กระทู้นี้จะเป้นการวิเคราะห์ จุดเด่น และ จุดอ่อนของแต่ละเรื่องนะครับ
ไม่ได้เป็นการวิเคราะห์ว่าทำไมถึงชนะหรือไม่ชนะ
ฉากกระทู้นี้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/36157436
พอผมพิมพ์จะเมนท์ไปเรื่อยๆ เอ่ามันยาวมากและดูเกินประเด็นการสนทนาไปนิด
สปอยแน่นอนนะครับ ผมดูหนังเรื่องนี้มาละเอียดมาก La La Land ดูไปสองรอบ
ส่วน Moonlight ดูจบรอบนึง และไปดูซ้ำหลายๆฉากเพื่อเก็บรายละเอียด บวกกับอ่าน screenplay ไปด้วย
กำกับ
La La Land :
เดินเรื่องโดยมีการถอยกลับเป็นบางช่วง(เอาเหตุการณ์ก่อนหน้าไว้ทีหลัง)
การแพนกล้องตอนฉากที่เป็นเพลงดีมาก นำเสนอออกมาได้อย่างไม่ขัดอารมณ์
ใส่เพลงถูกจุดมาก โหมอารมณ์ถูกจุด จังหว่ะดี ไม่ทำให้เราตึงหรือลอยจนเกินไป
พอใส่พลังสุดๆแล้ว ช่วงท้ายคือไม้ตายของเรื่องนี้
ตอนดึงจบคือมันยิ่งตอกย้ำวลี just write your own role ของ Sebastian จริงๆ
long take ก็ไม่ได้ทำเท่ๆ คือมันได้อารมณ์ว่าเราไปกับตัวละครจริงๆ
Moonlight :
แบ่งเป็นสามพาร์ทชัดเจน เรื่อยๆมาเรียงๆ
มีการใช้ slow motion บางจุด ให้เสียงหนังเงียบไป มีแต่เสียงดนตรี (ตรงนี้ผมชอบมาก)
ไม่มีการเล่นท่ายากอะไรมาก แต่คุมโทนอยู่ตลอด
ไม่มีการโหมอะไรแต่ค่อยๆพาเราดิ่งสู่ห้วงลึกของตัวละครไปเรื่อยๆ
ตอนจบจบออกมาด้วยความครุกรุ่นของอารณ์ราวกับหนังหว่องกาไว
แสดง
La La Land :
จุดอ่อนเดียวเลยคือ Ryan แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอฟัดพอเหวี่ยงได้อยู่
ถึงแม้ไม่ได้รู้จักเพลง Jazz มาก่อน ก็สามารถอินกับความเป็น Nerd Jazz ของตัวละครได้ไม่ยาก
Emma ไม่ใช่ตัวแบกของเรื่องนี้ แต่ Emma เป็นเนื้อเดียวกับหนัง
คิดว่า Emma ไม่ต้องแสดงเยอะ เพราะ Mia ก็คือ Emma นั่นแหละ
ด้วยพลานุภาพแห่งการกำกับของ Damien ทำให้เคมีของสองคนแทบไม่ตกเลย
Moonlight :
ทีมงานนักแสดงสายแข็งจริงๆกับเรื่องนี้
ตัวชูโรงจริงๆผมว่าไม่ใช่ Mahershala Ali นะ แต่เป็น Naomie Harris
ฉากเด็ดของ Mahershala ก็คือฉากที่ Little ถามเรื่องขายยา
ส่วน Naomie ก็เด็ดทุกฉาก (ผมชอบพาร์ท Chiron ที่สุด)
ถ้าถามจุดอ่อน ผมว่าคงเป็น Black นะ แต่ก็ไม่ถือว่าอ่อนมาก ธรรมดา (อารมณ์ Ryan)
ส่วน Little กับ Chiron นี่เล่นดีเลยแหละ ส่งสู้กับ Ryan ได้สบายเลย
ถ่ายทอดความรู้สึกที่ว่า "ฉันไม่เข้าใจโลก โลกก้ไม่เข้าใจฉัน" ได้ดีมาก
แต่ด้วยความที่ว่าแบ่งฉากกันไปเยอะ เลยไม่ได้เห็นอะไรมากเท่าไร
ขอโทษด้วยครับ จำชื่อนักแสดงที่เล่นเป็น Little, Chiron, Black ไม่ได้จริง
บท
La La Land
Moonlight:
Who is you ?, Am I faggot ? , Do you sell drugs?, And my momma, she do drugs, right?
บทสนทนามันคมคายมากและยังมีประโยคจำอื่นๆอีกมากมาย
อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้You’re the only man who’s ever touched me. I haven’t really touched anyone, since.
เป็นเกย์ว่าโดยเหยียดหนักแล้ว นี่ยังเป็นเกย์ที่เป็นคนผิวสีอีก
มันไม่ใช่มีแค่ประเด็นเกย์อย่างเดียวนะ
ปัญหาครอบครัว ยาเสพติด ปัญหาในโรงเรียน ก็ได้ถูกใส่มาไว้ด้วย
ด้วยพลานุภาพของการกำกับของหว่องกาไว เอ้ย Barry Jenkins ก็นำเสนอสิ่งเรานี้ออกมาได้ถึงมาก
La La Land:
บทมันไม่ได้ดีมากแต่มันก็ถือว่าดี
ไม่ได้ตึงตังใส่ความช่างฝันจนโลกสวยเกินไป
ด้วยความที่หนังเซทในเมืองที่ diversity ค่อนข้างสูง
ดาเมียนพยายามใส่จุดเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้มันดูมีอะไร
เช่นฉาก long take เปิดเรื่องที่ตอนเปืดประตูขึ้นแล้วมีคนหลายๆเชื้อชาติมาแจมกัน
หรือจะเป้นประเด็นเรื่องที่มาของเพลง Jazz ก็ดี
ส่วนเรื่องราวของตัวหนังเองก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามาก
ที่พอจะเห็นว่ามีอะไรขึ้นมาหน่อยก็เรื่องความรัก ความฝัน และความจริง
งานภาพ (สิ่งที่เห็นผมมัดรวมกันหมดนะ ถ่ายภาพ ฉาก เทคนิคภาพ)
La La Land :
เทคนิคภาพคงไม่มีมากอะไรนอกจากอันที่ไปเต้นรำกันในดวงดาว
Product Design ก็ถือว่าสวยงามตามเนื้อผ้า
เป็นเพราะมีอะไรให้เล่นเยอะ ที่หอดูดาว ที่โรงหนัง โรงละคร
ยังไม่นับรวม หนังเรื่องนี้เป็นฉากในฉากอีกที เพราะในหนังก็มีโรงถ่ายหนัง ฉากหนัง
การถ่ายภาพนั้น จัดแสงและสีดีมาก เอาแค่ฉากเพลง someone in the crowd ฉากเต้นแท็ป ก็ว่าสวยมาก
รวมไปถึงตอนจบก็ทำออกมาได้สวย (เล่นสีกับฉากและเครื่องแต่งกายได้เยอะ)
ชอบตรงที่ทำให้ดูเป็นฟิล์ม และ presented in cinemascope
Moonlight :
ไม่ได้มีการจัดแสง แต่เป็นการเล่นกับแสงที่มีอยู่แล้ว
ฉากกางคืนและฉากใกล้ค่ำมีเยอะ และทำให้เล่นกับตรงนี้ได้เยอะ
ชอบตรงที่บางทีมี flare ออกมาด้วย ซึ่งมันเป็นของจริงไม่ใช่มาจากไหนไม่รู้
มีฉากที่เป็นภาพมุมกว้างเยอะกว่า ซึ้งตรงนี้ได้เปรียบ La La Land
ส่วน Product Design กับเทคนิคภาพ ไม่มีอะไรเลยครับ
เสียง (สิ่งที่ได้ยิดมันรวมกันหมด Sound Mixing, Sound Editing, Song, Score)
La La Land :
เรื่องเพลงกับดนตรี แน่นอนครับว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก
นี่มันหนังเพลง ดำเนินเรื่องโดยเพลง(และดนตรี) เรื่องนี้กินขาดอยู่แล้ว
การ Sound Mixing ก็เก็บรายละเอียดได้ดีมาก ฉากที่ต้องมีเพลงและเสียงอื่นๆพร้อมๆกันก็ทำได้อย่างกลมกลืน
ผมไม่ได้ดู Hacksaw Ridge นะ แต่ปาดไปได้ก็คงเจ๋งอยู่นั่นแหละ (เดาว่าคงมีเรื่องให้โชว์เยอะ)
Sound Editing ไม่มีอะไรเด่นเลย
Moonlight :
Sound Editing ไม่มีอะไรเลย เช่นกัน (อันนี้ไม่มีกว่า La La Land อีก)
Moonlight เสียเปรียบตรงที่ไม่มีเรื่อง Sound Mixing ให้เล่นมาก มีแค่ fade in/out นั่นแหละ
ส่วนดนตรีส่งมากพอๆกับ La La Land (และ Jackie) เลย
เพลง Hello Sranger ได้อารมณ์มากนะ (หว่องกาไวอีกแล้ว) แต่คงชิงไม่ได้เพราะไม่ใช่ Original
แต่ก็อย่างว่าแหละนะเรื่องนี้ต้องยอม La La Land
ตัดต่อ
La La Land :
long take ทำพิษครับ เลยไม่ได้ตัดต่ออะไรมาก
มีให้เล่นหน่อยอีกก็ฉากก่อนไปงานปาร์ตี้ของสาวๆ
และการ Transition ระหว่างฉาก (ทำแบบหนังเก่าๆอ่ะ ดูเขา Tribute มาก)
และตอนจบ (อีกแล้ว)
ส่วนตัวผมมองว่า Tom Cross ทำใน Whiplash ได้ดีกว่านี้นะ
Moonlight :
มีให้เล่นเยอะแน่นอน ตัวละครเยอะ สนทนาประมาณนึง
ฉากเด็กเล่น ฉากที่ร้านอาหาร ทะเล โรงเรียน เยอะแยะมากมาย
ผมนึกฉากที่ได้โชว์การตัดต่ออะไรมากไม่ได้นะ แต่ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง
แต่ทั้งคู่ก็พลาดให้กับ Hacksaw Ridge ไปอีกนั่นแหละ
คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้ครับ
Moonlight กับ La La Land วิเคราะจุดต่อจุด การกำกับ บท การแสดง ภาพ เสียง
ไม่ได้เป็นการวิเคราะห์ว่าทำไมถึงชนะหรือไม่ชนะ
ฉากกระทู้นี้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอผมพิมพ์จะเมนท์ไปเรื่อยๆ เอ่ามันยาวมากและดูเกินประเด็นการสนทนาไปนิด
สปอยแน่นอนนะครับ ผมดูหนังเรื่องนี้มาละเอียดมาก La La Land ดูไปสองรอบ
ส่วน Moonlight ดูจบรอบนึง และไปดูซ้ำหลายๆฉากเพื่อเก็บรายละเอียด บวกกับอ่าน screenplay ไปด้วย
กำกับ
La La Land :
เดินเรื่องโดยมีการถอยกลับเป็นบางช่วง(เอาเหตุการณ์ก่อนหน้าไว้ทีหลัง)
การแพนกล้องตอนฉากที่เป็นเพลงดีมาก นำเสนอออกมาได้อย่างไม่ขัดอารมณ์
ใส่เพลงถูกจุดมาก โหมอารมณ์ถูกจุด จังหว่ะดี ไม่ทำให้เราตึงหรือลอยจนเกินไป
พอใส่พลังสุดๆแล้ว ช่วงท้ายคือไม้ตายของเรื่องนี้
ตอนดึงจบคือมันยิ่งตอกย้ำวลี just write your own role ของ Sebastian จริงๆ
long take ก็ไม่ได้ทำเท่ๆ คือมันได้อารมณ์ว่าเราไปกับตัวละครจริงๆ
Moonlight :
แบ่งเป็นสามพาร์ทชัดเจน เรื่อยๆมาเรียงๆ
มีการใช้ slow motion บางจุด ให้เสียงหนังเงียบไป มีแต่เสียงดนตรี (ตรงนี้ผมชอบมาก)
ไม่มีการเล่นท่ายากอะไรมาก แต่คุมโทนอยู่ตลอด
ไม่มีการโหมอะไรแต่ค่อยๆพาเราดิ่งสู่ห้วงลึกของตัวละครไปเรื่อยๆ
ตอนจบจบออกมาด้วยความครุกรุ่นของอารณ์ราวกับหนังหว่องกาไว
แสดง
La La Land :
จุดอ่อนเดียวเลยคือ Ryan แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอฟัดพอเหวี่ยงได้อยู่
ถึงแม้ไม่ได้รู้จักเพลง Jazz มาก่อน ก็สามารถอินกับความเป็น Nerd Jazz ของตัวละครได้ไม่ยาก
Emma ไม่ใช่ตัวแบกของเรื่องนี้ แต่ Emma เป็นเนื้อเดียวกับหนัง
คิดว่า Emma ไม่ต้องแสดงเยอะ เพราะ Mia ก็คือ Emma นั่นแหละ
ด้วยพลานุภาพแห่งการกำกับของ Damien ทำให้เคมีของสองคนแทบไม่ตกเลย
Moonlight :
ทีมงานนักแสดงสายแข็งจริงๆกับเรื่องนี้
ตัวชูโรงจริงๆผมว่าไม่ใช่ Mahershala Ali นะ แต่เป็น Naomie Harris
ฉากเด็ดของ Mahershala ก็คือฉากที่ Little ถามเรื่องขายยา
ส่วน Naomie ก็เด็ดทุกฉาก (ผมชอบพาร์ท Chiron ที่สุด)
ถ้าถามจุดอ่อน ผมว่าคงเป็น Black นะ แต่ก็ไม่ถือว่าอ่อนมาก ธรรมดา (อารมณ์ Ryan)
ส่วน Little กับ Chiron นี่เล่นดีเลยแหละ ส่งสู้กับ Ryan ได้สบายเลย
ถ่ายทอดความรู้สึกที่ว่า "ฉันไม่เข้าใจโลก โลกก้ไม่เข้าใจฉัน" ได้ดีมาก
แต่ด้วยความที่ว่าแบ่งฉากกันไปเยอะ เลยไม่ได้เห็นอะไรมากเท่าไร
ขอโทษด้วยครับ จำชื่อนักแสดงที่เล่นเป็น Little, Chiron, Black ไม่ได้จริง
บท
La La Land
Moonlight:
Who is you ?, Am I faggot ? , Do you sell drugs?, And my momma, she do drugs, right?
บทสนทนามันคมคายมากและยังมีประโยคจำอื่นๆอีกมากมาย
อันนี้ชอบเป็นการส่วนตัว [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เป็นเกย์ว่าโดยเหยียดหนักแล้ว นี่ยังเป็นเกย์ที่เป็นคนผิวสีอีก
มันไม่ใช่มีแค่ประเด็นเกย์อย่างเดียวนะ
ปัญหาครอบครัว ยาเสพติด ปัญหาในโรงเรียน ก็ได้ถูกใส่มาไว้ด้วย
ด้วยพลานุภาพของการกำกับของหว่องกาไว เอ้ย Barry Jenkins ก็นำเสนอสิ่งเรานี้ออกมาได้ถึงมาก
La La Land:
บทมันไม่ได้ดีมากแต่มันก็ถือว่าดี
ไม่ได้ตึงตังใส่ความช่างฝันจนโลกสวยเกินไป
ด้วยความที่หนังเซทในเมืองที่ diversity ค่อนข้างสูง
ดาเมียนพยายามใส่จุดเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้มันดูมีอะไร
เช่นฉาก long take เปิดเรื่องที่ตอนเปืดประตูขึ้นแล้วมีคนหลายๆเชื้อชาติมาแจมกัน
หรือจะเป้นประเด็นเรื่องที่มาของเพลง Jazz ก็ดี
ส่วนเรื่องราวของตัวหนังเองก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวามาก
ที่พอจะเห็นว่ามีอะไรขึ้นมาหน่อยก็เรื่องความรัก ความฝัน และความจริง
งานภาพ (สิ่งที่เห็นผมมัดรวมกันหมดนะ ถ่ายภาพ ฉาก เทคนิคภาพ)
La La Land :
เทคนิคภาพคงไม่มีมากอะไรนอกจากอันที่ไปเต้นรำกันในดวงดาว
Product Design ก็ถือว่าสวยงามตามเนื้อผ้า
เป็นเพราะมีอะไรให้เล่นเยอะ ที่หอดูดาว ที่โรงหนัง โรงละคร
ยังไม่นับรวม หนังเรื่องนี้เป็นฉากในฉากอีกที เพราะในหนังก็มีโรงถ่ายหนัง ฉากหนัง
การถ่ายภาพนั้น จัดแสงและสีดีมาก เอาแค่ฉากเพลง someone in the crowd ฉากเต้นแท็ป ก็ว่าสวยมาก
รวมไปถึงตอนจบก็ทำออกมาได้สวย (เล่นสีกับฉากและเครื่องแต่งกายได้เยอะ)
ชอบตรงที่ทำให้ดูเป็นฟิล์ม และ presented in cinemascope
Moonlight :
ไม่ได้มีการจัดแสง แต่เป็นการเล่นกับแสงที่มีอยู่แล้ว
ฉากกางคืนและฉากใกล้ค่ำมีเยอะ และทำให้เล่นกับตรงนี้ได้เยอะ
ชอบตรงที่บางทีมี flare ออกมาด้วย ซึ่งมันเป็นของจริงไม่ใช่มาจากไหนไม่รู้
มีฉากที่เป็นภาพมุมกว้างเยอะกว่า ซึ้งตรงนี้ได้เปรียบ La La Land
ส่วน Product Design กับเทคนิคภาพ ไม่มีอะไรเลยครับ
เสียง (สิ่งที่ได้ยิดมันรวมกันหมด Sound Mixing, Sound Editing, Song, Score)
La La Land :
เรื่องเพลงกับดนตรี แน่นอนครับว่าไม่ต้องพูดอะไรมาก
นี่มันหนังเพลง ดำเนินเรื่องโดยเพลง(และดนตรี) เรื่องนี้กินขาดอยู่แล้ว
การ Sound Mixing ก็เก็บรายละเอียดได้ดีมาก ฉากที่ต้องมีเพลงและเสียงอื่นๆพร้อมๆกันก็ทำได้อย่างกลมกลืน
ผมไม่ได้ดู Hacksaw Ridge นะ แต่ปาดไปได้ก็คงเจ๋งอยู่นั่นแหละ (เดาว่าคงมีเรื่องให้โชว์เยอะ)
Sound Editing ไม่มีอะไรเด่นเลย
Moonlight :
Sound Editing ไม่มีอะไรเลย เช่นกัน (อันนี้ไม่มีกว่า La La Land อีก)
Moonlight เสียเปรียบตรงที่ไม่มีเรื่อง Sound Mixing ให้เล่นมาก มีแค่ fade in/out นั่นแหละ
ส่วนดนตรีส่งมากพอๆกับ La La Land (และ Jackie) เลย
เพลง Hello Sranger ได้อารมณ์มากนะ (หว่องกาไวอีกแล้ว) แต่คงชิงไม่ได้เพราะไม่ใช่ Original
แต่ก็อย่างว่าแหละนะเรื่องนี้ต้องยอม La La Land
ตัดต่อ
La La Land :
long take ทำพิษครับ เลยไม่ได้ตัดต่ออะไรมาก
มีให้เล่นหน่อยอีกก็ฉากก่อนไปงานปาร์ตี้ของสาวๆ
และการ Transition ระหว่างฉาก (ทำแบบหนังเก่าๆอ่ะ ดูเขา Tribute มาก)
และตอนจบ (อีกแล้ว)
ส่วนตัวผมมองว่า Tom Cross ทำใน Whiplash ได้ดีกว่านี้นะ
Moonlight :
มีให้เล่นเยอะแน่นอน ตัวละครเยอะ สนทนาประมาณนึง
ฉากเด็กเล่น ฉากที่ร้านอาหาร ทะเล โรงเรียน เยอะแยะมากมาย
ผมนึกฉากที่ได้โชว์การตัดต่ออะไรมากไม่ได้นะ แต่ก็ถือว่าดีในระดับหนึ่ง
แต่ทั้งคู่ก็พลาดให้กับ Hacksaw Ridge ไปอีกนั่นแหละ
คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้ครับ