Bonjour ! สวัสดีค่ะ เราชื่อวาเลน อายุ16ปี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนของโครงการโรตารี่ หรือRotary youth exchange D.3360 ซึ่งเราได้มีโอกาสมาแลกเปลี่ยนที่ประเทศฝรั่งเศสค่ะ ตอนแรกเหตุผลที่เราเลือกอยากจะมาแลกเปลี่ยนประเทศฝรั่งเศสนั้น เพราะเราคิดว่าประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอะไรหลายๆอย่างเหมือนกันกับประเทศไทยแต่ในความเหมือนนั้น ก็มีความต่างอยู่ในตัว เราเลยอยากมาแลกเปลี่ยนเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี้ รวมถึงการใช้ชีวิต ความคิด ทัศนคติของคนฝรั่งเศส นี้จึงเป็นเหตุผลที่เราเลือกจะมาแลกเปลี่ยนที่ประเทศฝรั่งเศสนี้
>>Rotary Youth Exchange Program<<
ทางสโมสรโรตารี่จะมีโครงการดีๆมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโครงการเยาวชนแลกเปลี่ยน เยาวชนเหล่านี้คือลูกหลานของสมาชิกในสโมสรโรตารี่หรือโรทาเรี่ยนของแต่ละคลับ ในแต่ละปีก็จะมีการเริ่มต้นสอบเพื่อคัดหานักเรียนแลกเปลี่ยนในช่วงเดือนสิงหาคมและมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมให้เด็กมากมายก่อนการมาแลกเปลี่ยนจริง ในปีของเรามีเพื่อนแลกเปลี่ยนจากภาค 3360 ด้วยกันถึง 36 คนและได้มาแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสเพียง 5 คน แต่ละคนนั้นจะได้อยู่กันคนละภาคคนละโซนของประเทศฝรั่งเศสเลย อย่างเราได้อยู่ภาค 1760 อยู่แถวๆทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ก่อนเรามาแลกเปลี่ยนทางโครงการโรตารี่ได้มีค่ายอบรมให้แก่นักเรียนแลกเปลี่ยนเยอะมาก เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมาแลกเปลี่ยนจริงๆ ในค่ายก็จะมีทั้งการพบเจอเพื่อนที่ไปแลกเปลี่ยนด้วยกัน รุ่นพี่ที่ไปกันมาแล้วก็จะมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง มีผู้ใหญ่คอยแนะนำสอนวิธีการแก้ปัญหาต่างๆให้ตลอด เพราะทางโรตารี่เองไม่อยากให้พวกเราต้องตกใจ ลำบาก หรืออยู่ที่นั้นได้ไม่ครบปี จึงมีการจัดเตรียมความพร้อมเยอะมาก ทั้งค่ายสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้น ค่ายให้ละลายพฤติกรรม ค่ายอบรมความเป็นผู้นำ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศให้เราได้มีโอกาสนำพวงมาลัยกราบขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ของเราก่อนมาแลกเปลี่ยนอีกด้วย ส่วนข้อมูลต่างๆหากใครสนใจก็สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ของทางโครงการนะคะ '' www.ye3360.com ''
>>French<<
เราได้อยู่ที่เมือง Istres เป็นเมืองเล็กๆไม่ได้ใหญ่อะไรมาก น้อยคนจะรู้จักเพราะเป็นเมืองที่เล็กๆสงบๆเงียบๆไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรมาก จะอยู่ติดกับเมือง AIX-Marseille ซึ่งเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ในโซนนี้ ที่นี้แต่ละร้านจะแยกกันอยู่แบบเป็นสัดเป็นส่วนเลย คือไม่ได้มีห้างใหญ่ๆเยอะๆเหมือนบ้านเราที่จะมีร้านทุกอย่างอยู่ในนั้น เขาจะแยกร้านเสื้อผ้าอยู่อีกที่หนึ่ง ร้านขายวัตถุดิบทำอาหารอยู่อีกที่หนึ่ง ร้านขายขนมปัง ขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ขายของเล่น คือแยกกันอยู่หมดเลย จนบางทีการไปหาซื้ออะไรนี้ต้องดูจากเว็บไซต์ก่อนว่ามีอยู่ที่ร้านไหนแล้วร้านตั้งอยู่ไหน ไม่สามารถจะไปเดินๆดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจซื้ออย่างประเทศไทยเราได้เลย และร้านที่นี้จะเปิดปิดเป็นเวลา แล้วทุกร้านจะหยุดทุกวันอาทิตย์ ทำให้ในช่วงวันเสาร์รถจะเยอะมากเพราะทุกครอบครัวจะไปซื้อของสำหรับทำอาหารใน1สัปดาห์ คนเลยซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตกันมากกว่า เพราะทั้งสะดวกและสบายกว่าเยอะ
และด้วยความที่เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็กทำให้ไม่มีสัญญาติไฟจราจรมาก รถจึงไม่ค่อยติด ส่วนใหญ่แยกจะเป็นแบบวนเวียน เลยไม่ค่อยประสบปัญหาอุบัติเหตุทางการจราจรแต่อย่างใด และคนที่นี้เคร่งครัดในกฎหมายการจราจรมาก เพราะค่าปรับแพงสุดๆ รัดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา แล้วรถบางทีวิ่งๆอยู่คนจะเดินข้ามถนนก็ต่อหยุดให้ด้วยนะ เพราะถ้าชนคน ที่ผิดคือรถนะไม่ใช่คน
พื้นที่ที่ประเทศนี้มีไม่มากทำให้ขนาดถนนและรถเล็กตามกันไปด้วย และใครที่คิดว่าฝรั่งเศสหิมะตกทั่วประเทศนะ ตกทุกที่จริงๆแต่แค่ไม่ทุกปีเท่านั้นเอง อย่างเมืองเราอยู่ติดกับทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศสเลยทำให้มีลมแรงตลอดปีและมีแดดเลยไม่หนาวมาก ขนาดหน้าหนาวหนาวสุดก็-2องศาในตอนเช้า พอกลางวัน8-10องศา แล้วก็เจอฝนและลมบ่อยมาก ถ้าถามถึงหิมะ ล่าสุดที่ตกคือเมื่อ10ปีที่แล้ว เพราะงั้นปีนี้คงต้องภาวนาให้หิมะกลับมาตกที่เมืองนี้บ้างเผื่อจะได้มีบรรยากาศแบบในหนังบ้างไรบ้าง ตอนแรกก็แอบเฟลๆนะที่จะไม่เจอหิมะ แต่ก็ดีแล้วไม่หนาวมากจะได้ไม่เปลืองตังซื้อเสื้อผ้าใหม่
ส่วนที่ทำการสถานที่ต่างๆก็แยกกันอยู่ด้วยนะ ไม่ว่าจะธนาคาร โรงพยาบาล ที่ทำการไปรษณีย์ อยู่กันคนละที่และมีน้อยมาก อย่างโรงพยาบาลถ้าไม่หนักจริงๆเขาแทบจะไม่ไปกันเลย ส่วนใหญ่ถ้าหาหมอก็จะไปตามคลินิกเอา แล้วที่แปลกคือเขาจะไม่มีพยาบาลหรือคนไข้อะไรเยอะเหมือนเรา มีแค่คุณหมอคนเดียว เราเคยไปตรวจสุขภาพเบื้องต้นตอนจะเขียนใบสมัครเรียน หมอบอกว่าถ้าได้รับยาอะไรหมอจะเขียนใบสั่งให้ แล้วให้เราไปซื้อที่ร้านขายยาเอง ร้านขายยาเราก็ซื้อยาได้นะ แต่แค่พวกวินามินซีไรแบบนี้อ่ะ ที่เหลือต้องมีใบจากหมอ และค่ารับบริการแพงมาก จ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่โทรนัดวัน เข้ามาหา ตรวจ เขียนใบ ออกใบรับรอง ทุกอย่างเสียเงินหมดนะ เพราะงั้นเตรียมยามาจากไทยจะถูกกว่าอีกเอามาแค่พวกยาสำคัญๆอย่างลดไข้แก้ปวดไรแบบนี้ จะได้มั่นใจว่าเราไม่แพ้ด้วย
นอกจากนี้ธนาคารและตู้เอทีเอ็มไม่ได้มีเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนบ้านเราด้วย จะมีแค่ที่ธนาคารหรือบริเวณใกล้ๆเท่านั้น และจำนวนเงินในตู้ก็มีไม่มากด้วย ถ้าจะถอนมากๆก็ต้องไปถอนที่ธนาคาร แล้วพนักงานที่นี้ก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนบ้านเรา มีธนาคารละคนสองคนเท่านั้นเอง เหมือนร้านอาหารบ้างร้าน คนทำอาหาร คนเสริฟ์ คนเก็บเงิน คือคนเดียวกันก็มี อย่างปั้มน้ำมัน นั่งอยู่ในรถรอน้ำมันเต็มถังนี้ไม่มีทางอ่ะ ต้องลงไปเติมเองไรเองหมด แล้วก็ขับไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน โรงหนังก็แยกนะ โรงหนังที่นี้จะไม่มีระบบการจองที่นั่ง คือใครเข้าโรงก่อนก็เลือกที่นั่งกันเองได้เลย
คนที่นี้ส่วนใหญ่นิยมดูหนังกันช่วงดึกๆ สี่ทุ่มนี้คือคนจะเยอะมาก เขาจะมาดูกันหลังทานข้าวเย็น ดูหนังเสร็จก็กลับบ้านนอนเลย ว่ากันด้วยเรื่องอาหาร ฝรั่งเศสนอกจากขนมปัง ชีส และไวน์แล้วขนมหวานก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน นอกจากนั้นในแต่ละมื้ออาหารจะถูกจัดเตรียมวางไว้แต่ล่วงหน้าทุกมื้อ อย่างมื้อเช้าของคนที่นี้ จะไม่กินอะไรหนักท้อง จะทานแค่ขนมปัง นม ชา กาแฟอะไรพวกนี้ในตอนเช้า จะหนักตรงมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ซึ่งการรับประทานอาหารที่นี้จะแบ่งไปด้วย ออเดิร์ฟคือพวกสลัดหรือของว่างขนมปังชิ้นเล็กๆ ต่อมาก็ อาหารจานหลักพวกเนื้อหรือพาสต้า พิซซ่า แล้วก็บางคนจะทานชีสกับขนมปังต่อ ต่อด้วยของหวานหรือผลไม้ และจบด้วยกาแฟหรือชา และคือเวลาเราหิวมากๆเราก็จะกินขนมปังเยอะมากๆในตอนแรก และมันก็จะเริ่มอิ่มๆตอนจานหลักจบ แล้วก็แถบจะกระอักตอนทานขนมหวาน คนที่นี้ชอบรสชาติเค็มมาก จะเติมเกลือไม่ก็ชีสตลอด และบางคนดื่มไวน์แทนน้ำเปล่าด้วยนะ แล้วคนฝรั่งเศสใช้เวลาบนโต๊ะอาหารนานมาก มื้อเที่ยงในวันหยุดนี้เริ่มตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นก็มี และต่อมื้อดึกอีกตอนประมาณสองทุ่มถึงสี่ห้าทุ่มงี้ แล้วคือเราสงสัยมากคนที่ดื่มกาแฟปิดท้ายเขาจะนอนหลับกันยังไง แต่ก็เห็นนอนหลับกันได้ทุกคนอยู่ดี ผลไม้หลักๆก็คือพวกส้ม หรือแอปเปิ้ล ผลไม้ที่นี้จะไม่มีเยอะและหลากหลายเหมือนไทยเรานะ ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศแอฟฟิกาใต้ด้วยเลยค่อนข้างราคาสูง ถ้าในวันปกติก็จะไม่ได้ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารเยอะขนาดช่วงเทศกาล ก็จะลดมาเหลือแค่ชม.หรือชม.ครึ่ง แต่ถ้าในเทศกาลสำคัญละก็ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบกินกับนอนเลยก็ว่าได้
อย่างวันคริสมาตที่ผ่านมา เราทานข้าวเที่ยงตั้งแต่บ่ายสองจนถึงทุ่มและต่อข้าวเย็นต่อสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน พอตื่นมาก็ทานข้าวเช้าใหม่ และต่อความเที่ยงยาวๆแบบนี้อีก ใช้ชีวิตแบบนี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกินและนอนและกินและตื่นมากินใหม่ เพราะด้วยความที่เป็นเทศกาลสำคัญทำให้ได้ไปทานอาหารร่วมกันเยอะมาก ทั้งไปบ้านเพื่อนโฮสพ่อ ไปบ้านเพื่อนโฮสแม่ ไปบ้านปู่บ้านย่าบ้านอา คือไปทานจนครบเครือญาติเลยก็ว่าได้ นี้ไม่ได้โม้นะ เป็นยังงี้จริงๆ คือความฝันที่อยากมีชีวิตแค่กินและนอนนี้เป็นจริงเลยอ่ะ แต่บอกเลยว่าไม่เวิกร์มาก มันจะรู้สึกอิ่มๆจุกๆอึดอัดตลอดเวลาอ่ะ หลังจากนั้นเราก็ไม่ทานมื้อเย็นไปเลยประมาณสามสี่วัน และด้วยความที่เหมือนจะเป็นเด็กคนเดียวของทั้งสองครอบครัว ทำให้ของขวัญวันคริสมาตเราได้เยอะมาก ทั้งโฮสตายายโฮสพ่อโฮสแม่โฮสแรกเพื่อนๆของโฮสพ่อโฮสแม่ ต่างก็เอ็นดูให้ของขวัญเราเยอะมากถือได้ว่าเราโชคดีสุดๆที่ได้รู้จักกับพวกเขาและได้มาแลกเปลี่ยนที่เมืองนี้
วัฒนธรรมการทักทายของเขาคือจะเอาแก้มชนแก้มบางภาคก็สองครั้งบ้างบางคนก็สามครั้งกันบ้าง มาใหม่ๆมันก็เขินๆดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว บางทีเราจะเพลอตกใจไง เพราะบ้านเราผู้ชายผู้หญิงจับมือก็ไม่ได้ กอดก็ดูไม่ดี หอมแก้มจูบนี้โดนมองแรงแน่ๆ แต่ที่นี้คือเรื่องปกติ บางทีเราเห็นเพื่อนจูบกันเราเขินต้องหันหน้าหนีก็มี พอเราเล่าให้เพื่อนฟังว่าที่ไทยทำแบบนี้ไม่ได้ เขาเลยบอกตลกดีเนาะ แค่คนจะแสดงความรักต่อกันทำไมถึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีไม่งามไปได้ แล้วยังงี้คนที่ไทยเขาแสดงความรักกันยังไงหรอ เราฟังตอนแรกเราก็อึ้งๆนะ ไม่รู้จะตอบเขายังไง พอมาลองคิด ก็จริงสังคมบ้านเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่การกอดจูบในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่ควร มันไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรอกนะ แต่แค่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ทำกัน หรือแม้กระทั่งแอบไปทำกันในที่ลับก็ยังไม่ควร นี้เลยเป็นอีกวัฒนธรรมและทัศนคติใหม่ๆที่เราได้จากคนที่นี้ และไม่ใช่ทุกคนนะที่จะรู้จักประเทศไทย ส่วนใหญ่พอพูดถึงเอเชียบ่อยสุดที่รู้จักก็คือจีนกับไต้หวัน ซึ่งเราจะชอบโดนถามบ่อยมาก ว่าคนไต้หวันหรอ หรือทานหมาจริงๆหรอ ทานแมวจริงๆดิ นี้คือเขาได้ยินข่าวลือกันมายังงี้จริงๆ เพราะงั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเลยที่เราจะได้ตอบคำถามพวกนี้ แต่พอเราเอารูปประเทศไทยให้ดู ไม่มีใครไม่ชอบประเทศไทยเลย เพราะเรามีทั้งภูเขาสวย ทะเลใส ผลไม้เยอะ อาหารเลิศ ชุดหรู วัฒนธรรมงดงาม พอเขาถามเราก็ถือโอกาสแนะนำหรือนำเสนอประเทศเราไปในตัวเลย จะได้มีเรื่องคุยกันด้วย
" บางคนได้มาแลกเปลี่ยนแล้วอยู่เมืองเล็กๆเมืองไกลๆ เราบอกเลยนะ ความสุขของการเรียนรู้อ่ะ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่เมืองใหญ่เมืองหลวงอย่างเดียวนะ มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมและผู้คนในเมืองนั้นมากกว่า ถ้าเรามองว่ามันสวยมันก็จะสวย ถ้าเรามองว่ามันดีมันก็จะดีเอง ไม่จำเป็นต้องหรูหรา อลังกาล แค่อยู่แล้วสบายใจ แค่นั้นมันก็พอแล้วละ "
ปล.คือเราเล่ายาวมากๆมันลงทีเดียวไม่ได้ยังไงก็ตามอ่านกันในคอมเม้นนะคะ
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ของวาเลนนะคะ ติดตามดูรูปถ่ายได้ในอินสตาแกรม แท็ก #valénenfrance แล้วพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ "
ชีวิตของนักเรียนแลกเปลี่ยนประเทศฝรั่งเศส(RYE2016-2017)
>>Rotary Youth Exchange Program<<
ทางสโมสรโรตารี่จะมีโครงการดีๆมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโครงการเยาวชนแลกเปลี่ยน เยาวชนเหล่านี้คือลูกหลานของสมาชิกในสโมสรโรตารี่หรือโรทาเรี่ยนของแต่ละคลับ ในแต่ละปีก็จะมีการเริ่มต้นสอบเพื่อคัดหานักเรียนแลกเปลี่ยนในช่วงเดือนสิงหาคมและมีการเตรียมตัวเตรียมความพร้อมให้เด็กมากมายก่อนการมาแลกเปลี่ยนจริง ในปีของเรามีเพื่อนแลกเปลี่ยนจากภาค 3360 ด้วยกันถึง 36 คนและได้มาแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสเพียง 5 คน แต่ละคนนั้นจะได้อยู่กันคนละภาคคนละโซนของประเทศฝรั่งเศสเลย อย่างเราได้อยู่ภาค 1760 อยู่แถวๆทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ก่อนเรามาแลกเปลี่ยนทางโครงการโรตารี่ได้มีค่ายอบรมให้แก่นักเรียนแลกเปลี่ยนเยอะมาก เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมาแลกเปลี่ยนจริงๆ ในค่ายก็จะมีทั้งการพบเจอเพื่อนที่ไปแลกเปลี่ยนด้วยกัน รุ่นพี่ที่ไปกันมาแล้วก็จะมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง มีผู้ใหญ่คอยแนะนำสอนวิธีการแก้ปัญหาต่างๆให้ตลอด เพราะทางโรตารี่เองไม่อยากให้พวกเราต้องตกใจ ลำบาก หรืออยู่ที่นั้นได้ไม่ครบปี จึงมีการจัดเตรียมความพร้อมเยอะมาก ทั้งค่ายสอนภาษาอังกฤษเบื้องต้น ค่ายให้ละลายพฤติกรรม ค่ายอบรมความเป็นผู้นำ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมปัจฉิมนิเทศให้เราได้มีโอกาสนำพวงมาลัยกราบขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ของเราก่อนมาแลกเปลี่ยนอีกด้วย ส่วนข้อมูลต่างๆหากใครสนใจก็สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ของทางโครงการนะคะ '' www.ye3360.com ''
>>French<<
เราได้อยู่ที่เมือง Istres เป็นเมืองเล็กๆไม่ได้ใหญ่อะไรมาก น้อยคนจะรู้จักเพราะเป็นเมืองที่เล็กๆสงบๆเงียบๆไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรมาก จะอยู่ติดกับเมือง AIX-Marseille ซึ่งเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ในโซนนี้ ที่นี้แต่ละร้านจะแยกกันอยู่แบบเป็นสัดเป็นส่วนเลย คือไม่ได้มีห้างใหญ่ๆเยอะๆเหมือนบ้านเราที่จะมีร้านทุกอย่างอยู่ในนั้น เขาจะแยกร้านเสื้อผ้าอยู่อีกที่หนึ่ง ร้านขายวัตถุดิบทำอาหารอยู่อีกที่หนึ่ง ร้านขายขนมปัง ขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ขายของเล่น คือแยกกันอยู่หมดเลย จนบางทีการไปหาซื้ออะไรนี้ต้องดูจากเว็บไซต์ก่อนว่ามีอยู่ที่ร้านไหนแล้วร้านตั้งอยู่ไหน ไม่สามารถจะไปเดินๆดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจซื้ออย่างประเทศไทยเราได้เลย และร้านที่นี้จะเปิดปิดเป็นเวลา แล้วทุกร้านจะหยุดทุกวันอาทิตย์ ทำให้ในช่วงวันเสาร์รถจะเยอะมากเพราะทุกครอบครัวจะไปซื้อของสำหรับทำอาหารใน1สัปดาห์ คนเลยซื้อของผ่านอินเตอร์เน็ตกันมากกว่า เพราะทั้งสะดวกและสบายกว่าเยอะ
และด้วยความที่เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็กทำให้ไม่มีสัญญาติไฟจราจรมาก รถจึงไม่ค่อยติด ส่วนใหญ่แยกจะเป็นแบบวนเวียน เลยไม่ค่อยประสบปัญหาอุบัติเหตุทางการจราจรแต่อย่างใด และคนที่นี้เคร่งครัดในกฎหมายการจราจรมาก เพราะค่าปรับแพงสุดๆ รัดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา แล้วรถบางทีวิ่งๆอยู่คนจะเดินข้ามถนนก็ต่อหยุดให้ด้วยนะ เพราะถ้าชนคน ที่ผิดคือรถนะไม่ใช่คน
พื้นที่ที่ประเทศนี้มีไม่มากทำให้ขนาดถนนและรถเล็กตามกันไปด้วย และใครที่คิดว่าฝรั่งเศสหิมะตกทั่วประเทศนะ ตกทุกที่จริงๆแต่แค่ไม่ทุกปีเท่านั้นเอง อย่างเมืองเราอยู่ติดกับทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศสเลยทำให้มีลมแรงตลอดปีและมีแดดเลยไม่หนาวมาก ขนาดหน้าหนาวหนาวสุดก็-2องศาในตอนเช้า พอกลางวัน8-10องศา แล้วก็เจอฝนและลมบ่อยมาก ถ้าถามถึงหิมะ ล่าสุดที่ตกคือเมื่อ10ปีที่แล้ว เพราะงั้นปีนี้คงต้องภาวนาให้หิมะกลับมาตกที่เมืองนี้บ้างเผื่อจะได้มีบรรยากาศแบบในหนังบ้างไรบ้าง ตอนแรกก็แอบเฟลๆนะที่จะไม่เจอหิมะ แต่ก็ดีแล้วไม่หนาวมากจะได้ไม่เปลืองตังซื้อเสื้อผ้าใหม่
ส่วนที่ทำการสถานที่ต่างๆก็แยกกันอยู่ด้วยนะ ไม่ว่าจะธนาคาร โรงพยาบาล ที่ทำการไปรษณีย์ อยู่กันคนละที่และมีน้อยมาก อย่างโรงพยาบาลถ้าไม่หนักจริงๆเขาแทบจะไม่ไปกันเลย ส่วนใหญ่ถ้าหาหมอก็จะไปตามคลินิกเอา แล้วที่แปลกคือเขาจะไม่มีพยาบาลหรือคนไข้อะไรเยอะเหมือนเรา มีแค่คุณหมอคนเดียว เราเคยไปตรวจสุขภาพเบื้องต้นตอนจะเขียนใบสมัครเรียน หมอบอกว่าถ้าได้รับยาอะไรหมอจะเขียนใบสั่งให้ แล้วให้เราไปซื้อที่ร้านขายยาเอง ร้านขายยาเราก็ซื้อยาได้นะ แต่แค่พวกวินามินซีไรแบบนี้อ่ะ ที่เหลือต้องมีใบจากหมอ และค่ารับบริการแพงมาก จ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่โทรนัดวัน เข้ามาหา ตรวจ เขียนใบ ออกใบรับรอง ทุกอย่างเสียเงินหมดนะ เพราะงั้นเตรียมยามาจากไทยจะถูกกว่าอีกเอามาแค่พวกยาสำคัญๆอย่างลดไข้แก้ปวดไรแบบนี้ จะได้มั่นใจว่าเราไม่แพ้ด้วย
นอกจากนี้ธนาคารและตู้เอทีเอ็มไม่ได้มีเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนบ้านเราด้วย จะมีแค่ที่ธนาคารหรือบริเวณใกล้ๆเท่านั้น และจำนวนเงินในตู้ก็มีไม่มากด้วย ถ้าจะถอนมากๆก็ต้องไปถอนที่ธนาคาร แล้วพนักงานที่นี้ก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนบ้านเรา มีธนาคารละคนสองคนเท่านั้นเอง เหมือนร้านอาหารบ้างร้าน คนทำอาหาร คนเสริฟ์ คนเก็บเงิน คือคนเดียวกันก็มี อย่างปั้มน้ำมัน นั่งอยู่ในรถรอน้ำมันเต็มถังนี้ไม่มีทางอ่ะ ต้องลงไปเติมเองไรเองหมด แล้วก็ขับไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์จ่ายเงิน โรงหนังก็แยกนะ โรงหนังที่นี้จะไม่มีระบบการจองที่นั่ง คือใครเข้าโรงก่อนก็เลือกที่นั่งกันเองได้เลย
คนที่นี้ส่วนใหญ่นิยมดูหนังกันช่วงดึกๆ สี่ทุ่มนี้คือคนจะเยอะมาก เขาจะมาดูกันหลังทานข้าวเย็น ดูหนังเสร็จก็กลับบ้านนอนเลย ว่ากันด้วยเรื่องอาหาร ฝรั่งเศสนอกจากขนมปัง ชีส และไวน์แล้วขนมหวานก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน นอกจากนั้นในแต่ละมื้ออาหารจะถูกจัดเตรียมวางไว้แต่ล่วงหน้าทุกมื้อ อย่างมื้อเช้าของคนที่นี้ จะไม่กินอะไรหนักท้อง จะทานแค่ขนมปัง นม ชา กาแฟอะไรพวกนี้ในตอนเช้า จะหนักตรงมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ซึ่งการรับประทานอาหารที่นี้จะแบ่งไปด้วย ออเดิร์ฟคือพวกสลัดหรือของว่างขนมปังชิ้นเล็กๆ ต่อมาก็ อาหารจานหลักพวกเนื้อหรือพาสต้า พิซซ่า แล้วก็บางคนจะทานชีสกับขนมปังต่อ ต่อด้วยของหวานหรือผลไม้ และจบด้วยกาแฟหรือชา และคือเวลาเราหิวมากๆเราก็จะกินขนมปังเยอะมากๆในตอนแรก และมันก็จะเริ่มอิ่มๆตอนจานหลักจบ แล้วก็แถบจะกระอักตอนทานขนมหวาน คนที่นี้ชอบรสชาติเค็มมาก จะเติมเกลือไม่ก็ชีสตลอด และบางคนดื่มไวน์แทนน้ำเปล่าด้วยนะ แล้วคนฝรั่งเศสใช้เวลาบนโต๊ะอาหารนานมาก มื้อเที่ยงในวันหยุดนี้เริ่มตั้งแต่บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็นก็มี และต่อมื้อดึกอีกตอนประมาณสองทุ่มถึงสี่ห้าทุ่มงี้ แล้วคือเราสงสัยมากคนที่ดื่มกาแฟปิดท้ายเขาจะนอนหลับกันยังไง แต่ก็เห็นนอนหลับกันได้ทุกคนอยู่ดี ผลไม้หลักๆก็คือพวกส้ม หรือแอปเปิ้ล ผลไม้ที่นี้จะไม่มีเยอะและหลากหลายเหมือนไทยเรานะ ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศแอฟฟิกาใต้ด้วยเลยค่อนข้างราคาสูง ถ้าในวันปกติก็จะไม่ได้ใช้เวลาบนโต๊ะอาหารเยอะขนาดช่วงเทศกาล ก็จะลดมาเหลือแค่ชม.หรือชม.ครึ่ง แต่ถ้าในเทศกาลสำคัญละก็ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตแบบกินกับนอนเลยก็ว่าได้
อย่างวันคริสมาตที่ผ่านมา เราทานข้าวเที่ยงตั้งแต่บ่ายสองจนถึงทุ่มและต่อข้าวเย็นต่อสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน พอตื่นมาก็ทานข้าวเช้าใหม่ และต่อความเที่ยงยาวๆแบบนี้อีก ใช้ชีวิตแบบนี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากกินและนอนและกินและตื่นมากินใหม่ เพราะด้วยความที่เป็นเทศกาลสำคัญทำให้ได้ไปทานอาหารร่วมกันเยอะมาก ทั้งไปบ้านเพื่อนโฮสพ่อ ไปบ้านเพื่อนโฮสแม่ ไปบ้านปู่บ้านย่าบ้านอา คือไปทานจนครบเครือญาติเลยก็ว่าได้ นี้ไม่ได้โม้นะ เป็นยังงี้จริงๆ คือความฝันที่อยากมีชีวิตแค่กินและนอนนี้เป็นจริงเลยอ่ะ แต่บอกเลยว่าไม่เวิกร์มาก มันจะรู้สึกอิ่มๆจุกๆอึดอัดตลอดเวลาอ่ะ หลังจากนั้นเราก็ไม่ทานมื้อเย็นไปเลยประมาณสามสี่วัน และด้วยความที่เหมือนจะเป็นเด็กคนเดียวของทั้งสองครอบครัว ทำให้ของขวัญวันคริสมาตเราได้เยอะมาก ทั้งโฮสตายายโฮสพ่อโฮสแม่โฮสแรกเพื่อนๆของโฮสพ่อโฮสแม่ ต่างก็เอ็นดูให้ของขวัญเราเยอะมากถือได้ว่าเราโชคดีสุดๆที่ได้รู้จักกับพวกเขาและได้มาแลกเปลี่ยนที่เมืองนี้
วัฒนธรรมการทักทายของเขาคือจะเอาแก้มชนแก้มบางภาคก็สองครั้งบ้างบางคนก็สามครั้งกันบ้าง มาใหม่ๆมันก็เขินๆดีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว บางทีเราจะเพลอตกใจไง เพราะบ้านเราผู้ชายผู้หญิงจับมือก็ไม่ได้ กอดก็ดูไม่ดี หอมแก้มจูบนี้โดนมองแรงแน่ๆ แต่ที่นี้คือเรื่องปกติ บางทีเราเห็นเพื่อนจูบกันเราเขินต้องหันหน้าหนีก็มี พอเราเล่าให้เพื่อนฟังว่าที่ไทยทำแบบนี้ไม่ได้ เขาเลยบอกตลกดีเนาะ แค่คนจะแสดงความรักต่อกันทำไมถึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ดูไม่ดีไม่งามไปได้ แล้วยังงี้คนที่ไทยเขาแสดงความรักกันยังไงหรอ เราฟังตอนแรกเราก็อึ้งๆนะ ไม่รู้จะตอบเขายังไง พอมาลองคิด ก็จริงสังคมบ้านเรา ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่การกอดจูบในที่สาธารณะเป็นเรื่องที่ไม่ควร มันไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรอกนะ แต่แค่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ทำกัน หรือแม้กระทั่งแอบไปทำกันในที่ลับก็ยังไม่ควร นี้เลยเป็นอีกวัฒนธรรมและทัศนคติใหม่ๆที่เราได้จากคนที่นี้ และไม่ใช่ทุกคนนะที่จะรู้จักประเทศไทย ส่วนใหญ่พอพูดถึงเอเชียบ่อยสุดที่รู้จักก็คือจีนกับไต้หวัน ซึ่งเราจะชอบโดนถามบ่อยมาก ว่าคนไต้หวันหรอ หรือทานหมาจริงๆหรอ ทานแมวจริงๆดิ นี้คือเขาได้ยินข่าวลือกันมายังงี้จริงๆ เพราะงั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเลยที่เราจะได้ตอบคำถามพวกนี้ แต่พอเราเอารูปประเทศไทยให้ดู ไม่มีใครไม่ชอบประเทศไทยเลย เพราะเรามีทั้งภูเขาสวย ทะเลใส ผลไม้เยอะ อาหารเลิศ ชุดหรู วัฒนธรรมงดงาม พอเขาถามเราก็ถือโอกาสแนะนำหรือนำเสนอประเทศเราไปในตัวเลย จะได้มีเรื่องคุยกันด้วย
" บางคนได้มาแลกเปลี่ยนแล้วอยู่เมืองเล็กๆเมืองไกลๆ เราบอกเลยนะ ความสุขของการเรียนรู้อ่ะ มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่เมืองใหญ่เมืองหลวงอย่างเดียวนะ มันอยู่ที่สภาพแวดล้อมและผู้คนในเมืองนั้นมากกว่า ถ้าเรามองว่ามันสวยมันก็จะสวย ถ้าเรามองว่ามันดีมันก็จะดีเอง ไม่จำเป็นต้องหรูหรา อลังกาล แค่อยู่แล้วสบายใจ แค่นั้นมันก็พอแล้วละ "
ปล.คือเราเล่ายาวมากๆมันลงทีเดียวไม่ได้ยังไงก็ตามอ่านกันในคอมเม้นนะคะ
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ของวาเลนนะคะ ติดตามดูรูปถ่ายได้ในอินสตาแกรม แท็ก #valénenfrance แล้วพบกันใหม่นะคะ ขอบคุณค่ะ "