[หนังโรงเรื่องที่ 180] The Space Between Us - ปั๊ปปี้เลิฟสเกลอวกาศ ; (Peter Chelsom, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
*ผู้เขียนเป็นติ่งพระเอก
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : "การ์ตเนอร์ เอลเลียต" (Asa Butterfield) เป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดบนดาวอังคาร ระหว่างที่โลกกำลังเริ่มภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคารครั้งแรก ซึ่งด้วยความต่างทางแรงโน้มถ่วงส่งผลให้อวัยวะร่างกายของเขามีความแข็งแรงไม่เท่ามนุษย์โลกทั่วไป ... และเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มเขาก็ได้เดินทางกลับมายังโลกอีกครั้งเพื้อตามหาพ่อแท้ๆของตน และเพื่อพบกับ "ทัลซ่า" (Britt Robertson) เด็กสาวที่เขาได้รู้จักผ่านอินเตอร์เน็ตด้วย
ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่มีพล็อตที่เล่นใหญ่เกินตัวมากกกก กับการกับหยิบจับความเป็น Martian (มนุษย์ดาวอังคาร) เข้ามาใช้ในหนังรักๆใคร่ๆของวัยรุ่น แต่เอาจริงๆหนังก็ไม่ได้ต่อยอดจากพล็อตตรงนี้ซักเท่าไหร่(นอกเสียจากประเด็นเรื่องสุขภาพของตัวพระเอกเฉยๆ) มันเลยกลายเป็นหนังปั๊ปปี้เลิฟของวัยรุ่นเด็กๆไปเฉ๊ย
สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งของหนังก็คือการที่มันสามารถสร้างบรรยากาศของ "วัยรุ่น" ออกมาได้ค่อนข้างแม่นยำเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่แปรปรวณ, พฤติกรรมต่อต้าน และการกระทำที่หุนหันพลันแล่นทั้งหลาย ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประคองธีมหนังไม่ให้มันหลุดเลอะเทอะไปไกลกว่านั้นได้ อีกอย่างคือมันสอดคล้องกับวัยวุฒิของตัวเอกของเราด้วยที่มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ถ้าจะให้มันเป็น serious love story กว่านี้มันก็คงดูแหม่งๆแหละ
ประเด็นที่ชอบก็คือความพยายามที่พูดถึง 'เรื่องใหญ่ๆในสิ่งเล็กๆ' ที่หนังพยายามยกขึ้นมาพูดตลอดเวลาผ่านตัวละครมนุษย์ดาวอังคารอย่างการ์ตเนอร์ ที่สำหรับเขาแล้วทุกอย่างบนโลกคือสิ่งที่แปลกใหม่ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นมหาสมุทร สายลม หรือความอบอุ่นจากเปลวไฟ ซึ่งทั้งหมดนี้สำหรับพวกเราแล้วมันก็ดูเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่น่าชินชาจนเราละเลยความสวยงามของมันไป เหมือนกับวรรคหนึ่งที่การ์ตเนอร์โดนชายจรจัดถามที่ว่า
"แล้วอะไรคือสิ่งที่นายชอบที่สุดบนโลกล่ะ ไอ้หนู?"
"จนถึงตอนนี้ ... คือการที่ผมได้พบและพูดคุยกับคุณไง"
ที่สำคัญคืองานภาพของหนังที่สวยมากกกกกกกกกก ในหลายๆฉากทิวทัศน์นั้นก็ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสวยงาม เพื่อขับส่งข้อความของหนังที่อยากให้เราหันกลับมาชื่นชมความสวยงามของโลกอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องบอกว่าสอบผ่านสุดๆเลยล่ะ
ถ้าพูดถึงข้อเสียของหนังก็คงหนีไม่พ้น "ด้านเนื้อเรื่อง" ที่มีความก๊องแก๊งพอสมควร คือกับการเล่าเรื่องในบางฉากบางตอนมันแลดูรีบๆกระโดดข้ามการปูพื้นเพไปนิด แต่กลับเสียเวลาไปกับการอินโทรเรื่องดาวอังคารเสียนานแต่ก็ไม่ได้ใช้ การผจญภัยบนโลกของพระเอกมันดูฉาบฉวยขายโมเมนท์เป็นฉากๆมากกว่าที่จะมีความต่อเนื่องมากพอ .. ซึ่งจะเรียกว่ามันเป็นลายเซ็นต์ของผู้กำกับคนนี้ได้มั้ยนะ (คนเดียวกับ Hector and the Happiness)
.
"เอซ่า บัตเตอร์ฟิลด์" เอาบทตัวเองอยู่อีกเช่นเคย กับมาดหนุ่มเนิร์ดๆผู้ไม่ประสาโลกชนิดที่ว่าพร้อมมาเรียกเสียงกรี๊ดจากแม่ยกเต็มๆ และสำหรับในซีนอารมณ์นั้นพ่อหนุ่มคนนี้ก็ยังถ่ายทอดออกมาได้ดีอยู่ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เขียนพร้อมจะปวารณาตัวเองเป็นแฟนคลับไปโดยปริยาย คือเชื่อมั่นเลยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะต้องเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ดีในอนาคตได้แน่ๆ
เข้าคู่กับฝั่งนางเอกสาวอย่าง "บริตต์ โรเบิร์ตสัน" ก็สวมมาดสาวแกร่งก๋ากั่นได้อย่างไม่เคอะเขิน ถึงแม้บทพูดบางช่วงจะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติซักเท่าไหร่ แต่พอฉากที่ต้องเข้ากับพ่อเอซ่าทีไรก็ยังพอพากันไปจนรอดได้
.... เอาจริงๆ The Space Between Us มันยังห่างไกลจากความเป็น "หนังดี" อยู่พอสมควร ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่ประดักประเดิดไปนิด และการใช้วัตถุดิบอย่างพล็อตที่สเกลอลังการได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควรก็เลยทำให้หนังมันไม่นำพาไปอย่างน่าเสียดาย ให้คิดซะว่าไปดูหนังรักเบาๆซักเรื่องกับเสพความเป็นเอซ่าไปละกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[หนังโรงเรื่องที่ 180] The Space Between Us - ปั๊ปปี้เลิฟสเกลอวกาศ by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 180] The Space Between Us - ปั๊ปปี้เลิฟสเกลอวกาศ ; (Peter Chelsom, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : B (จากสเกล D-A)
*ผู้เขียนเป็นติ่งพระเอก
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : "การ์ตเนอร์ เอลเลียต" (Asa Butterfield) เป็นมนุษย์คนแรกที่เกิดบนดาวอังคาร ระหว่างที่โลกกำลังเริ่มภารกิจส่งมนุษย์ขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่บนดาวอังคารครั้งแรก ซึ่งด้วยความต่างทางแรงโน้มถ่วงส่งผลให้อวัยวะร่างกายของเขามีความแข็งแรงไม่เท่ามนุษย์โลกทั่วไป ... และเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มเขาก็ได้เดินทางกลับมายังโลกอีกครั้งเพื้อตามหาพ่อแท้ๆของตน และเพื่อพบกับ "ทัลซ่า" (Britt Robertson) เด็กสาวที่เขาได้รู้จักผ่านอินเตอร์เน็ตด้วย
ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่มีพล็อตที่เล่นใหญ่เกินตัวมากกกก กับการกับหยิบจับความเป็น Martian (มนุษย์ดาวอังคาร) เข้ามาใช้ในหนังรักๆใคร่ๆของวัยรุ่น แต่เอาจริงๆหนังก็ไม่ได้ต่อยอดจากพล็อตตรงนี้ซักเท่าไหร่(นอกเสียจากประเด็นเรื่องสุขภาพของตัวพระเอกเฉยๆ) มันเลยกลายเป็นหนังปั๊ปปี้เลิฟของวัยรุ่นเด็กๆไปเฉ๊ย
สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งของหนังก็คือการที่มันสามารถสร้างบรรยากาศของ "วัยรุ่น" ออกมาได้ค่อนข้างแม่นยำเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่แปรปรวณ, พฤติกรรมต่อต้าน และการกระทำที่หุนหันพลันแล่นทั้งหลาย ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประคองธีมหนังไม่ให้มันหลุดเลอะเทอะไปไกลกว่านั้นได้ อีกอย่างคือมันสอดคล้องกับวัยวุฒิของตัวเอกของเราด้วยที่มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น ถ้าจะให้มันเป็น serious love story กว่านี้มันก็คงดูแหม่งๆแหละ
ประเด็นที่ชอบก็คือความพยายามที่พูดถึง 'เรื่องใหญ่ๆในสิ่งเล็กๆ' ที่หนังพยายามยกขึ้นมาพูดตลอดเวลาผ่านตัวละครมนุษย์ดาวอังคารอย่างการ์ตเนอร์ ที่สำหรับเขาแล้วทุกอย่างบนโลกคือสิ่งที่แปลกใหม่ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นมหาสมุทร สายลม หรือความอบอุ่นจากเปลวไฟ ซึ่งทั้งหมดนี้สำหรับพวกเราแล้วมันก็ดูเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่น่าชินชาจนเราละเลยความสวยงามของมันไป เหมือนกับวรรคหนึ่งที่การ์ตเนอร์โดนชายจรจัดถามที่ว่า
"จนถึงตอนนี้ ... คือการที่ผมได้พบและพูดคุยกับคุณไง"
ที่สำคัญคืองานภาพของหนังที่สวยมากกกกกกกกกก ในหลายๆฉากทิวทัศน์นั้นก็ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสวยงาม เพื่อขับส่งข้อความของหนังที่อยากให้เราหันกลับมาชื่นชมความสวยงามของโลกอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องบอกว่าสอบผ่านสุดๆเลยล่ะ
ถ้าพูดถึงข้อเสียของหนังก็คงหนีไม่พ้น "ด้านเนื้อเรื่อง" ที่มีความก๊องแก๊งพอสมควร คือกับการเล่าเรื่องในบางฉากบางตอนมันแลดูรีบๆกระโดดข้ามการปูพื้นเพไปนิด แต่กลับเสียเวลาไปกับการอินโทรเรื่องดาวอังคารเสียนานแต่ก็ไม่ได้ใช้ การผจญภัยบนโลกของพระเอกมันดูฉาบฉวยขายโมเมนท์เป็นฉากๆมากกว่าที่จะมีความต่อเนื่องมากพอ .. ซึ่งจะเรียกว่ามันเป็นลายเซ็นต์ของผู้กำกับคนนี้ได้มั้ยนะ (คนเดียวกับ Hector and the Happiness)
.
"เอซ่า บัตเตอร์ฟิลด์" เอาบทตัวเองอยู่อีกเช่นเคย กับมาดหนุ่มเนิร์ดๆผู้ไม่ประสาโลกชนิดที่ว่าพร้อมมาเรียกเสียงกรี๊ดจากแม่ยกเต็มๆ และสำหรับในซีนอารมณ์นั้นพ่อหนุ่มคนนี้ก็ยังถ่ายทอดออกมาได้ดีอยู่ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เขียนพร้อมจะปวารณาตัวเองเป็นแฟนคลับไปโดยปริยาย คือเชื่อมั่นเลยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะต้องเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ดีในอนาคตได้แน่ๆ
เข้าคู่กับฝั่งนางเอกสาวอย่าง "บริตต์ โรเบิร์ตสัน" ก็สวมมาดสาวแกร่งก๋ากั่นได้อย่างไม่เคอะเขิน ถึงแม้บทพูดบางช่วงจะดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติซักเท่าไหร่ แต่พอฉากที่ต้องเข้ากับพ่อเอซ่าทีไรก็ยังพอพากันไปจนรอดได้
.... เอาจริงๆ The Space Between Us มันยังห่างไกลจากความเป็น "หนังดี" อยู่พอสมควร ด้วยลีลาการเล่าเรื่องที่ประดักประเดิดไปนิด และการใช้วัตถุดิบอย่างพล็อตที่สเกลอลังการได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควรก็เลยทำให้หนังมันไม่นำพาไปอย่างน่าเสียดาย ให้คิดซะว่าไปดูหนังรักเบาๆซักเรื่องกับเสพความเป็นเอซ่าไปละกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้