ได้ดูรายการดีเบตที่คุณบุ๋ม ปนัดดาจัด แล้วคุณอัยพูดถึงเรื่องการที่ธัมมชโยอยากจะสร้างศาสนสถานให้ใหญ่โตแบบศาสนาอื่น(เช่นนครเมกะ) ก็เลยต้องใช้เงินมาก ทีนี้ญาติโยมอยากจะบริจาคพอบอกว่าจะให้เข้าเป็นชื่อวัดก็ไม่ยอมอยากจะให้กับหลวงพ่อโดยตรง ทำให้ธัมมชโยก็เลยต้องรับไว้เป็นชื่อตัว เพราะอยากสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ และอ้างเรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่สร้างวัดใหญ่โตสวยงามให้พระพุทธเจ้า ฯลฯ ตรงนี้ขอให้ความเห็นนิดนึงค่ะ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นการลงมือปฏิบัติ ไม่ได้เน้นศรัทธาเป็นใหญ่ ตรงนี้ที่เราแตกต่างจากศาสนาอื่น พระพุทธเจ้าไม่ได้เผยแผ่พระธรรมโดยการสร้างวัตถุหรือศาสนสถานให้ใหญ่โตเพื่อดึงศรัทธา และท่านก็ไม่ให้ยึดติดในองค์ท่าน ท่านให้พระสงฆ์แยกย้ายกันไปตามเมือง ชุมชน หมู่บ้านเพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนด้วยการปฏิบัติตนให้เห็นเป็นแบบอย่าง ไม่ไช่ให้สร้างรูปหล่อ รูปปั้นให้มากราบไหว้ แล้วให้เชื่อว่ากราบไหว้บูชาแล้วจะบรรลุธรรม เดินเวียนครบกี่รอบๆแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์อะไรแบบนั้น
ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าธัมมชโยมีมิจฉาทิฐิตั้งแต่แรกแล้ว คือไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ผลที่ได้จากการเป็นมิจฉาทิฐินี้คือทำให้ต้องมาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินเข้าวัด อย่างที่เราเห็นกันอยู่ ต้องทำเรื่องอาบัติปาราชิกมากมายเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ
ขอยกตัวอย่างเช่นในหลวง ร.9 ตอนที่พระองค์สร้างวัดพระราม 9 ตอนที่ผู้ออกแบบเสนอแปลนทีแรกราคาออกมาเป็นหลักร้อยล้าน แบบร่างใหญ่โตสวยงามสมเป็นวัดประจำรัชกาล แต่พระองค์ท่านปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า มันใหญ่โตเกินไปและพระองค์ท่านต้องการให้เป็นวัดของชุมชน เสนาสนะหรือวัดใช้เป็นที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ต้องมีความเรียบง่ายและเหมาะสมกับชุมชนนั้นๆ เพื่อให้ชาวบ้านละแวกนั้นมีความสามารถในการจะดูแลวัดและพระในวัดได้ตามอัตภาพ ไม่เดือดร้อนต้องไปเรี่ยไรหาทรัพย์มาบำรุงรักษากันคราวละมากๆ หมายความว่าตอนสร้างมีเงินสร้างก็เรื่องนึงนะคะ แต่สร้างเสร็จแล้วการทำนุบำรุงมันเป็นหน้าที่ของคนในชุมชน พระองค์ท่านลึกซึ้งและเข้าใจ และท่านทรงแสดงธรรมให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่างในการใช้ปัจจัยสร้างวัดและทานวัตถุที่ถูกต้อง
อย่างหลวงพ่อชาท่านก็เคยประชุมสงฆ์ในวัดและปฏิเสธไฟฟ้าที่ทางการไฟฟ้าจะมาติดให้ที่วัด เนื่องจากที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟ วัดจะมีไฟใช้ก่อนชาวบ้านไม่ได้ พระสงฆ์เป็นผู้ขอ เป็นผู้ต้องได้รับการอุปปัฎฐากจากชาวบ้าน ถ้าวัดมีในสิ่งที่ชาวบ้านไม่มีจะอุปัฎฐากกันอย่างไร การที่พระสงฆ์มีอะไรมากมายไปกว่าที่ชาวบ้านมียังสร้างความเข้าใจผิดแก่ชาวบ้านในเรื่องคำสอนและพระศาสนาผ่านความเป็นอยู่และการปฏิบัติของสงฆ์ในชุมชน ต่อมาอีกหลายปีให้หลังวัดหนองป่าพงถึงมีไฟใช้เพราะไฟฟ้าเค้ามาเดินไฟในชุมชนแล้ววัดจึงมีได้
วัดในแต่ละชุมชนจึงไม่ควรใหญ่มาก การที่วัดใหญ่โตและมีพระในวัดเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบที่ธรรมกายมีสร้างความเดือดร้อนให้ชุมชน ถ้าพระออกบิณฑาตวันต่อวันให้พอฉัน ยืนเรียงกันเป็นร้อยๆรูป ชาวบ้านต้องหาของมาใส่บาตรเลี้ยงพระเท่าไร? พอบิณฑบาตรไม่พอ หรือเกรงใจญาติโยมทีนี้ก็ต้องหาเงินมาซื้อสะสมไว้ เพื่อเลี้ยงดูพระโยมในวัด คนหมู่มากอยู่รวมกันก็เป็นที่รวมของขยะสิ่งปฏิกูล อาหารน้ำ ต้องมีการจัดการมากมายซึ่งทุกอย่างใช้เงินแล้ววัดใหญ่โตขนาดนี้จะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเงินจากญาติโยม ทีนี้ทำยังไง ก็ต้องเรี่ยไร หาแคมเปญมาจูงจิตจูงใจเพื่อให้ญาติโยมทำบุญเป็นเงินเพื่อมาหล่อเลี้ยง ต้องทำอะไรที่ผิดศีลผิดธรรมวินัยหลายอย่าง นี่คือความสำคัญว่าวัดและชุมชนต้องมีขนาดที่เหมาะสมกัน
เรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่คุณอัยนำมากล่าวอ้าง ต้องอย่าลืมว่าท่านเป็นมหาเศรษฐี ท่านมีทรัพย์มากและใช้กำลังทรัพย์ส่วนตัวของท่านเองในการสร้างไม่ได้ไปกะเกณฑ์เรี่ยไรเงินจากชาวบ้านมาสร้าง สมัยก่อนหรือตามต่างจังหวัดเราจะเห็นวัดวาอารามใหญ่โต อาจเป็นวัดที่สร้างโดยพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ หรือบางวัดพ่อค้าคหบดีมีอันจะกินต้องการมีวัดประจำตระกูลท่านก็สร้างของท่าน ไม่ได้มาเรี่ยไรเงินปัจจัยจากชาวบ้านแบบนี้ สร้างไว้ให้ชาวบ้านได้มีวัดในชุมชนเป็นที่ยึดเหนี่ยว ส่วนเรื่องทำนุบำรุงรักษาพวกท่านและลูกหลานที่จะได้รับมรดกสืบต่อไปก็รับเป็นอุปัฎฐากไว้เองเสียส่วนใหญ่เพราะเป็นวัดประจำตระกูล ไม่ได้เดือดร้อนใครให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาทำ คนเรามีแค่ไหนควรทำแต่พอเหมาะพอสม ทำบุญไม่ให้เดือดร้อนตัว และบุญไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวน หรือเน้นที่วัตถุทาน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
เรื่องการที่โยมถวายของมีค่าแก่พระสงฆ์เป็นการส่วนตัวก็ไม่ใช่ว่าพระท่านจะปฏิเสธไม่ได้ ท่านปฏิเสธได้ค่ะหากโยมเป็นมิจฉาทิฐิ ยึดติดในตัวพระ ไม่เต็มใจจะถวายให้เป็นของวัดหรือของสงฆ์ พระก็มีหน้าที่ต้องสอนโยมให้เข้าใจหลักในการทำบุญที่แท้คือการ 'สละ' ไม่ใช่การสะสม โยมสละของทำบุญมาแล้วก็ไม่ต้องไปกังวลว่าของนั้นจะไปไหน หรือเป็นของใคร ต้องสอนโยม ไม่ใช่ยอมตามโยมเพราะอยากได้สิ่งที่เขาถวาย ที่เขาตักบาตรทำบุญกับท่านทุกวันก็เพื่อหวังให้ท่านได้สอนธรรมที่ถูกที่ควร นอกจากท่านไม่สอนแล้วท่านยังปฏิบัติต่อญาติโยมเหมือนเป็นแหล่งเงิน อยากได้ อยากสร้างอะไรใหญ่โตแค่ไหนก็มาบอกบุญเรี่ยไรใช้สวรรค์วิมานมาล่อแบบนี้พระก็เป็นมิจฉาทิฐิด้วย
พระผู้มีศีลวัตรงดงามท่านไม่รับของที่โยมถวายมาเป็นการส่วนตัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ทุกอย่างต้องเข้าวัดเป็นส่วนกลางหมด จะเป็นของพระรูปใดรูปหนึ่งไม่ได้ ทุกวัดจึงต้องมีไวยาวัจกรที่จะดูแลจัดสรรของที่ญาติโยมถวายแก่พระในวัดเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่ใช่เอามาใช้ประโยชน์ส่วนตัว
"มิจฉาทิฐิเป็นบาปอย่างยิ่ง" นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส คนเราถ้าเป็นมิจฉาทิฐิเสียแล้วจะคิดทำอะไรก็ผิดไปหมดเพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น ติดกระดุมผิดเม็ดเดียวที่เหลือไม่ต้องพูดถึง
สาวกธรรมกายส่วนใหญ่ก็เหมือนคนปกติทั่วไป โดยพื้นฐานก็พอจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ แยกบาปแยกบุญได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเจอคำกล่าวอ้างเรื่องจริงจั่วหัวไว้ต่อจากนั้นก็บิดเบือดให้เข้ากับจุดประสงค์ที่ตัวเองต้องการ ชาวบ้านที่ยังปัญญาน้อยก็จะถูกหลอกได้ง่าย เหตุผลทุกอย่างก็ฟังดูดีน่าเชื่อถือเพราะมีที่มาจริงตามอ้าง อย่างเรื่องชุดนางวิสาขา เรื่องอนาถบิณฑิกะเศรษฐีเป็นต้น อ้างสิ่งที่อยู่ในพระไตรปิฎกบ้างอะไรบ้าง คัดออกมาเฉพาะที่จะเอามาใช้ประโยชน์แก่ตนได้ คือสิ่งที่ธรรมกายทำมาตลอด ขยันสร้างวาทะกรรมสั้นๆดูดีตีหัวเข้าวัดจากนั้นก็ค่อยๆสอดแทรกความเข้าใจผิดๆในเรื่องพุทธศาสนาให้แก่ผู้มีปัญญาน้อยหลงเชื่อ หน่วยงานที่กำกับดูแลพระ-วัดไม่ว่าจะเป็นสำนักพุทธฯ หรือมหาเถรสมาคม ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง ปล่อยปละละเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร? ....ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของอุบาสก อุบาสิกาอย่างเราๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธบริษัทสี่ต้องออกมาทำหน้าที่นี้เสียเอง ทำเท่าที่ทำได้
สิ่งที่ทำให้คุณอุ๋ยออกมาดีเบต และคนส่วนใหญ่ต่อต้านธรรมกายก็เพราะเขาหวังดีต่อคนที่หลงเชื่องมงาย อยากชี้ความจริงให้เห็นว่าคุณกำลังศรัทธาแบบขาดสติ หากผู้เลื่อมใสในวัดธรรมกายได้เข้ามาอ่านก็อยากแนะนำให้สูดลมหายใจลึกๆ ทำอาณาปาณสติสักครู่ แล้วเปิดใจอ่านแล้ววิเคราะห์ทบทวนดู การออกมาเถียงข้างๆคูๆไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้ผู้คนเขาเบือหน่ายและไม่เข้าใจมากขึ้น และสิ่งที่คุณเถียงที่คุณทำ คุณไม่ได้ทำเพราะต้องการปกป้องพระพุทธศาสนา แต่คุณทำเพื่อปกป้องความเชื่อของคุณเอง
ฝากชี้แจงคุณอัยย์ (ดีเบตคุณอุ๋ย คุณอัยย์ รายการของคุณบุ๋มปนัดดา)
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นการลงมือปฏิบัติ ไม่ได้เน้นศรัทธาเป็นใหญ่ ตรงนี้ที่เราแตกต่างจากศาสนาอื่น พระพุทธเจ้าไม่ได้เผยแผ่พระธรรมโดยการสร้างวัตถุหรือศาสนสถานให้ใหญ่โตเพื่อดึงศรัทธา และท่านก็ไม่ให้ยึดติดในองค์ท่าน ท่านให้พระสงฆ์แยกย้ายกันไปตามเมือง ชุมชน หมู่บ้านเพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสอนด้วยการปฏิบัติตนให้เห็นเป็นแบบอย่าง ไม่ไช่ให้สร้างรูปหล่อ รูปปั้นให้มากราบไหว้ แล้วให้เชื่อว่ากราบไหว้บูชาแล้วจะบรรลุธรรม เดินเวียนครบกี่รอบๆแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์อะไรแบบนั้น
ตรงนี้ชี้ให้เห็นว่าธัมมชโยมีมิจฉาทิฐิตั้งแต่แรกแล้ว คือไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ผลที่ได้จากการเป็นมิจฉาทิฐินี้คือทำให้ต้องมาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินเข้าวัด อย่างที่เราเห็นกันอยู่ ต้องทำเรื่องอาบัติปาราชิกมากมายเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ
ขอยกตัวอย่างเช่นในหลวง ร.9 ตอนที่พระองค์สร้างวัดพระราม 9 ตอนที่ผู้ออกแบบเสนอแปลนทีแรกราคาออกมาเป็นหลักร้อยล้าน แบบร่างใหญ่โตสวยงามสมเป็นวัดประจำรัชกาล แต่พระองค์ท่านปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า มันใหญ่โตเกินไปและพระองค์ท่านต้องการให้เป็นวัดของชุมชน เสนาสนะหรือวัดใช้เป็นที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ต้องมีความเรียบง่ายและเหมาะสมกับชุมชนนั้นๆ เพื่อให้ชาวบ้านละแวกนั้นมีความสามารถในการจะดูแลวัดและพระในวัดได้ตามอัตภาพ ไม่เดือดร้อนต้องไปเรี่ยไรหาทรัพย์มาบำรุงรักษากันคราวละมากๆ หมายความว่าตอนสร้างมีเงินสร้างก็เรื่องนึงนะคะ แต่สร้างเสร็จแล้วการทำนุบำรุงมันเป็นหน้าที่ของคนในชุมชน พระองค์ท่านลึกซึ้งและเข้าใจ และท่านทรงแสดงธรรมให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่างในการใช้ปัจจัยสร้างวัดและทานวัตถุที่ถูกต้อง
อย่างหลวงพ่อชาท่านก็เคยประชุมสงฆ์ในวัดและปฏิเสธไฟฟ้าที่ทางการไฟฟ้าจะมาติดให้ที่วัด เนื่องจากที่หมู่บ้านยังไม่มีไฟ วัดจะมีไฟใช้ก่อนชาวบ้านไม่ได้ พระสงฆ์เป็นผู้ขอ เป็นผู้ต้องได้รับการอุปปัฎฐากจากชาวบ้าน ถ้าวัดมีในสิ่งที่ชาวบ้านไม่มีจะอุปัฎฐากกันอย่างไร การที่พระสงฆ์มีอะไรมากมายไปกว่าที่ชาวบ้านมียังสร้างความเข้าใจผิดแก่ชาวบ้านในเรื่องคำสอนและพระศาสนาผ่านความเป็นอยู่และการปฏิบัติของสงฆ์ในชุมชน ต่อมาอีกหลายปีให้หลังวัดหนองป่าพงถึงมีไฟใช้เพราะไฟฟ้าเค้ามาเดินไฟในชุมชนแล้ววัดจึงมีได้
วัดในแต่ละชุมชนจึงไม่ควรใหญ่มาก การที่วัดใหญ่โตและมีพระในวัดเป็นร้อยเป็นพันรูปแบบที่ธรรมกายมีสร้างความเดือดร้อนให้ชุมชน ถ้าพระออกบิณฑาตวันต่อวันให้พอฉัน ยืนเรียงกันเป็นร้อยๆรูป ชาวบ้านต้องหาของมาใส่บาตรเลี้ยงพระเท่าไร? พอบิณฑบาตรไม่พอ หรือเกรงใจญาติโยมทีนี้ก็ต้องหาเงินมาซื้อสะสมไว้ เพื่อเลี้ยงดูพระโยมในวัด คนหมู่มากอยู่รวมกันก็เป็นที่รวมของขยะสิ่งปฏิกูล อาหารน้ำ ต้องมีการจัดการมากมายซึ่งทุกอย่างใช้เงินแล้ววัดใหญ่โตขนาดนี้จะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีเงินจากญาติโยม ทีนี้ทำยังไง ก็ต้องเรี่ยไร หาแคมเปญมาจูงจิตจูงใจเพื่อให้ญาติโยมทำบุญเป็นเงินเพื่อมาหล่อเลี้ยง ต้องทำอะไรที่ผิดศีลผิดธรรมวินัยหลายอย่าง นี่คือความสำคัญว่าวัดและชุมชนต้องมีขนาดที่เหมาะสมกัน
เรื่องอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่คุณอัยนำมากล่าวอ้าง ต้องอย่าลืมว่าท่านเป็นมหาเศรษฐี ท่านมีทรัพย์มากและใช้กำลังทรัพย์ส่วนตัวของท่านเองในการสร้างไม่ได้ไปกะเกณฑ์เรี่ยไรเงินจากชาวบ้านมาสร้าง สมัยก่อนหรือตามต่างจังหวัดเราจะเห็นวัดวาอารามใหญ่โต อาจเป็นวัดที่สร้างโดยพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ หรือบางวัดพ่อค้าคหบดีมีอันจะกินต้องการมีวัดประจำตระกูลท่านก็สร้างของท่าน ไม่ได้มาเรี่ยไรเงินปัจจัยจากชาวบ้านแบบนี้ สร้างไว้ให้ชาวบ้านได้มีวัดในชุมชนเป็นที่ยึดเหนี่ยว ส่วนเรื่องทำนุบำรุงรักษาพวกท่านและลูกหลานที่จะได้รับมรดกสืบต่อไปก็รับเป็นอุปัฎฐากไว้เองเสียส่วนใหญ่เพราะเป็นวัดประจำตระกูล ไม่ได้เดือดร้อนใครให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาทำ คนเรามีแค่ไหนควรทำแต่พอเหมาะพอสม ทำบุญไม่ให้เดือดร้อนตัว และบุญไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวน หรือเน้นที่วัตถุทาน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
เรื่องการที่โยมถวายของมีค่าแก่พระสงฆ์เป็นการส่วนตัวก็ไม่ใช่ว่าพระท่านจะปฏิเสธไม่ได้ ท่านปฏิเสธได้ค่ะหากโยมเป็นมิจฉาทิฐิ ยึดติดในตัวพระ ไม่เต็มใจจะถวายให้เป็นของวัดหรือของสงฆ์ พระก็มีหน้าที่ต้องสอนโยมให้เข้าใจหลักในการทำบุญที่แท้คือการ 'สละ' ไม่ใช่การสะสม โยมสละของทำบุญมาแล้วก็ไม่ต้องไปกังวลว่าของนั้นจะไปไหน หรือเป็นของใคร ต้องสอนโยม ไม่ใช่ยอมตามโยมเพราะอยากได้สิ่งที่เขาถวาย ที่เขาตักบาตรทำบุญกับท่านทุกวันก็เพื่อหวังให้ท่านได้สอนธรรมที่ถูกที่ควร นอกจากท่านไม่สอนแล้วท่านยังปฏิบัติต่อญาติโยมเหมือนเป็นแหล่งเงิน อยากได้ อยากสร้างอะไรใหญ่โตแค่ไหนก็มาบอกบุญเรี่ยไรใช้สวรรค์วิมานมาล่อแบบนี้พระก็เป็นมิจฉาทิฐิด้วย
พระผู้มีศีลวัตรงดงามท่านไม่รับของที่โยมถวายมาเป็นการส่วนตัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ทุกอย่างต้องเข้าวัดเป็นส่วนกลางหมด จะเป็นของพระรูปใดรูปหนึ่งไม่ได้ ทุกวัดจึงต้องมีไวยาวัจกรที่จะดูแลจัดสรรของที่ญาติโยมถวายแก่พระในวัดเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไม่ใช่เอามาใช้ประโยชน์ส่วนตัว
"มิจฉาทิฐิเป็นบาปอย่างยิ่ง" นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส คนเราถ้าเป็นมิจฉาทิฐิเสียแล้วจะคิดทำอะไรก็ผิดไปหมดเพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น ติดกระดุมผิดเม็ดเดียวที่เหลือไม่ต้องพูดถึง
สาวกธรรมกายส่วนใหญ่ก็เหมือนคนปกติทั่วไป โดยพื้นฐานก็พอจะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ แยกบาปแยกบุญได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเจอคำกล่าวอ้างเรื่องจริงจั่วหัวไว้ต่อจากนั้นก็บิดเบือดให้เข้ากับจุดประสงค์ที่ตัวเองต้องการ ชาวบ้านที่ยังปัญญาน้อยก็จะถูกหลอกได้ง่าย เหตุผลทุกอย่างก็ฟังดูดีน่าเชื่อถือเพราะมีที่มาจริงตามอ้าง อย่างเรื่องชุดนางวิสาขา เรื่องอนาถบิณฑิกะเศรษฐีเป็นต้น อ้างสิ่งที่อยู่ในพระไตรปิฎกบ้างอะไรบ้าง คัดออกมาเฉพาะที่จะเอามาใช้ประโยชน์แก่ตนได้ คือสิ่งที่ธรรมกายทำมาตลอด ขยันสร้างวาทะกรรมสั้นๆดูดีตีหัวเข้าวัดจากนั้นก็ค่อยๆสอดแทรกความเข้าใจผิดๆในเรื่องพุทธศาสนาให้แก่ผู้มีปัญญาน้อยหลงเชื่อ หน่วยงานที่กำกับดูแลพระ-วัดไม่ว่าจะเป็นสำนักพุทธฯ หรือมหาเถรสมาคม ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง ปล่อยปละละเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร? ....ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของอุบาสก อุบาสิกาอย่างเราๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธบริษัทสี่ต้องออกมาทำหน้าที่นี้เสียเอง ทำเท่าที่ทำได้
สิ่งที่ทำให้คุณอุ๋ยออกมาดีเบต และคนส่วนใหญ่ต่อต้านธรรมกายก็เพราะเขาหวังดีต่อคนที่หลงเชื่องมงาย อยากชี้ความจริงให้เห็นว่าคุณกำลังศรัทธาแบบขาดสติ หากผู้เลื่อมใสในวัดธรรมกายได้เข้ามาอ่านก็อยากแนะนำให้สูดลมหายใจลึกๆ ทำอาณาปาณสติสักครู่ แล้วเปิดใจอ่านแล้ววิเคราะห์ทบทวนดู การออกมาเถียงข้างๆคูๆไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้ผู้คนเขาเบือหน่ายและไม่เข้าใจมากขึ้น และสิ่งที่คุณเถียงที่คุณทำ คุณไม่ได้ทำเพราะต้องการปกป้องพระพุทธศาสนา แต่คุณทำเพื่อปกป้องความเชื่อของคุณเอง