กระทรวงการต่างประเทศของไทย ออกแถลงการณ์ชี้แจงตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงข้อมูลกรณีที่ปรากฏข่าวว่า องค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์ แห่งโลกจัดการประชุมครั้งที่ 78 ระหว่างวันที่ 21-25กุมภาพันธ์ 2560 ณ วัดฮงปอบซา จังหวัดปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผู้นาองค์กรพุทธ พร้อมเครือข่ายผู้นาองค์กรพุทธได้ร่วมประชุมกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล ไทยยกเลิกการใช้มาตรา 44 ต่อวัดพระธรรมกาย นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้
1. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมของการประชุมดังกล่าวแล้ว ทราบว่า ประเด็นเรื่องวัดพระธรรมกายไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในวาระการประชุมChairman of Standing Committee of The World Fellowship of Buddhist Youth (WFBY)ตั้งแต่ต้น โดยประธานองค์การ ยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์ แห่งโลก ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวได้เป็นผู้ยกประเด็นเรื่อง วัดพระธรรมกายขึ้น ในที่ประชุมStanding Committeeโดยขอให้ที่ประชุมเห็นชอบและร่วมกดดันให้รัฐบาลไทยยกเลิก มาตรา 44 ทั้งนี้ ที่ประชุมในฝ่ายผู้แทนพระและวัดของเกาหลีใต้เห็นว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องภายในของประเทศไทย ดังนั้น การดำเนินการควรต้องเคารพและเป็นไปตามกระบวนการภายในและกฎหมายที่เกี่ยวข้องของไทย โดยการหารือเรื่องข้างต้นเป็นเพียงการหารือสั้น ๆ และภายหลังการประชุมมิได้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการประชุม หรือเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด โดยการประชุมดังกล่าวสิ้นสุดไปแล้วเมื่อ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 และผู้เข้าร่วมการประชุมได้เดินทางกลับประเทศหมดแล้ว
2. สาหรับประเด็นตามที่ปรากฏในFacebookของWFBYเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 ว่ามีการสวดมนต์ ที่วัดฮงปอบซา วิงวอนให้มีการยุติข้อขัดแย้ง (end conflicts and protect Buddhism in Thailand)นั้นว่า ตามปกติของวัดฮงปอบซาจะมีการร่วมสวดมนต์เป็นพิเศษทุกวันที่ 1 ของปฏิทินจันทรคติ ซึ่งตรง กับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 จึงมีการรวมตัวของพุทธศาสนิกชนเป็นจานวนมากเพื่อสวดมนต์และร่วมฟัง พระธรรมเทศนาเป็นปกติ และจากการตรวจสอบทราบว่า ไม่ได้มีการเทศน์หรือสวดมนต์วิงวอนให้มีการยุติ ข้อขัดแย้งตามที่ปรากฏในFacebookดังกล่าวแต่อย่างใด
3. ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้มีหนังสือชี้แจงถึงมูลนิธิ Paramita Foundationวัดฮงปอบซา และวัดโชเกซา ซึ่งเป็นวัดหลักของนิกายโชเก ซึ่งเป็นนิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเกาหลีด้วยแล้วซึ่งมูลนิธิและวัดดังกล่าวมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเป็นการดาเนินการตามกฎหมายภายในของไทยเพื่อนา ผู้กระทาผิดมาดาเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
ด้านนางลินนา ตังธสิริ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาการโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงเพิ่มเติมถึงกรณีที่เครือข่ายผู้นำองค์กรชาวพุทธ พร้อมเครือข่ายแสดงความกังวลต่อกรณีวัดพระธรรมกาย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล ยกเลิกการใช้มาตรา 44 ต่อวัด ในการประชุมองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ครั้งที่ 78 ที่สาธารณะรัฐเกาหลีว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ตรวจสอบรายละเอียดการประชุมดังกล่าว พบว่า ประเด็นเรื่องวัดพระธรรมกายไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในวาระการปรุชุม แต่ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุม ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยในที่ประชุม
โดยได้ขอให้ที่ประชุมเห็นชอบ และกดดันรัฐบาลไทย ให้เลิกเลิกการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ต่อวัดพระธรรมกาย ซึ่งผู้แทนฆราวาสและสงฆ์ในที่ประชุม เห็นว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย จึงควรให้ความเคารพ และเป็นไปตามกระบวนการภายใน และกฎหมายของไทย
ข่าวจาก : Nation
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378536577/
"องค์กรพุทธโลก ไม่มีมติกดดันไทย ยกเลิก ม.44 กรณีธรรมกาย"
1. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมของการประชุมดังกล่าวแล้ว ทราบว่า ประเด็นเรื่องวัดพระธรรมกายไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในวาระการประชุมChairman of Standing Committee of The World Fellowship of Buddhist Youth (WFBY)ตั้งแต่ต้น โดยประธานองค์การ ยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์ แห่งโลก ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวได้เป็นผู้ยกประเด็นเรื่อง วัดพระธรรมกายขึ้น ในที่ประชุมStanding Committeeโดยขอให้ที่ประชุมเห็นชอบและร่วมกดดันให้รัฐบาลไทยยกเลิก มาตรา 44 ทั้งนี้ ที่ประชุมในฝ่ายผู้แทนพระและวัดของเกาหลีใต้เห็นว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องภายในของประเทศไทย ดังนั้น การดำเนินการควรต้องเคารพและเป็นไปตามกระบวนการภายในและกฎหมายที่เกี่ยวข้องของไทย โดยการหารือเรื่องข้างต้นเป็นเพียงการหารือสั้น ๆ และภายหลังการประชุมมิได้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับการประชุม หรือเกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายแต่อย่างใด โดยการประชุมดังกล่าวสิ้นสุดไปแล้วเมื่อ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560 และผู้เข้าร่วมการประชุมได้เดินทางกลับประเทศหมดแล้ว
2. สาหรับประเด็นตามที่ปรากฏในFacebookของWFBYเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 ว่ามีการสวดมนต์ ที่วัดฮงปอบซา วิงวอนให้มีการยุติข้อขัดแย้ง (end conflicts and protect Buddhism in Thailand)นั้นว่า ตามปกติของวัดฮงปอบซาจะมีการร่วมสวดมนต์เป็นพิเศษทุกวันที่ 1 ของปฏิทินจันทรคติ ซึ่งตรง กับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 จึงมีการรวมตัวของพุทธศาสนิกชนเป็นจานวนมากเพื่อสวดมนต์และร่วมฟัง พระธรรมเทศนาเป็นปกติ และจากการตรวจสอบทราบว่า ไม่ได้มีการเทศน์หรือสวดมนต์วิงวอนให้มีการยุติ ข้อขัดแย้งตามที่ปรากฏในFacebookดังกล่าวแต่อย่างใด
3. ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้มีหนังสือชี้แจงถึงมูลนิธิ Paramita Foundationวัดฮงปอบซา และวัดโชเกซา ซึ่งเป็นวัดหลักของนิกายโชเก ซึ่งเป็นนิกายมหายานที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเกาหลีด้วยแล้วซึ่งมูลนิธิและวัดดังกล่าวมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเป็นการดาเนินการตามกฎหมายภายในของไทยเพื่อนา ผู้กระทาผิดมาดาเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
ด้านนางลินนา ตังธสิริ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ รักษาการโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงเพิ่มเติมถึงกรณีที่เครือข่ายผู้นำองค์กรชาวพุทธ พร้อมเครือข่ายแสดงความกังวลต่อกรณีวัดพระธรรมกาย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล ยกเลิกการใช้มาตรา 44 ต่อวัด ในการประชุมองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ครั้งที่ 78 ที่สาธารณะรัฐเกาหลีว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ได้ตรวจสอบรายละเอียดการประชุมดังกล่าว พบว่า ประเด็นเรื่องวัดพระธรรมกายไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในวาระการปรุชุม แต่ประธานองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายไทยที่เข้าร่วมการประชุม ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยในที่ประชุม
โดยได้ขอให้ที่ประชุมเห็นชอบ และกดดันรัฐบาลไทย ให้เลิกเลิกการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ต่อวัดพระธรรมกาย ซึ่งผู้แทนฆราวาสและสงฆ์ในที่ประชุม เห็นว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศไทย จึงควรให้ความเคารพ และเป็นไปตามกระบวนการภายใน และกฎหมายของไทย
ข่าวจาก : Nation
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378536577/