วังวนปัญหาของ บมจ. อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น หรือ IFEC ที่นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ หรือ คุณหมอ หลงยึดติดว่าเป็มสมบัติของตนเองนั้น แม้ไม่สมควรใช้คำว่า chip หาย แต่ก็ยังหาถ้อยคำอื่นมาทดแทนไม่ได้ เนื่องจากขั้นตอนการตั้งคณะกรรมการที่มันควรจะตรงไปตรงมากลับกลายเป็นโอกาสยื้ออำนาจเฮือกสุดท้ายของ"คุณหมอ..หน้ากากคุณธรรม" เอาแต่เพ่งโทษจ้องโค่นฝ่ายตรงข้ามทั้งๆ ที่มันเป็นเวลาที่ควรร่วมกันแก้ปัญหาระเบิดเวลาหนี้ตั๋ว B/E หลักหลายพันล้านบาท
ในขณะที่ คุณหมอ เงียบหายไปอย่างลึกลับภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 14 ก.พ. 60 ฝ่ายผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ นายทวิช เตชะนาวากุล ได้รับเลือกพร้อมคณะรวม 5 ท่านให้เข้ามาเป็นกรรมการนั้น ทุกๆ สายตาจากทั้งฝั่ง ก.ล.ต.-ตลท. เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และที่สำคัญ รายย่อยตาดำๆเกือบ 3 หมื่นชีวิตที่ถูกขังด้วยเครื่องหมาย SP ต่างก็ต้องการให้เกิดการประชุมคณะกรรมการให้เร็วที่สุดเพื่อให้รีบหยุดความเสียหายต่างๆ โดยไวที่สุด พร้อมๆ กับคาดหวังให้กรรมการผู้ล้วนแต่มีความรู้ความสามารถรีบฟื้น IFEC ให้กลับมาเดินหน้าธุรกิจตามปกติได้ กอบกู้โครงสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง
หากว่ากันตามข้อกฎหมาย ขั้นตอนระบุว่า นับแต่วันที่ที่ประชุมคณะกรรมการหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติแต่งตั้งกรรมการบริษัทต้องจดทะเบียนกรรมการเข้าใหม่กับนายทะเบียนกระทรวงพาณิชย์ ภายใน 14 วัน ดังนั้นจึงถือว่า ยังมีเวลาอยู่พอสมควรที่จะดำเนินการตั้งกรรมการที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่
แต่ความเป็นจริง นับว่าเป็นความเลือดเย็นของ "คุณหมอ..หน้ากากคุณธรรม" อย่างมาก ที่มีกระบวนการเตะถ่วงการแต่งตั้งกรรมการ ทั้งๆ ที่สามารถเร่งรัดทำได้เลย และควรจะรีบทำให้เร็วที่สุดด้วย ก่อนที่กิจการจะพังพินาศ ..ก่อนหน้านี้อ้างว่า สาเหตุที่ยังแต่งตั้งกรรมการไม่ได้เกิดจากกรรมการบางคนส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ทว่าล่าสุดฝั่งนายทวิชก็ได้แสดงหลักฐานว่าได้ยื่นเอกสารครบถ้วนไปถึงบริษัทแล้ว มิหนำซ้ำยังได้ส่งเอกสารฉบับสำรองไปยังตลท. และ ก.ล.ต. ด้วยซ้ำ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการรอคอย "คุณหมอ" ยังคงนิ่งเฉยต่อไป มีเพียงการชี้แจงจากตัวแทนบริษัทว่า IFEC จะดำเนินการจดทะเบียนให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท ส่วนเรื่องของหนี้ตั๋ว B/E ได้รับการติดต่อจากเจ้าหนี้หลายราย เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการชำระหนี้และได้จัดการหนี้บางส่วนแล้ว
การแสดงออกเช่นนี้ เรียกได้ว่า มีวาระซ่อนเร้นใช่หรือไม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ฝั่งคุณหมอเอง ก็ไม่เคยมีแผนเป็นรูปธรรมที่จะจัดการปัญหาระเบิดเวลาหนี้ตั๋ว B/E ได้เลย นับแต่เปิดศักราชใหม่ปี 2560 ก็ปล่อยให้ตั๋ว B/E โดน default ครั้งแล้วครั้งเล่าทีละ 100 ล้านบาทบ้าง 200 ล้านบาทบ้าง และในเดือน ก.พ. นี้ มีหนี้อีกราว 1,800 ล้านบาท ที่ค่อนข้างแน่ชัดว่าจะ default ต่อไปเพราะไม่มีกรรมการเข้ามาแก้ไขปัญหาและการหาทางออกให้กับเรื่องนี้
สิ่งที่กำลังตามมาคือ เงื่อนไขการเรียกคืนหนี้ระยะกลางที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกคืนอีกมหาศาลจะทำอย่างไร??? ถ้าบริษัทไม่มีกรรมการครบตามกฎหมาย ใครที่ไหนจะไว้ใจยืดหนี้ให้อีก ถึงจะอ้างว่า ได้เจรจาไปแล้วแต่จะเชื่อถือได้แค่ไหน IFEC มีหนี้ที่ต้องชำระภายในปีนี้รวม 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น (B/E) 3,500 ล้านบาท และหุ้นกู้ 3,000 ล้านบาท ถ้ามีการทวงถามพร้อมกันหมด ต่อให้ปักป้ายลดราคา 50% ก็ไม่มีทางที่จะขายทรัพย์สินมาใช้หนี้พอแน่ๆ
การที่หมอนำพากิจการไปสู่ความเสี่ยงมากมายขนาดนี้ มิได้ต่างกับคนลุแก่อำนาจที่รั้นไม่ยอมรับความปรารถนาดีจากผู้คอยห่วงใยมากมาย งานนี้มิใช่มีเพียงแต่ฝ่ายนายทวิช ที่ภาวนาให้หมอหันมาให้ความร่วมมือ ยังมี ตลท. และ ก.ล.ต. ที่กระตุ้นขีดเส้นให้รีบดำเนินการเร่งตั้งกรรมการโดยเร็วก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกเกินเยียวยา ซึ่งฝ่ายที่เจ็บหนักที่สุดก็คือผู้ถือหุ้นรายย่อยส่วนใหญ่ ที่มีเกือบ 30,000 ราย ขอย้ำว่า "30,000 ราย"..ไม่ใช่ "คุณหมอ..หน้ากากคุณธรรม"
เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วพฤติกรรมอันน่าสงสัย ที่คุณหมอประพฤติอยู่เยี่ยงนี้ มีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง เพราะต้องการปกปิดอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกให้สังคมรับรู้ใช่หรือไม่!!! หรือกลัวว่ากรรมการชุดใหม่จะเข้าไปพบความฟอนเฟะจึงต้องยืดเวลาเพื่อเคลียร์ทางออก!!! หรือเป็นเพียงการกระทำอันไร้เหตุผลของคนที่ยึดติดกับอำนาจที่เคยมีกระนั้นหรือ!!! คุณหมอในฐานะนักบริหารมืออาชีพ ควรชี้แจงเรื่องเหล่านี้ให้ชัดโดยไวก่อนที่คนภายนอกจะคิดเองเออเองไปในทางเสื่อมเสียต่างๆ นาๆ
อยากขอวิงวอน ตลาดหลักทรัพย์และสำนักงาน ก.ล.ต. ได้โปรดอย่านิ่งดูดายในเคสนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองหน่วยงานต้องออกมาทำหน้าที่ของผู้คุ้มกฎ กระทำการอันใดก็ตามเพื่อให้สังคมการลงทุนประจักษ์ชัดว่าท่านไม่ใช่ "เสือกระดาษ" ถึงแม้จะต้องล้วงลูกก็ควรทำ เพราะเคส IFEC ถือเป็นกรณีศึกษาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลยุทธ์และแท็คติค ที่ฝ่ายคุณหมอนำมาใช้ ล้วนแล้วแต่กระทำเพื่อให้ฝั่งของตนได้เปรียบและอยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามมาตลอด แต่ และการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถ้าพูดตรงๆคือฝ่ายคุณหมอ "แพ้ราบคาบ" แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่ไปจดทะเบียนรับรอง ถามว่า..มันคืออะไร ยื้อเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ มีอะไรใน IFEC ที่ซุกซ่อนปกปิดไว้หรือไม่
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ อยากจะบอกกับคุณหมอว่า..ไม่ว่าจะใครจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม ทุกคนอยู่ใต้ชายคาบ้านที่ชื่อว่า IFEC เหมือนกัน หันหน้ากลับมาคุยกันดีๆ เถอะ มาเริ่มต้นด้วยกันใหม่ มิฉะนั้นแล้วความรั้นเกินขอบเขตเพื่อรักษาประโยชน์ของคนๆเดียว อาจนำพามาซึ่งความเดือดร้อนของคนหมู่มาก และหากโชคร้ายเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนั้นจริง (ภาวนาอย่าให้เกิดเลย) สังคมนี้ก็ย่อมจะไม่สามารถให้อภัยได้เลย
พฤติกรรม "หมอวิชัย" น่าสงสัย..ปกปิดอะไรอยู่? วอนก.ล.ต.-ตลท.ล้วงลูกแก้ไขปัญหาก่อนหายนะเกิดแก่รายย่อยกว่าสามหมื่นราย
ในขณะที่ คุณหมอ เงียบหายไปอย่างลึกลับภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นวันที่ 14 ก.พ. 60 ฝ่ายผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ นายทวิช เตชะนาวากุล ได้รับเลือกพร้อมคณะรวม 5 ท่านให้เข้ามาเป็นกรรมการนั้น ทุกๆ สายตาจากทั้งฝั่ง ก.ล.ต.-ตลท. เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และที่สำคัญ รายย่อยตาดำๆเกือบ 3 หมื่นชีวิตที่ถูกขังด้วยเครื่องหมาย SP ต่างก็ต้องการให้เกิดการประชุมคณะกรรมการให้เร็วที่สุดเพื่อให้รีบหยุดความเสียหายต่างๆ โดยไวที่สุด พร้อมๆ กับคาดหวังให้กรรมการผู้ล้วนแต่มีความรู้ความสามารถรีบฟื้น IFEC ให้กลับมาเดินหน้าธุรกิจตามปกติได้ กอบกู้โครงสร้างฐานะการเงินให้แข็งแกร่ง
หากว่ากันตามข้อกฎหมาย ขั้นตอนระบุว่า นับแต่วันที่ที่ประชุมคณะกรรมการหรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติแต่งตั้งกรรมการบริษัทต้องจดทะเบียนกรรมการเข้าใหม่กับนายทะเบียนกระทรวงพาณิชย์ ภายใน 14 วัน ดังนั้นจึงถือว่า ยังมีเวลาอยู่พอสมควรที่จะดำเนินการตั้งกรรมการที่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่
แต่ความเป็นจริง นับว่าเป็นความเลือดเย็นของ "คุณหมอ..หน้ากากคุณธรรม" อย่างมาก ที่มีกระบวนการเตะถ่วงการแต่งตั้งกรรมการ ทั้งๆ ที่สามารถเร่งรัดทำได้เลย และควรจะรีบทำให้เร็วที่สุดด้วย ก่อนที่กิจการจะพังพินาศ ..ก่อนหน้านี้อ้างว่า สาเหตุที่ยังแต่งตั้งกรรมการไม่ได้เกิดจากกรรมการบางคนส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ทว่าล่าสุดฝั่งนายทวิชก็ได้แสดงหลักฐานว่าได้ยื่นเอกสารครบถ้วนไปถึงบริษัทแล้ว มิหนำซ้ำยังได้ส่งเอกสารฉบับสำรองไปยังตลท. และ ก.ล.ต. ด้วยซ้ำ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการรอคอย "คุณหมอ" ยังคงนิ่งเฉยต่อไป มีเพียงการชี้แจงจากตัวแทนบริษัทว่า IFEC จะดำเนินการจดทะเบียนให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท ส่วนเรื่องของหนี้ตั๋ว B/E ได้รับการติดต่อจากเจ้าหนี้หลายราย เพื่อเจรจาเกี่ยวกับการชำระหนี้และได้จัดการหนี้บางส่วนแล้ว
การแสดงออกเช่นนี้ เรียกได้ว่า มีวาระซ่อนเร้นใช่หรือไม่ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ฝั่งคุณหมอเอง ก็ไม่เคยมีแผนเป็นรูปธรรมที่จะจัดการปัญหาระเบิดเวลาหนี้ตั๋ว B/E ได้เลย นับแต่เปิดศักราชใหม่ปี 2560 ก็ปล่อยให้ตั๋ว B/E โดน default ครั้งแล้วครั้งเล่าทีละ 100 ล้านบาทบ้าง 200 ล้านบาทบ้าง และในเดือน ก.พ. นี้ มีหนี้อีกราว 1,800 ล้านบาท ที่ค่อนข้างแน่ชัดว่าจะ default ต่อไปเพราะไม่มีกรรมการเข้ามาแก้ไขปัญหาและการหาทางออกให้กับเรื่องนี้
สิ่งที่กำลังตามมาคือ เงื่อนไขการเรียกคืนหนี้ระยะกลางที่เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกคืนอีกมหาศาลจะทำอย่างไร??? ถ้าบริษัทไม่มีกรรมการครบตามกฎหมาย ใครที่ไหนจะไว้ใจยืดหนี้ให้อีก ถึงจะอ้างว่า ได้เจรจาไปแล้วแต่จะเชื่อถือได้แค่ไหน IFEC มีหนี้ที่ต้องชำระภายในปีนี้รวม 6,500 ล้านบาท แบ่งเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น (B/E) 3,500 ล้านบาท และหุ้นกู้ 3,000 ล้านบาท ถ้ามีการทวงถามพร้อมกันหมด ต่อให้ปักป้ายลดราคา 50% ก็ไม่มีทางที่จะขายทรัพย์สินมาใช้หนี้พอแน่ๆ
การที่หมอนำพากิจการไปสู่ความเสี่ยงมากมายขนาดนี้ มิได้ต่างกับคนลุแก่อำนาจที่รั้นไม่ยอมรับความปรารถนาดีจากผู้คอยห่วงใยมากมาย งานนี้มิใช่มีเพียงแต่ฝ่ายนายทวิช ที่ภาวนาให้หมอหันมาให้ความร่วมมือ ยังมี ตลท. และ ก.ล.ต. ที่กระตุ้นขีดเส้นให้รีบดำเนินการเร่งตั้งกรรมการโดยเร็วก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกเกินเยียวยา ซึ่งฝ่ายที่เจ็บหนักที่สุดก็คือผู้ถือหุ้นรายย่อยส่วนใหญ่ ที่มีเกือบ 30,000 ราย ขอย้ำว่า "30,000 ราย"..ไม่ใช่ "คุณหมอ..หน้ากากคุณธรรม"
เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วพฤติกรรมอันน่าสงสัย ที่คุณหมอประพฤติอยู่เยี่ยงนี้ มีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง เพราะต้องการปกปิดอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกให้สังคมรับรู้ใช่หรือไม่!!! หรือกลัวว่ากรรมการชุดใหม่จะเข้าไปพบความฟอนเฟะจึงต้องยืดเวลาเพื่อเคลียร์ทางออก!!! หรือเป็นเพียงการกระทำอันไร้เหตุผลของคนที่ยึดติดกับอำนาจที่เคยมีกระนั้นหรือ!!! คุณหมอในฐานะนักบริหารมืออาชีพ ควรชี้แจงเรื่องเหล่านี้ให้ชัดโดยไวก่อนที่คนภายนอกจะคิดเองเออเองไปในทางเสื่อมเสียต่างๆ นาๆ
อยากขอวิงวอน ตลาดหลักทรัพย์และสำนักงาน ก.ล.ต. ได้โปรดอย่านิ่งดูดายในเคสนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทั้งสองหน่วยงานต้องออกมาทำหน้าที่ของผู้คุ้มกฎ กระทำการอันใดก็ตามเพื่อให้สังคมการลงทุนประจักษ์ชัดว่าท่านไม่ใช่ "เสือกระดาษ" ถึงแม้จะต้องล้วงลูกก็ควรทำ เพราะเคส IFEC ถือเป็นกรณีศึกษาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลยุทธ์และแท็คติค ที่ฝ่ายคุณหมอนำมาใช้ ล้วนแล้วแต่กระทำเพื่อให้ฝั่งของตนได้เปรียบและอยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามมาตลอด แต่ และการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถ้าพูดตรงๆคือฝ่ายคุณหมอ "แพ้ราบคาบ" แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่ไปจดทะเบียนรับรอง ถามว่า..มันคืออะไร ยื้อเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ มีอะไรใน IFEC ที่ซุกซ่อนปกปิดไว้หรือไม่
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ อยากจะบอกกับคุณหมอว่า..ไม่ว่าจะใครจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม ทุกคนอยู่ใต้ชายคาบ้านที่ชื่อว่า IFEC เหมือนกัน หันหน้ากลับมาคุยกันดีๆ เถอะ มาเริ่มต้นด้วยกันใหม่ มิฉะนั้นแล้วความรั้นเกินขอบเขตเพื่อรักษาประโยชน์ของคนๆเดียว อาจนำพามาซึ่งความเดือดร้อนของคนหมู่มาก และหากโชคร้ายเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนั้นจริง (ภาวนาอย่าให้เกิดเลย) สังคมนี้ก็ย่อมจะไม่สามารถให้อภัยได้เลย