เรื่องย่อ

การผจญภัยของสาวน้อยสายโหด ที่โปรดปรานการท่องเที่ยวภูเขาหิมะเป็นชีวิตจิตใจ โดยมีความเชื่อว่า บนภูเขาหิมะที่มีความสูงระดับ 4000 เมตรขึ้นไป มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เธอจึงทำทุกวิถีทางเพื่อหาคำตอบเหล่านั้น โดยในการเดินทางของเธอ มีเพียงกระเป๋าหนัก 7 กิโลกรัมกับกล้อง Lumix GF7 แบบไร้ตัวช่วยในการถ่ายภาพ ซึ่งภารกิจของเธอคือ เธอจะต้องถ่ายภาพ"ตัวเอง"และ"ถ่ายด้วยตัวเอง"กับยอดเขาหิมะที่เธอรักเท่านั้น แต่ด้วยโรคภูมิแพ้อย่างหนักก่อนเดินทางที่เป็นอุปสรรคใหญ่ จะทำให้เธอหาคำตอบได้หรือไม่???

และอะไรที่ซ่อนอยู่หลังภูเขาหิมะที่เธอกำลังตามหา????  โปรดติดตาม.....


EP 1 แน่ใจแล้วหรอ?ที่จะไปคนเดียว....

"ความกลัว"

ฉันเติบโตมากับมันตั้งแต่เด็ก ฉันกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นมาตลอด และน่าเสียดายที่ "ความกลัว" อยู่กับคนอีกมากมาย ที่อยากเที่ยวบนโลกใบนี้
บางคนกลัวที่จะเสียงาน กลัวผู้คนที่ต้องเจอในประเทศนั้น กลัวเงินหมด กลัวพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สารพัดจะกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น  ซึ่งฉันเคยกลัวสิ่งเหล่านี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว "วันนี้ฉันหายแล้วล่ะ" เพราะ "ฉันกลัวไม่ได้เที่ยวเลยตลอดชีวิต" หรือ "ฉันกลัวต้องเทรคกิ้งตอนอายุ 60"มากกว่า

หลังจากที่ท่องเที่ยวมาหลากหลายตั้งแต่ประเทศที่เจริญที่สุด ไปยังประเทศที่จนที่สุด เที่ยวตั้งแต่ไปกับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว จนกระทั่ง "เที่ยวกับตัวเอง" ฉันจึงค้นพบ สิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่า “พลังชีวิต" หลังจากนั้น ฉันก็เติมพลังชีวิต ด้วยการท่องเที่ยวคนเดียวมาตลอด...

“สวิสเซอร์แลนด์” เป็นประเทศในฝันของฉันแต่เด็ก ดินแดนที่มีภูเขาหิมะเรียงรายดั่งภาพวาด ฉันเที่ยวคนเดียวที่นั่นสำเร็จเมื่อปี 2015 แต่ทว่า ภาพความงามของขุนเขาหิมะมันตราตรึงในใจฉันเหลือเกิน แต่!!!!ก็แลกมากับเงินที่หมดไปร่วมแสน ฉันจึงรู้ว่า....ที่นี่ไม่เหมาะกับฉันแล้วล่ะ เพราะฉันก็ไม่ได้ฐานะดีอะไร ไม่งั้นฉันคงไปเที่ยวสวิสตั้งแต่อายุ 12 แล้วล่ะ!!!จริงมั้ย???


อ้าวววว....แล้วที่ไหนล่ะ??? ที่ภูเขาหิมะความสูงกว่า 4000 เมตรเรียงราย...ในงบแค่ 30,000 บาท(เงิน คือ ตัวแปรสำคัญมากสำหรับฉัน) เมื่อได้โจทย์แล้ว ฉันไม่รอช้า หาข้อมูลในอินเตอร์เนต และพบว่า "ย่าติง(Yading)" คือที่ที่ฉันจะต้องไปบำบัดอาการทางจิตในความคลั่งไคล้ภูเขาหิมะ(แต่งบน้อย)ให้ได้




จองตั๋วสิคะ!!!รออะไร??!! เหมือนยอดเขาที่นั่นจะเรียกหาฉัน ทันทีที่ฉันต้องการไป แอร์เอเชียก็จัดโปรโมชั่นให้ฉันทันที ฉันได้ตั๋วไปกลับในราคาประมาณ 5,000 บาท โดยลงที่ฉงชิ่งวันที่ 25 ตุลาคมและกลับจากคุนหมิงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2016 รวม 14 วัน

***ที่ต้องลงฉงชิ่งเพราะถูกกว่าลงเฉิงตูค่ะ โดยเราสามารถนั่งรถไฟจากฉงชิ่งมาเฉิงตูได้เลยค่ะ
สะดวกและง่ายมาก

การเดินทางจาก ฉงชิ่งสู่เฉิงตู
http://2g.ppantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12798417/E12798417.html

***คำเตือน  โปรดใจเย็นในการจองตั๋วเครื่องบินทุกครั้ง เพราะราคาปรกติ 10,000 กว่าบาทเชียวค่ะ


จากนั้น แผนการเที่ยว 14 วันของฉันก็คลอดออกมาอย่างรวดเร็ว
วันที่ 1 (25oct2016) ตะลุยสู่เฉิงตู(Chengdu) หาตั๋วสู่คังติ่ง(Kangding) ตรงดิ่งไปถนนจินลี่(Jinli street)
วันที่ 2 (26oct2016) มุ่งสู่คังติ่ง(Kangding) ดิ่งหาที่รัก เอ้ย!!ที่พัก ทักทายเพื่อนใหม่ หาตั๋วไปถ่ากง Tagong
วันที่ 3 (27oct2016) มุ่งสู่ Tagong,Unseen China ที่บอกได้เลยว่า ฉันหลงรักเขา!!!!!!
วันที่ 4 (28oct2016) นั่งรถบั้นท้ายบาน แต่ต้องเบิกบานกับวิว 2 ข้างทางสู่ Daocheng!!
วันที่ 5 (29oct2016) โอ้โห..."ย่าติง" สวยจริงจนต้องกราบ "ทะเลสาบไข่มุก"
วันที่ 6 (30oct2016)  "ใจเป็นกาย นายเป็นบ่าว" ด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่ แต่ฉันมาถึงแล้ว (ทะเลสาปน้ำนมและทะเลสาปห้าสี)
วันที่ 7 (31oct2016) ลาเขา "ย่าติง" ตรงดิ่งซิ่งจักรยานเที่ยวเต้าเฉิง (Daocheng)
วันที่ 8 (1Nov2016) สุดทรหด ตัวขดอยู่ในรถร่วม 10 ชม. เพื่อมุ่งหน้าสู่ แชงกริล่า(Shangrila)
วันที่ 9 (2Nov2016) อุทยานแห่งชาติพูตาชัว(Pudacuo) ไปคนเดียวแบบไม่มั่วเพราะมีเพื่อน(จีน)ใหม่พาไป
วันที่ 10 (3Nov2016) ตะลุยสู่ ลี่เจียง(Lijiang) ดินแดนภูเขาหิมะมังกรหยก พร้อมฉกขนมดอกไม้กินระหว่างทาง
วันที่ 11 (4Nov2016) เจอกันอีกแล้ว "อวี้หลงเซียะซาน" สวยจนต้องอุทานสามสิบตลบ
วันที่ 12 (5Nov2016) ลาแล้ว ลี่เจียง (Lijiang) หวังเพียงเจอกันใหม่
วันที่ 13 (6Nov2016) อุทยานป่าหินยูนนาน (Yunnan Stone Forest Geological Park) เห็นแล้วร้องอุทาน....เอิ่ม....
วันที่ 14 (7Nov2016) ลาก่อนคุนหมิง กลับจริงแล้วจ้ะ

เมื่อแผนการเที่ยวสำเร็จแล้ว สิ่งสำคัญต่อมานั่นก็คือ “วีซ่า”

รายละเอียดการขอวีซ่า อัพเดท มีนาคม 2017   https://ppantip.com/topic/36190042


หลังจากที่แผนการเที่ยวและวีซ่าพร้อมแล้ว.....แต่..เคราะห์ซ้ำกรรมซัด!!!! ฉันดันป่วยเรื้อรังอยู่หลายเดือนทั้งไข้หวัด น้ำมูกไหล ไอ พออาการดีขึ้นได้ 1 อาทิตย์ ฉันก็เจ็บคอและเป็นใหม่ สาเหตุเพราะฉันทำงานหนัก ภูมิคุ้มกันต่ำ และจากการเป็นหวัดบ่อยและต้องขึ้นเครื่องบินบ่อยในช่วงนั้น ความดันในหูของฉันปรับไม่ทัน ส่งผลให้ฉันหูดับอยู่ 1 เดือน!!!!

หมอ : พักการขึ้นเครื่องบินหน่อยดีมั้ยครับ? ไม่งั้นหูก็จะไม่หายนะ กินยาเยอะแค่ไหนก็คงไม่ช่วยถ้าไม่พักครับ พอจะดีขึ้น คุณก็ขึ้นเครื่องบิน แล้วคุณจะหายขาดได้ยังไง???
ฉัน : ..................... (ฉันได้แต่หน้าชา และคิดในใจว่า คุณหมอ...ตอนนี้หนูแค่หูอื้อค่ะ แต่ถ้าหนูไม่ได้ไปไหนเลย หนูต้องเป็นโรคตรอมใจและอดตายเพราะไม่มีอะไรกินแน่เลยค่ะ!!!)

ฉันหาหมออยู่หลายที่แต่ก็ไม่ดีขึ้น เหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์ ฉันจึงพึ่งทุกอย่าง......แม้แต่

"สิ่งเร้นลับ"



วิธีแก้ของฉันคือ(สาระมาแล้ว**)

1. พกยาประเภทพ่นขยายหลอดเลือด และกินยา pseudoephedrine บวกเคี้ยวหมากฝรั่ง ทุกครั้งที่ขึ้นและลงเครื่องบิน หรือแม้แต่กระเช้า ห้ามหลับเวลาเครื่องแลนด์เด็ดขาด เพื่อให้กรามได้ขยับอยู่เสมอ

บทความ หูอื้อ..แต่ต้องขึ้นเครื่องบินต้องทำอย่างไร?
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=745

2. ต้มหงจินเทียนกินก่อนเดินทาง 1 สัปดาห์  ตำรับยาโบราณจากทิเบตสำหรับคนที่กลัวมีอาการ Ams เวลาขึ้นที่สูง ซื้อได้ที่เยาวราชขีดละ 80 บาทค่ะ ฉันใช้มา 2 ครั้งแล้ว รสชาติพอใช้แต่เห็นผลทันใจดีนักแล...

สถานที่ซื้อ หงจินเทียน
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1563460587272400&id=100008254211947

ทำความรู้จักกับ AMS
https://www.thaitravelclinic.com/blog/th/other-travel-tips/altitude-sickness2-symptoms-and-preventio.html

3. สวดมนต์ค่ะ บอกแล้วว่าฉันจริงจัง!!!..ฉันสั่งธงมนต์ของทิเบตมาจากอีเบย์ ฉันนำไปวางไว้ที่หัวนอนและสวดมนต์ทุกคืน ฉันเชื่อว่า "ใจเป็นกาย นายเป็นบ่าว"

ฉันต้องทำได้ ฉันต้องทำได้ และฉันต้องทำได้!!!  
ฉันได้แต่สะกดจิตตัวเองพร้อมสั่งน้ำมูกทุกวัน..


เพราะการสวดมนต์นั้น จะทำให้ใจเราไม่ฟุ้งซ่านและมีสมาธิมุ่งมั่นในสิ่งที่ต้องการทำมากขึ้น
เมื่อใจฉันพร้อมมากขนาดนี้!!!!..... แต่กระเป๋าเดินทางยังไม่พร้อม(เอ้ะ!ยังไง?)...งั้นเราไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง...