จั่วหัวเรียกแขกกันเบาๆ เพื่อนๆที่เข้ามาคงหวังว่าจะได้เห็นของดี ปลุกใจเสือป่ากันเต็มที่หล่ะสิ แต่ๆๆจริงๆแล้วมันไม่ใช่ค่ะ มันคือ"รีวิวสนองneed" ที่มีคู่ท้าชิงเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวน้ำหมักชีวภาพอันมหัศจรรย์ทั้งคู่ต่างหาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า (ชะนีเสี่ยงตรีนจริงๆ) คือ กำลังเห่อกับ Giniv Ultime Fluide ตัวใหม่ล่าสุด(สามีใหม่) ปลื้มจิต ปลื้มใจ เหมือนเจอคู่แท้ที่หามานาน และอีกตัว(สามีเก่า) คือ Lamer Hydrating Infusion ที่เคยคิดว่าดีอยู่แล้ว
และโจทย์สุดหินในครั้งนี้คือ "ผิวกระจ่างใส สว่างวาววับ จับแล้วนุ่มฟู รูขุมขนหดกระชับ เติมน้ำให้ผิว ลดอาการ sepderm (ข้อนี้เขียนเอง อ่านเองไม่อิงกระแสใคร มันเป็นวิธีรักษาอาการส่วนตัวที่ได้ผล หลังจากทรมานมากว่าสิบปี) เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
ก่อนอื่นขอสรุปคุณสมบัติของทั้ง 2 เจ้าดัง ตามนี้
Lamer Hydrating Infusion
"ความลับจากท้องทะเล ซึมซาบลงสู่ผิวอย่างล้ำลึก มอบคุณประโยชน์แห่งการฟื้นบำรุง ด้วย Miracle Broth"
คุณสมบัติ:"ช่วยปลอบประโลมแม้ผิวบอบบางและรับมือกับมลภาวะภายนอก ผิวจึงถูกโอบอุ้มไว้ด้วยพลังและความชุ่มชื้น ผิวแลดูนุ่มนวล เปล่งประกาย แลดูอ่อนเยาว์
Giniv Ultime Le Fluide
"หัวใจแห่งความมหัศจรรย์ที่ทอแสงเปล่งประกาย ย้อนวันและเวลาสู่ความอิ่มฟู ชุ่มชื้น เยาว์วัย"
คุณสมบัติ: "ทรงพลังในการลดปัจจัยหมองคล้ำและความร่วงโรยอย่างตรงจุด คืนผิวเจิดจรัสดุจมีแสงสว่างจากภายใน มอบความชุ่มชื่นสู่ผิวอย่างล้ำลึกและมหัศจรรย์ ซ่อมแซมและจัดเรียงผิวดูอิ่มฟู คืนสู่โครงสร้างผิวสุขภาพดี"
บระเจ้า! สามีแต่ละท่านจัดเต็มเบอร์นี้ ถ้าไม่ดีนี่จับเขวี่ยงทิ้งเลยนะ (เขวี่ยงมือซ้าย มารับมือขวาเพราะราคาสุดหรู 5555) อ่ะๆๆ คราวนี้เรามาดูกันว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร
ปล.ระยะเวลาการใช้ 2 สัปดาห์สำหรับสามีใหม่ และปาเข้าไปค่อนขวดสำหรับสามีเก่า
ผลลัพธ์
ข้อดี: เนื้อสัมผัสของ Lamer Hydrating Infusion เนื้อจะใส ผิดแผกแตกต่างจาก creme de lamer ราวฟ้ากับเหว ซึมไม่เร็วมาก แต่แอบทิ้งความมันวาว ผิวมันยังแห้งๆอยู่ ส่วนนึงมาจากเราชอบอาบน้ำร้อน 40 องศาประจำผิวเลยแห้ง (ก็ที่ต้องจ่ายแพงกว่าเพราะจะมาช่วยเติมน้ำให้ผิวไง)
ทั้งนี้ทั้งนั้นำหรับคนผิวขาดน้ำแบบเราต้องบอกว่า Lamer Hydrating Infusion นี้ตัวเดียวเอาไม่อยู่ ต้องซ้ำด้วยมอยซ์เจอร์ตัวอื่นทับอีก
ข้อดี: Giniv Ultime Le Fluide เนื้อจะเจ้มจ้นกว่า การซึมซาบจะมีมิติมากกว่า คือทันทีที่เนื้อฟลูอิดลงสู่ผิวจะรู้สึกสดชื่น ตามแบบฉบับเนื้อในลักษณะนี้ซึ่งทุกแบรนด์ก็เป็นแบบนี้หมดนะ แต่ที่ถูกใจฟลูอิดของจินีฟคือนางจะยังคงเหลือเป็นคล้ายๆฟิล์มของความชื้นๆบางๆเคลือบผิวอยู่ และความชุ่มชื้นนี้จะค่อยๆซึมลงผิวในเวลาต่อมา แล้วแบบนี้มันทำให้ผิวเรานุ่มอ่ะชอบมาก แต่การมี 2 layers แบบนี้มีทั้งข้อดีและไม่ดีตามลักษณะการใช้ชีวิต คือถ้าเราต้องการรีบแต่งหน้า เราจะเบื่อมากที่ต้องรอนางค่อยๆซึมเพื่อเข้าขั้นตอนแต่งหน้าต่อไป แต่สำหรับคนที่ต้องการๆบำรุงที่มากเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนที่มีความกังวลเรื่องผิวขาดน้ำสุดๆ และอยากยกระดับความปังในขั้นตอนแต่งหน้า จะถูกโฉลกกับเนื้อในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้น ฟลูอิดจินีฟขวดนี้ตอบโจทย์ ได้ความใส อิ่ม และงานฟู งานนุ่มขอยกให้สามีคนใหม่ Giniv Ultime Le Fluide ท่านนี้ค่ะ ปรบมือรัวๆ
และขอจบการเม้ามอย รีวิวแต่เพียงเท่านี้นะคะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันค่ะ
ปล. ทิ้งท้าย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมันไม่ได้เหมาะกับทุกคนค่ะ จุดอ่อน จุดแข็งแต่ละตัวก็เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท "อย่าอ่านแล้วเชื่อนะคะจนกว่าคุณจะได้ลองเอง"
ปลที่ 2. เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลมาก รีวิวนี้จึงไม่มีข้อมูลส่วนผสมของทั้งสองตัวเลย เน้นใช้แล้วไม่แพ้ เห็นผลก็โอเคละ อย่างทั้งสองตัวนี้ใช้แล้วไม่แพ้ เพราะไม่แอลกอฮอล์ไม่น้ำหอม (ยกเว้นตัว Lamer Hydrating Infusion ที่ยังมีกลิ่นน้ำหอมอยู่) ถ้าใครอยากทราบข้อมูลอาจต้องไปศึกษาเองนะคะ ขออภัย
[CR] [XX 18 +++] สาวโสด และไม่โสดชวนกันมา แอบดูคู่นี้ Featuring กันเถอะ !!!
และโจทย์สุดหินในครั้งนี้คือ "ผิวกระจ่างใส สว่างวาววับ จับแล้วนุ่มฟู รูขุมขนหดกระชับ เติมน้ำให้ผิว ลดอาการ sepderm (ข้อนี้เขียนเอง อ่านเองไม่อิงกระแสใคร มันเป็นวิธีรักษาอาการส่วนตัวที่ได้ผล หลังจากทรมานมากว่าสิบปี) เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ
ก่อนอื่นขอสรุปคุณสมบัติของทั้ง 2 เจ้าดัง ตามนี้
Lamer Hydrating Infusion
"ความลับจากท้องทะเล ซึมซาบลงสู่ผิวอย่างล้ำลึก มอบคุณประโยชน์แห่งการฟื้นบำรุง ด้วย Miracle Broth"
คุณสมบัติ:"ช่วยปลอบประโลมแม้ผิวบอบบางและรับมือกับมลภาวะภายนอก ผิวจึงถูกโอบอุ้มไว้ด้วยพลังและความชุ่มชื้น ผิวแลดูนุ่มนวล เปล่งประกาย แลดูอ่อนเยาว์
Giniv Ultime Le Fluide
"หัวใจแห่งความมหัศจรรย์ที่ทอแสงเปล่งประกาย ย้อนวันและเวลาสู่ความอิ่มฟู ชุ่มชื้น เยาว์วัย"
คุณสมบัติ: "ทรงพลังในการลดปัจจัยหมองคล้ำและความร่วงโรยอย่างตรงจุด คืนผิวเจิดจรัสดุจมีแสงสว่างจากภายใน มอบความชุ่มชื่นสู่ผิวอย่างล้ำลึกและมหัศจรรย์ ซ่อมแซมและจัดเรียงผิวดูอิ่มฟู คืนสู่โครงสร้างผิวสุขภาพดี"
บระเจ้า! สามีแต่ละท่านจัดเต็มเบอร์นี้ ถ้าไม่ดีนี่จับเขวี่ยงทิ้งเลยนะ (เขวี่ยงมือซ้าย มารับมือขวาเพราะราคาสุดหรู 5555) อ่ะๆๆ คราวนี้เรามาดูกันว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร
ปล.ระยะเวลาการใช้ 2 สัปดาห์สำหรับสามีใหม่ และปาเข้าไปค่อนขวดสำหรับสามีเก่า
ผลลัพธ์
ข้อดี: เนื้อสัมผัสของ Lamer Hydrating Infusion เนื้อจะใส ผิดแผกแตกต่างจาก creme de lamer ราวฟ้ากับเหว ซึมไม่เร็วมาก แต่แอบทิ้งความมันวาว ผิวมันยังแห้งๆอยู่ ส่วนนึงมาจากเราชอบอาบน้ำร้อน 40 องศาประจำผิวเลยแห้ง (ก็ที่ต้องจ่ายแพงกว่าเพราะจะมาช่วยเติมน้ำให้ผิวไง)
ทั้งนี้ทั้งนั้นำหรับคนผิวขาดน้ำแบบเราต้องบอกว่า Lamer Hydrating Infusion นี้ตัวเดียวเอาไม่อยู่ ต้องซ้ำด้วยมอยซ์เจอร์ตัวอื่นทับอีก
ข้อดี: Giniv Ultime Le Fluide เนื้อจะเจ้มจ้นกว่า การซึมซาบจะมีมิติมากกว่า คือทันทีที่เนื้อฟลูอิดลงสู่ผิวจะรู้สึกสดชื่น ตามแบบฉบับเนื้อในลักษณะนี้ซึ่งทุกแบรนด์ก็เป็นแบบนี้หมดนะ แต่ที่ถูกใจฟลูอิดของจินีฟคือนางจะยังคงเหลือเป็นคล้ายๆฟิล์มของความชื้นๆบางๆเคลือบผิวอยู่ และความชุ่มชื้นนี้จะค่อยๆซึมลงผิวในเวลาต่อมา แล้วแบบนี้มันทำให้ผิวเรานุ่มอ่ะชอบมาก แต่การมี 2 layers แบบนี้มีทั้งข้อดีและไม่ดีตามลักษณะการใช้ชีวิต คือถ้าเราต้องการรีบแต่งหน้า เราจะเบื่อมากที่ต้องรอนางค่อยๆซึมเพื่อเข้าขั้นตอนแต่งหน้าต่อไป แต่สำหรับคนที่ต้องการๆบำรุงที่มากเป็นพิเศษ เหมาะสำหรับคนที่มีความกังวลเรื่องผิวขาดน้ำสุดๆ และอยากยกระดับความปังในขั้นตอนแต่งหน้า จะถูกโฉลกกับเนื้อในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้น ฟลูอิดจินีฟขวดนี้ตอบโจทย์ ได้ความใส อิ่ม และงานฟู งานนุ่มขอยกให้สามีคนใหม่ Giniv Ultime Le Fluide ท่านนี้ค่ะ ปรบมือรัวๆ
และขอจบการเม้ามอย รีวิวแต่เพียงเท่านี้นะคะ ขอบคุณที่ตามอ่านกันค่ะ
ปล. ทิ้งท้าย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมันไม่ได้เหมาะกับทุกคนค่ะ จุดอ่อน จุดแข็งแต่ละตัวก็เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท "อย่าอ่านแล้วเชื่อนะคะจนกว่าคุณจะได้ลองเอง"
ปลที่ 2. เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลมาก รีวิวนี้จึงไม่มีข้อมูลส่วนผสมของทั้งสองตัวเลย เน้นใช้แล้วไม่แพ้ เห็นผลก็โอเคละ อย่างทั้งสองตัวนี้ใช้แล้วไม่แพ้ เพราะไม่แอลกอฮอล์ไม่น้ำหอม (ยกเว้นตัว Lamer Hydrating Infusion ที่ยังมีกลิ่นน้ำหอมอยู่) ถ้าใครอยากทราบข้อมูลอาจต้องไปศึกษาเองนะคะ ขออภัย