฉางถั่วก็ตกใจ จะเปิดประตูออกไปดับไฟ บังเอิญได้ยินเสียงคนเดินพูดกันเข้ามาที่ศาล จึงปิดประคูเอาศิลาทับไว้อย่างเดิม คนที่มาเปิดประตูไม่ได้ ก็ยืนพูดกันอยู่ข้างนอก ลิมชองเงี่ยหูฟังได้ยินพูดกันว่า
".....ซึ่งอุบายคิดฆ่าลิมชองนี้ท่านเห็นดีหรือไม่....."
อีกคนพูดว่า
"...ท่านผู้กำกับและผู้คุมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คิดความอันนี้ถ้าไปถึงตังเกียเมืองหลวง ข้าพเจ้าจะเสนอความชอบของท่าน แก่กอไทอวย ว่าท่านทั้งสองมีใจช่วยจริง ๆ ขอให้ เลื่อนยศศักดิ์ใหญ่ขึ้นไป ซึ่ง เตียกาเถา พ่อตาของลิมชองนั้นเห็นจะขัดขืนไม่ได้..."
คนหนึ่งพูดว่า
".....ได้ให้คนไปหาเตียกาเถาเป็นหลายครั้ง บอกว่า ลิมชองบุตรเขยตาย ขอบุตรสาวที่เป็นภรรยาลิมชองให้กับกอเงไหลเถิด เตียกาเถาไม่ยอมให้ กอเงไหลกลับป่วยหนักลง กอไทอวยบิดากอเงไหลจึงให้มาปรึกษากับท่าน คิดฆ่า ลิมชองเสีย การอันนี้ก็สำเร็จความปรารถนาแล้ว..."
คนหนึ่งก็พูดอีกว่า
"....เมื่อเราเข้าเอาไฟจุดหญ้าฟางขึ้นทั้งสี่ทิศ ไฟติดพร้อมกันจะหนีไปข้างไหนพ้น..."
คนหนึ่งก็เสริมว่า
"...จะเป็นหรือตายก็จะได้เห็นกันในเช้าวันนี้..."
คนหนึ่งก็ว่า
"....ถึงจะไม่ตายในไฟหนีออกมาได้ ไฟไหม้ของหลวงเสียหายเป็นอันมาก โทษนั้นก็ถึงตาย....."
อีกคนหนึ่งว่า
"....เราคอยดูก่อน ถ้าไฟโทรมแล้ว ก็จะเก็บกระดูก ลิมชอง สักสองสามอันห่อผ้าไปให้กอไทอวยกับกอเงไหลดู กอไทอวยคงจะชมว่าเราทำการสิ่งใด ก็มีสลักสำคัญ….."
ลิมชองฟังคนทั้งสามพูดโต้ตอบกัน ก็จำเสียงได้ว่าเป็น เล็กเคียม ฮูอัน และผู้คุม จึงยกศิลาออก จับทวนเข้าไปกั้นผู้คุมที่จะวิ่งหนีไว้ เล็กเคียมตกใจยืนนิ่งตลึงอยู่ ฮูอันวิ่งหนีไปได้ประมาณสิบก้าว ลิมชองไล่ทันเอาทวนแทงตายไป แล้วหันกลับมาตีด้วยทวน ถูกอีกสองคนล้มลง ลิมชองเอาเท้าเหยียบไว้ ชักกระบี่ออกมาเงื้อง่า และถามเล็กเคียมว่า
"..เรากับเจ้ารักใคร่กันเป็นหนักหนาไม่มีข้อสาเหตุสิ่งใดเลย เจ้ามาคิดฆ่าเราด้วยเหตุผลอันใด เจ้าจงลองดูกระบี่ของเราจะคมหรือไม่..."
ลิมชอง (๒) ๑๑ มี.ค.๖๐
ชุดที่ ๓ ลิมชอง.....อัศวินผู้อาภัพ
ตอนที่ ๒ ไม่ถึงที่ตายยังไม่วายวุ่น
"เล่าเซี่ยงชุน "
ลิมชอง กับผู้คุมสองคนคือ ตังเทียว และ สิปา พากันเดินทางมาจนถึงเมืองชองจิว ก็ได้ข่าวว่ามีชายผู้หนึ่งชื่อ ชาจิน เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ฝีมือก็เข้มแข็ง ใจโอบอ้อมอารีชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และเป็นเชื้อสายของ พระเจ้าชาซิจงฮ่องเต้ ครั้งแผ่นดินก่อน ต่อมา พระเจ้าเตี้ยคังเอี๋ยน ได้พระราชทานสิทธิพิเศษ ให้แก่บุตรหลานของพระเจ้าชาซิจงสืบทอดมาจนถึงชาจิน ไม่ให้ต้องโทษทัณฑ์ทุกประการ เจ้าของโรงสุราก็แนะนำให้ลิมชองไปขอความช่วยเหลือ
ลิมชองกับผู้คุมทั้งสองก็พากันไปที่บ้านของชาจิน แต่ไม่พบเพราะออกไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อใด ทั้งสามก็ไม่รอ เดินทางต่อไปอีกประมาณสามลี้ เห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่งดงาม อายุประมาณสามสิบเศษ ขี่ม้ามาท่ามกลางไพร่พล จึงหยุดยืนดูอยู่ ชายผู้นั้นชักม้าเข้ามาใกล้แล้วถามว่า คนต้องโทษมาจากเมืองไหน ชื่อแซ่อะไร
ลิมชองก็แนะนำตัวแล้วเล่าความที่ กอไทอวยใส่ความ จนต้องโทษเนรเทศมาถึงเมืองนี้ ได้ข่าวว่าท่านชาจินมีจิตเมตตาต่อคนโทษจึงมารออยู่ ชายผู้นั้นก็ลงจากหลังม้าบอกว่าตนเองคือชาจิน และขอเชิญลิมชองกลับไปที่บ้าน แล้วสั่งคนใช้ให้จัดการแต่งโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูลิมชองและผู้คุมทั้งสอง คนใช้จัดแต่เพียงเล็กน้อยราคาประมาณสองหมื่นอีแปะ เช่นเดียวกับคนโทษอื่น ๆ ที่เคยผ่านมา
ชาจินก็สั่งให้จัดใหม่ให้สมเกียรติของลิมชอง ซึ่งเคยเป็นครูทหารอยู่ที่เมืองหลวง
ขณะนั้น อังกาซือ ครูเพลงอาวุธประจำบ้านชาจิน กลับจากธุระเข้ามาถึง ชาจินก็จัดโต๊ะให้อีกโต๊ะหนึ่ง ลิมชองเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่ในบ้านนี้จึงลุกขึ้นไปคำนับ อังกาซือเห็นว่าเป็นคนโทษก็ไม่รับคำนับ ชาจินจึงแนะนำลิมชองให้อังกาซือรู้จักชื่อแซ่ และฝีมือ ลิมชองก็คำนับอีก อังกาซือบอกว่าอย่าคำนับเราเลยลุกขึ้นเสียเถิด
ลิมชองก็กลับไปนั่งที่ของตน
ชาจินชวนอังกาซือให้ย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกัน อังกาซือลุกมานั่งข้างชาจิน แล้วถามตรง ๆ ว่า ท่านจัดหาโต๊ะสุราอาหารอย่างดีมาเลี้ยงดูคนโทษนี้มีเหตุผลประการใด ชาจินก็โกรธที่พูดดูถูกลิมชอง จึงว่าท่านไม่รู้จักอะไรเลย ลิมชองไม่เหมือนคนทั้งปวง เขาเป็นครูทหารใหญ่ จึงได้คำนับเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียม
อังกาซือก็ว่าท่านเป็นผู้สนใจเพลงอาวุธ พอใครมาอวดอ้างว่า เป็นครูทหารรู้จักเพลงอาวุธก็เชื่อ บางคนอาจมาหลอกกินและเอาเงินทองไปเท่านั้น อย่าได้เชื่อง่ายนัก ชาจินก็ว่า
"......คนทุกวันนี้จนแล้วกลับมั่งมีทรัพย์สินก็ถมไป เกิดเป็นชายอย่าได้หมิ่นชาย ท่านเห็นลิมชองเป็นคนโทษ ก็มาดูถูกหาควรไม่....."
อังกาซือจึงว่าถ้าได้ทดลองฝีมือ แล้วสามารถเอาชนะตนได้ก็จะเลิกดูถูก ลิมชองเกรงใจเจ้าของบ้านจึงปฏิเสธ แต่อังกาซือคิดว่ากลัว จึงเร่งเร้าให้ทดลองกันหน่อย ชาจินอยากจะดูฝีมือลิมชอง จึงอนุญาตให้ออกไปกลางสนามเดือนสว่าง
ลิมชองเอากระบองของผู้คุม ออกไปสู้กับอังกาซือได้สี่ห้าเพลงก็ร้องว่าขอยอมแพ้แล้ว ชาจินถามว่าเพิ่งลงมือทำไมจะยอมแพ้ ลิมชองก็ว่าจะต่อสู้ทั้ง ๆ ที่ติดขื่อคาอยู่อย่างนี้ มันก็ต้องแพ้วันยังค่ำ
ชาจินก็ว่าลืมไปไม่ทันคิด จึงเอาเงินให้ผู้คุมสิบตำลึง ขอให้ไขขื่อคาออกสักครู่ โดยตนเองรับประกันว่าไม่หนี ผู้คุมเห็นชาจินเป็นผู้มีหลักฐานดี ก็ไขเอาคาออกจากคอลิมชอง ชาจินก็วางเงินรางวัลไว้ยี่สิบห้าตำลึง ผู้ใดชนะให้รับรางวัลไป คราวนี้ลิมชองจับกระบองเข้าสู้รบกับอังกาซือ ซึ่งถือกระบองเหมือนกัน ยังไม่ทันถึงเพลงลิมชองก็ตีถูกขาอังกาซือล้มลง ได้รับความอับอายต้องก้มหน้าเดินออกจากบ้านชาจินไป
ชาจินก็ชวนให้ทั้งผู้คุมและลิมชอง อยู่คุยกันจนสว่างคาตา
รุ่งเช้าชาจินก็เขียนหนังสือสองฉบับ ถึงเจ้าเมืองฉบับหนึ่ง ถึงขุนนางผู้กำกับคุกอีกฉบับหนึ่ง ฝากฝังให้ช่วยดูแลลิมชองด้วย แล้วก็ให้เงินรางวัลแก่ลิมชองยี่สิบห้าตำลึง ให้ผู้คุมห้าตำลึง ผู้คุมทั้งสองก็เอาคาใส่คอลิมชอง พากันเดินไปอีกครึ่งวันจนถึงบ้านเจ้าเมืองชองจิว ผู้คุมนำหนังสือส่งตัวนักโทษให้เจ้าเมืองรับไว้ แล้วรับหนังสือตอบกลับไปเมืองตังเกีย เจ้าเมืองก็ส่งตัวลิมชองเข้าคุกไป
พวกคนโทษเก่าก็มาต้อนรับลิมชอง แล้วแนะนำว่าผู้กำกับคุกกับผู้คุมใหญ่ ใจคอโหดร้าย จะเอาแต่เงินทองอย่างเดียว ถ้ามีเงินให้คนละห้าตำลึงจึงจะอยู่สบาย ถ้าไม่มีให้ก็ต้องเฆี่ยนร้อยทีแล้วเอาไปจำขังไว้ในหลุม ลิมชองก็รับฟังอยู่ พอผู้คุมใหญ่มาสอบถามหา ลิมชองก็เอาเงินให้ไปห้าตำลึง ผู้คุมยินดีถามว่าเงินนี้รวมถึงผู้กำกับคุกด้วยหรือ ลิมชองจึงมอบเงินอีกสิบตำลึงกับหนังสือของชาจิน ให้ช่วยนำไปให้ผู้กำกับคุก ผู้คุมก็พูดว่าจะช่วยเหลือไม่ให้ถูกเฆี่ยน
ลิมชองก็ขอบคุณผู้คุมและคิดในใจว่า
"…….คนทุกวันนี้ มีทรัพย์ก็ไม่ตาย ถ้าไม่มีเงินให้ ชีวิตก็คงตายในคุกนี้เอง…"
ฝ่ายผู้คุมก็แอบยักยอกเงินเสียห้าตำลึง แล้วเอาหนังสือกับเงินห้าตำลึงไปให้ผู้กำกับคุก เมื่ออ่านหนังสือที่ชาจินฝากฝังแล้ว ก็ช่วยลดหย่อนให้ลิมชองไม่ต้องถูกโบยอ้างว่ายังป่วยอยู่
ผู้คุมจึงแนะนำว่าเวลานี้ไม่มีผู้รักษาศาลเจ้าของคุก สมควรให้ลิมชองไปรักษาศาลเจ้า ถึงเวลาก็จุดธูปไหว้เจ้า และกวาดศาลให้เตียนเท่านั้นเอง ผู้คุมก็พูดเอาบุญคุณว่า
"....ท่านดูผู้อื่นเถิด ทำงานยังค่ำซ้ำกลางคืนก็ขังคุกไว้ งานในคุกนี้ถ้าผู้ใดได้ไปรักษาศาลก็จัดเป็นอย่างสบาย ถึงท่านเสียเงินให้เรา ก็มีความสุขมากกว่าคนทั้งปวง..."
ลิมชองก็ว่า
".....ท่านช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้ บุญคุณหนักหนา ถ้าสืบไปภายหน้า ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน....."
พอไปถึงศาลลิมชองก็ส่งเงินให้ผู้คุมอีกสามตำลึง ขอให้ถอดคาออกเสีย รับรองว่าจะไม่หลบหนีไปไหน ผู้คุมก็จัดการให้ ลิมชองก็เป็นสุขสบายอยู่ที่ศาลเจ้า จะไปเที่ยวไหนก็ได้ อยู่มาได้ห้าสิบวันเข้าฤดูหนาว ชาจินก็ส่งเสื้อกางเกงมาให้ลิมชองใส่กันหนาวด้วย
วันหนึ่งลิมชองว่าง ก็ออกมาเดินเล่นอยู่หน้าศาลเจ้า ได้พบกับ เซียวยี่ เดิมเป็นลูกจ้างโรงขายสุราอยู่ที่เมืองหลวง ต่อมาได้ลักเงินเจ้าของโรงสุรา แต่ถูกจับได้จะถูกส่งตัวไปลงโทษ ลิมชองก็ช่วยออกเงินใช้หนี้ให้จึงพ้นโทษ เมื่อขอลาเดินทางไปหาพี่น้อง ลิมชองก็ให้เงินติดตัวไปอีก จึงถามว่ามาทำอะไรอยู่ที่เมืองชองจิวนี้
เซียวยี่ก็คุกเข่าลงคำนับเล่าว่า ไปหาญาติพี่น้องไม่พบ ก็เลยทำมาหากินเป็นลูกจ้างโรงเตี๊ยมอยู่ในเมืองนี้ บังเอิญเถ้าแก่ชอบใจการทำงาน มีจิตเมตตายกบุตรสาวให้เป็นภรรยา อยู่กินด้วยกันมา จนบิดามารดาของภรรยาตายไปหมด จึงทำการค้าขายเลี้ยงตัวมาสองคนกับ ภรรยาจนถึงบัดนี้ ไม่เคยลืมคุณที่ได้รับอุปการะมาแต่หนหลัง
ลิมชองก็เล่าเรื่องที่ตนต้องโทษจนถูกเนรเทศมาอยู่เมืองนี้ เซียวยี่ก็พาลิมชองไปที่บ้าน แล้วให้ภรรยาออกมาคำนับผู้มีคุณ ตั้งแต่นั้นมาลิมชองกับเซียวยี่ ก็ไปมาหาสู่กันเป็นประจำมิได้ขาด
อยู่มาวันหนึ่งตอนเช้า เซียวยี่จัดของหน้าร้านอยู่ เห็นชายสองคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม คนหนึ่งแต่งกายเป็นขุนนางฝ่ายทหาร อีกคนเดินหลังเหมือนคนรับใช้ เซียวยี่ก็ต้อนรับจัดโต๊ะให้ ขุนนางนั้นก็เอาเงินให้เซียวยี่ตำลึงหนึ่ง ให้ไปเชิญผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ มาคุยกันที่โรงเตี๊ยม เซียวยี่ได้ยินออกชื่อกอไทอวยก็อยากรู้เรื่อง
แต่พอเข้าไปใกล้ ขุนนางนั้นบอกว่าไม่ต้องคอยรับใช้ ถ้าอยากได้สิ่งใดจะเรียกเอา เพราะต้องการจะพูดความลับกัน เซียวยี่จึงให้ภรรยาแอบฟังอยู่ที่ห้องข้าง ๆ คนทั้งสี่พูดจาตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็แยกกันไป
พอลิมชองมาหาอย่างเคย เซียวยี่ก็เล่าให้ฟังว่า มีคนเมืองหลวงสองคนมาหาผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ปรึกษาความลับกันอยู่ ให้ภรรยาแอบฟังก็ไม่ค่อยจะได้ยิน เห็นแต่คนที่มาจากเมืองหลวง ส่งถุงกับหนังสือให้ผู้กำกับคุกและผู้คุมใหญ่ไป ผู้คุมพูดว่าตกพนักงานข้าพเจ้าทั้งสองคน คงตายในเงื้อมมือ ท่านอย่าวิตกเลย
ลิมชองไต่ถามถึงรูปร่างลักษณะแล้วก็รู้ว่า คนหน้าขาวที่เป็นขุนนางคือเล็กเคียม เพื่อนทรยศของตนเอง อีกคนหนึ่งหน้าแดงตัวเตี้ย คือฮูอันคนใช้ของกอไทอวยแน่ เซียวยี่ก็เตือนให้ลิมชองระวังตัว ลิมชองจึงลาไปซื้อกระบี่เหมาะมือแล้วเที่ยวตามหาคู่อาฆาตทั้งสอง แต่ตามหาอยู่ห้าวันก็ไม่พบ
พอถึงวันที่หก ผู้กำกับคุกก็เรียกตัวลิมชองเข้าไปหา แล้วให้ไปรักษาโรงหญ้าแห้งและฉางถั่วสำหรับเลี้ยงม้าและลา เพราะเห็นว่าดีกว่าอยู่ที่ศาลเจ้า ลิมชองก็มาปรึกษากับเซียวยี่ถึงเรื่องนี้ เซียวยี่ก็บอกว่า
"....ซึ่งจะไปรักษาโรงฟางฉางถั่วต่าง ๆ นั้นดีดอก ผลประโยชน์ก็มีบ้าง แต่ท่านจะไปอยู่ที่นั้นไกลกับข้าพเจ้าทางประมาณสิบห้าลี้เศษ ถ้าท่านไปแล้วจงมาหาข้าพเจ้าบ้าง การงานสิ่งใดท่านอุตส่าห์ตริตรองระวังตัวเถิด..."
ลิมชองก็เก็บข้าวของ ให้ผู้คุมพาไปถึงโรงฟางฉางถั่ว ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบ เจอผู้เฒ่านั่งผิงไฟอยู่หน้าโรงฟางผู้หนึ่ง เพราะเป็นฤดูหนาวลมพัดแรง ลิมชองก็รับหน้าที่จากผู้เฒ่านั้น ซึ่งเปลี่ยนไปเฝ้ารักษาศาลเจ้าแทน ผู้เฒ่าจึงบอกกับลิมชองว่า เปลือกน้ำเต้าแห้งที่แขวนอยู่นั้น สำหรับใส่สุรา ถ้าจะเสพสุราให้เอาน้ำเต้านี้ไปซื้อ เจ้าของโรงสุราจำได้ก็จะให้สุรามากกว่าปกติ โรงสุรานี้ก็อยู่ไม่ไกล ประมาณสองสามลี้
เมื่อผู้เฒ่ากับผู้คุมกลับไป และจัดแจงที่อยู่เรียบร้อยแล้ว ลิมชองก็เอาทวนคู่มือคอนน้ำเต้าว่าจะไปซื้อสุราอาหารมากินแก้หนาว ไม่ช้านักก็ถึงโรงสุรา เข้าไปคุยกับเจ้าของโรงพักหนึ่ง แล้วซื้อสุรากับเสบียงกลับมาโรงฟาง
เมื่อถึงเวลาเย็นใกล้ค่ำมีลมหนาวพัดกระหน่ำ ทำเอาหลังคาโรงเปิดเปิงฝาพังไปเป็นแถบ ลิมชองกลัวไฟในเตาจะลุกไหม้ก็เดินไปดูแล ปรากฎว่าไฟดับหมดแล้ว จึงหาของมาปิดเตาไว้ ไม่ให้หมอกน้ำค้างลงให้เตาเปียก เพราะพื้นโรงที่จะอาศัยก็เปียกชื้นไปทั่ว นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อขาไปโรงสุรา ผ่านศาลเจ้าแห่งหนึ่งระยะทางประมาณครึ่งลี้ จึงเหน็บกระบี่หอบห่อผ้าคอนทวนไปอาศัยนอนในศาลเจ้าซึ่งไม่มีคนเฝ้า แล้วปิดประตูเอาศิลาทับไว้ภายในเปิดไม่ออก
ลิมชองก็เข้าไปคำนับที่หน้าศาลเจ้าแล้วก็ปัดกวาดที่นอน เอาเสื้อกางเกงปูพื้น คว้าน้ำเต้าสุรามารินกินกับเสบียงที่จ่ายมาเมื่อเย็น
จนถึงห้าทุ่มได้ยินเสียงไฟไหม้ปะทุปึงปัง จึงลุกขึ้นดูตามช่องหน้าต่างศาล เห็นไฟไหม้โพลงอยู่ที่โรงฟางฉางถั่วก็ตกใจ จะเปิดประตูออกไปดับไฟ บังเอิญได้ยินเสียงคนเดินพูดกันเข้ามาที่ศาล จึงปิดประคูเอาศิลาทับไว้อย่างเดิม คนที่มาเปิดประตูไม่ได้ ก็ยืนพูดกันอยู่ข้างนอก ลิมชองเงี่ยหูฟังได้ยินพูดกันว่า
".....ซึ่งอุบายคิดฆ่าลิมชองนี้ท่านเห็นดีหรือไม่....."
อีกคนพูดว่า
"...ท่านผู้กำกับและผู้คุมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คิดความอันนี้ถ้าไปถึงตังเกียเมืองหลวง ข้าพเจ้าจะเสนอความชอบของท่าน แก่กอไทอวย ว่าท่านทั้งสองมีใจช่วยจริง ๆ ขอให้ เลื่อนยศศักดิ์ใหญ่ขึ้นไป ซึ่ง เตียกาเถา พ่อตาของลิมชองนั้นเห็นจะขัดขืนไม่ได้..."
คนหนึ่งพูดว่า
".....ได้ให้คนไปหาเตียกาเถาเป็นหลายครั้ง บอกว่า ลิมชองบุตรเขยตาย ขอบุตรสาวที่เป็นภรรยาลิมชองให้กับกอเงไหลเถิด เตียกาเถาไม่ยอมให้ กอเงไหลกลับป่วยหนักลง กอไทอวยบิดากอเงไหลจึงให้มาปรึกษากับท่าน คิดฆ่า ลิมชองเสีย การอันนี้ก็สำเร็จความปรารถนาแล้ว..."
คนหนึ่งก็พูดอีกว่า
"....เมื่อเราเข้าเอาไฟจุดหญ้าฟางขึ้นทั้งสี่ทิศ ไฟติดพร้อมกันจะหนีไปข้างไหนพ้น..."
คนหนึ่งก็เสริมว่า
"...จะเป็นหรือตายก็จะได้เห็นกันในเช้าวันนี้..."
คนหนึ่งก็ว่า
"....ถึงจะไม่ตายในไฟหนีออกมาได้ ไฟไหม้ของหลวงเสียหายเป็นอันมาก โทษนั้นก็ถึงตาย....."
อีกคนหนึ่งว่า
"....เราคอยดูก่อน ถ้าไฟโทรมแล้ว ก็จะเก็บกระดูก ลิมชอง สักสองสามอันห่อผ้าไปให้กอไทอวยกับกอเงไหลดู กอไทอวยคงจะชมว่าเราทำการสิ่งใด ก็มีสลักสำคัญ….."
ลิมชองฟังคนทั้งสามพูดโต้ตอบกัน ก็จำเสียงได้ว่าเป็น เล็กเคียม ฮูอัน และผู้คุม จึงยกศิลาออก จับทวนเข้าไปกั้นผู้คุมที่จะวิ่งหนีไว้ เล็กเคียมตกใจยืนนิ่งตลึงอยู่ ฮูอันวิ่งหนีไปได้ประมาณสิบก้าว ลิมชองไล่ทันเอาทวนแทงตายไป แล้วหันกลับมาตีด้วยทวน ถูกอีกสองคนล้มลง ลิมชองเอาเท้าเหยียบไว้ ชักกระบี่ออกมาเงื้อง่า และถามเล็กเคียมว่า
"..เรากับเจ้ารักใคร่กันเป็นหนักหนาไม่มีข้อสาเหตุสิ่งใดเลย เจ้ามาคิดฆ่าเราด้วยเหตุผลอันใด เจ้าจงลองดูกระบี่ของเราจะคมหรือไม่..."