เรื่องเล่า - งานพระราชทานเพลิงศพ ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ

กระทู้ข่าว
คัดลอกมาจากหนังสือ “กุลเชฏฐาภิวาท ประวัติพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ฉบับสมบูรณ์”
ลำดับเหตุการณ์เป็นไปตาม “หมายกำหนดการ” ทุกประการ

ทุกพระองค์เสด็จฯ ลงจากเมรุไปประทับ ณ มุขพลับพลา “หมายกำหนดการ” เขียนไว้ต่อไปว่า “ข้าราชการ พระภิกษุ ศิษยานุศิษย์ ขึ้นเมรุเผาศพ”

อันหมายความว่า ข้าราชการ(ชั้นผู้ใหญ่) จะขึ้นเมรุเป็นลำดับแรก แล้วต่อมาจึงจะถึง “พระภิกษุ” แต่ในวันนั้น เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (วาสนมหาเถระ) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เสด็จมาเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ โดยคืนก่อนหน้านั้น วันบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทานในการออกเมรุ สมเด็จพระสังฆราช ทรงเมตตาเป็นองค์ถวายพระธรรมเทศนาเองด้วย ดังนั้น ทางการจึงเชิญเสด็จไปวางดอกไม้จันทน์เป็นลำดับถัดมา โดยมีพระภิกษุสงฆ์ตามเสด็จขึ้นเมรุต่อไปเป็นสาย จนหมดคณะสงฆ์ซึ่งมีจำนวนนับพันองค์

หมดสายของกระบวนคณะภิกษุสงฆ์ ก็จะได้ถึงโอกาสของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่ปรากฏว่า มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นทุกคนเหมือนถูกตรึงให้ยืนอยู่กับที่
มีบุคคลคณะพิเศษ แทรกเข้าร่วมถวายเพลิงศพด้วย ดูเผิน ๆ ก็เหมือนประชาชนทั่วไป เมรุมีบันไดทางขึ้นลงสองทาง บันไดด้านหน้าเป็นทางลง

คนหนึ่งขึ้นเมรุทางด้านซ้าย ...อีกคนขึ้นเมรุทางด้านขวา เมื่อต่างกราบศพ ถวายดอกไม้จันทน์แล้ว ก็เดินมาบรรจบพบกันที่ด้านหน้าของเมรุ เดินเคียงคู่กันจากเมรุ พอลงถึงลานดินด้านล่าง ก็ก้มลงคุกเข่าในท่านั่งกระหย่ง กราบถวายบังคมมาทางที่ประทับ ณ มุขพลับพลาพร้อมกัน แล้วก็แยกกันไป คนหนึ่งไปทางซ้าย อีกคนแยกไปทางขวา

...คู่แล้ว คู่เล่า...!

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ระยะหนึ่ง ทุกคนโดยเฉพาะบรรดาผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่บนมุขพลับพลา เกือบจะลืมหายใจ
เป็นภาพที่งดงามตรึงตาตรึงใจเป็นที่สุด ครั้งแรกผู้เขียน(คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต) คิดว่า ทางท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ฝึกซ้อมประชาชนของท่านมาเป็นอย่างดี ทำให้การเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ ร่วมถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เป็นภาพประทับใจอย่างนี้

เดินขึ้นบันไดเมรุมา คนหนึ่งจากฝั่งซ้าย อีกคนจากฝั่งขวา กราบและวางดอกไม้จันทน์ แล้วเดินมาบรรจบกันตรงกลางเมรุ เดินเคียงคู่กันลงมาจากเมรุ เมื่อถึงลานดินหน้าที่ประทับ ก็กราบถวายบังคมพร้อมกัน แล้วแยกกันไป คนหนึ่งแยกไปทางซ้าย อีกคนแยกไปทางขวา เหมือนได้ดูละครฉากใหญ่ ที่ฝึกซ้อมมาอย่างไม่มีที่ติ กิริยาทั้งปวงที่ดำเนินไปจึงนุ่มนวล ดูเป็นธรรมชาติงดงามตายิ่ง

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เบือนพระพักตร์กลับมา ออกพระโอษฐ์ว่า... “เป็นภาพที่งามอะไรอย่างนี้ ใครถ่ายรูปไว้บ้างไหม” ทรงกวาดสายพระเนตรมองมาที่ผู้เขียน(คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต) แล้วรับสั่งต่อ “อ้อ...คุณสุทัศน์คงจะเก็บภาพไว้ได้บ้าง”
คุณสุทัศน์ พัฒนสิงห์ เป็นช่างภาพหนังสือพิมพ์ “เดลินิวส์” ประจำสายข่าวในพระราชสำนักระยะนั้น

หลวงปู่ครูบาอาจารย์หลายองค์ ปรารภให้ผู้เขียนฟัง
“ท่านพระอาจารย์จวน มีบารมีมาก เทวดารัก มาร่วมถวายเพลิงศพท่านมากมาย ถึงกับแสดงองค์ให้มนุษย์รู้เห็น...!”
“เป็นมนุษย์ธรรมดา ทำได้อย่างไร? “ท่าน” มาแสดงให้ดูทั้งหมด”

โดยเฉพาะ ‘ท่า’ การถวายบังคมนั้นไม่ธรรมดาแน่ ถ้าเป็นการแสดงปัจจุคมนาการ แบบคุกเข่า ยกมือพนมขึ้นเหนือเศียรเกล้า...หน้าหงายแหงนไปเบื้องหลัง แล้วค้อมศีรษะลงกราบราบจรดพื้น...เป็นแบบอย่าง แสดงถึงการแสดงความเคารพอย่างสูง

ผู้เขียนกราบหลวงปู่ทุกองค์ด้วยความซาบซึ้ง รำลึกถึงพระคุณที่ท่านพากันเมตตา อธิบายความให้กระจ่าง
ใจคิดเตลิดเลยต่อไป “เทวดารักท่านอาจารย์จวนแน่ละ แต่องค์สมมุติเทพทั้งสองพระองค์ที่ประทับคู่เคียงกัน ณ มุขพลับพลา ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์พากันบอกศิษย์เสมอ ๆ ว่า “ท่านอวตารคู่กันมาแต่สวรรค์” นั้น เทวดาย่อมรักท่านแน่นอน...! ย่อมเคารพท่านแน่นอน...! เทวดาจึงได้ถวายบังคม แสดงปัจจุคมนาการแบบไม่ธรรมดา ซึ่งแสดงถึงการแสดงความเคารพสูงสุดดังนี้

หมดสิ้นกลุ่ม ‘ผู้ไม่ธรรมดา’ เหล่านี้แล้ว ทุกคนจึงคลายจากอาการสภาพ “นะจังงัง” การวางดอกไม้จันทน์ของข้าราชการและประชาชนทั่วไป ก็ดำเนินต่อไปตามปกติ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่