รู้จักสภาพเศรษฐกิจ-สังคม กทม. และประเทศไทย แบบไวๆ จะได้เลิกบ่นเสียที!!!
.
.
บ่นกันจัง กทม. คนแน่น แผงลอยเกะกะ รถติด สังคมไร้ระเบียบ
.
ก่อนบ่น มารู้จักประเทศนี้ และเมืองหลวงของประเทศนี้ก่อน
.
- กทม. มีเนื้อที่ 1,5xx ตร.กม. ส่วนประเทศไทยมีเนื้อที่ 5xx,xxx ตร.กม. แปลง่ายๆ กทม. มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยกว่า 300 เท่า
.
- คนไทยมี 65 ล้านคน ในจำนวนนี้ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน แออัดใน กทม. แปลง่ายๆ กทม. มีสภาพไม่ต่างจากสลัม ภาพคนแน่นหมอชิตช่วงปีใหม่และสงกรานต์ รถติดตั้งแต่รังสิตยันโคราช พร้อมๆ กับ กทม. ด้านใน กลายเป็นเมืองร้างแทบไร้ผู้คนในช่วง 2 เทศกาลนี้ คือภาพชินตาของสังคมไทยมาช้านาน
.
- นับตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับแรก ปี 2504 ที่เราดูดคนทั่วประเทศ ทิ้งเรือกสวนไร่นามาเป็นแรงงานใน กทม. เราปล่อยให้มีการสร้างชุมชนอย่างเสรี ที่ไหนว่างๆ ก็เกิดชุมชนแออัดอย่างง่ายๆ อาทิ ริมคลองสาธารณะ ริมทางรถไฟ หรือลึกเข้าไปในซอย เกิดเป็นชุมชนนอกถนนสายหลักขึ้น นอกจากไม่ไล่รื้อ ยังต่อน้ำ ไฟ ให้บ้านเลขที่อีกต่างหาก
.
- จากนั้นไม่พอ เมื่อเศรษฐกิจโตช่วงทศวรรษที่ 2520's-2530's อสังหาฯ บูม เมืองขยายกันตามใจชอบ ที่ไหนว่างหน่อย เกิดบ้านจัดสรรกันเต็มไปหมดในถนนสายรองเช่นกัน ช่วงนี้มีการค้นพบว่า รัฐบาลจัดรถเมล์ไม่พอ เลยต้องยอมให้มีสองแถว วินมอไซค์ และรถตู้เกิดขึ้นมาทำแทน
.
- เศรษฐกิจชะงักช่วงหายนะปี 2540 แต่เวลานั้นเพื่อบรรเทาภาวะลำบากของประชาชน รัฐบาลและผู้บริหาร กทม. ยอมหลับตาข้างหนึ่ง ให้ตั้งหาบเร่แผงลอยได้ เป็นจุดเริ่มต้นการยอมรับการมีตัวตนของคนกลุ่มนี้ในเวลาต่อมา ผ่านระบบจุดผ่อนผันที่เพิ่มขึ้น
.
- เอ้า..ไม่พอ! ร้านค้ารายย่อย SME อยากตั้งก็ตั้ง ที่จอดรถไม่มีไม่เป็นไร อนุโลมให้จอดข้างถนนได้
.
- เวลาผ่านไป เศรษฐกิจเริ่มดี คนมีกำลังซื้อมากขึ้น เข้าถึงรถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ชุมชนสายรองทั้งหลาย เริ่มซื้อรถส่วนตัวมาใช้ ยอมกัดฟันผ่อนนานๆ เพราะดีกว่าทนกับสองแถว วินมอไซค์ หรือรถตู้ที่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร
.
- จากนั้นเมื่อมีการขยายแนวรถไฟฟ้า ซอยต่างๆ ใกล้เคียง ที่มีที่ดินว่างๆ ก็มีการไปสร้างหมู่บ้าน สร้างคอนโด แล้วโฆษณาอ้างว่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ก็ยิ่งเป็นการสร้างชุมชนถนนสายรองให้มากขึ้นไปอีก
.
- หันไปดูค่านิยม ใครหนอช่างปั่นกระแส คนประสบความสำเร็จต้องมีรถขับ ไม่มีรถขับสาวไม่มอง จะคบกันมากี่ปีก็แพ้ไอ่หนุ่มขี่เบนซ์มารับ เอาวะ! ไม่มีเบนซ์ไม่เป็นไร เอารถญี่ปุ่นก็ยังดี พวกขี่มอไซค์นั่นชนชั้นล่าง ส่วนพวกนั่งรถเมล์นั่นยิ่งต้อยต่ำกว่า ยี้..คนจน!
.
- แล้วใครไปผูกเศรษฐกิจไทยกับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเหนียวแน่นเป็นอันดับ 1 ถึงขนาดที่ธุรกิจยานยนต์นี่ต้องริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เพราะถ้าเขาเกิดยอดตก กำไรน้อย ก็จะต้องลดคนงาน ผลคือคนไทย แรงงานไทยตกงานเพียบอีก
.
- แล้ว 50 กว่าปีมานี้ทำอะไรกันอยู่? ทำไมปล่อย กทม. เป็นเมืองโตเดี่ยว แถมโตแบบสะเปะสะปะ อยากตั้งชุมชน สร้างหมู่บ้านสร้างคอนโดตรงไหนก็ตั้งได้ คนก็อพยพเข้ามาเรื่อยๆ เพราะอยู่ ตจว. มันไม่มีอนาคต โครงสร้างแบบนี้ ขนส่งจัดอย่างไรก็ไม่พอ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้คนใช้รถส่วนตัวอย่างเสรี
.
แล้วก็มาบ่นรถติด แล้วก็มาบ่นแผงลอย บ่นอากาศเสีย บ่นอุบัติเหตุช่วงเทศกาล บ่น บ่น บ่น ฯลฯ บลาๆๆ
.
ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงที่เราเห็นกันมานาน
.
ไหนใครหาวิธีแก้ปัญหา แบบที่จะไม่โดนประท้วงหน่อยสิครับ?
บ่นกันเยอะนะ กทม. ทั้งรถติด แผงลอย น้ำเน่า อากาศเสีย ฯลฯ แต่ในความเป็นจริงแบบนี้ จะแก้ยังไง?
.
.
บ่นกันจัง กทม. คนแน่น แผงลอยเกะกะ รถติด สังคมไร้ระเบียบ
.
ก่อนบ่น มารู้จักประเทศนี้ และเมืองหลวงของประเทศนี้ก่อน
.
- กทม. มีเนื้อที่ 1,5xx ตร.กม. ส่วนประเทศไทยมีเนื้อที่ 5xx,xxx ตร.กม. แปลง่ายๆ กทม. มีขนาดเล็กกว่าประเทศไทยกว่า 300 เท่า
.
- คนไทยมี 65 ล้านคน ในจำนวนนี้ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน แออัดใน กทม. แปลง่ายๆ กทม. มีสภาพไม่ต่างจากสลัม ภาพคนแน่นหมอชิตช่วงปีใหม่และสงกรานต์ รถติดตั้งแต่รังสิตยันโคราช พร้อมๆ กับ กทม. ด้านใน กลายเป็นเมืองร้างแทบไร้ผู้คนในช่วง 2 เทศกาลนี้ คือภาพชินตาของสังคมไทยมาช้านาน
.
- นับตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับแรก ปี 2504 ที่เราดูดคนทั่วประเทศ ทิ้งเรือกสวนไร่นามาเป็นแรงงานใน กทม. เราปล่อยให้มีการสร้างชุมชนอย่างเสรี ที่ไหนว่างๆ ก็เกิดชุมชนแออัดอย่างง่ายๆ อาทิ ริมคลองสาธารณะ ริมทางรถไฟ หรือลึกเข้าไปในซอย เกิดเป็นชุมชนนอกถนนสายหลักขึ้น นอกจากไม่ไล่รื้อ ยังต่อน้ำ ไฟ ให้บ้านเลขที่อีกต่างหาก
.
- จากนั้นไม่พอ เมื่อเศรษฐกิจโตช่วงทศวรรษที่ 2520's-2530's อสังหาฯ บูม เมืองขยายกันตามใจชอบ ที่ไหนว่างหน่อย เกิดบ้านจัดสรรกันเต็มไปหมดในถนนสายรองเช่นกัน ช่วงนี้มีการค้นพบว่า รัฐบาลจัดรถเมล์ไม่พอ เลยต้องยอมให้มีสองแถว วินมอไซค์ และรถตู้เกิดขึ้นมาทำแทน
.
- เศรษฐกิจชะงักช่วงหายนะปี 2540 แต่เวลานั้นเพื่อบรรเทาภาวะลำบากของประชาชน รัฐบาลและผู้บริหาร กทม. ยอมหลับตาข้างหนึ่ง ให้ตั้งหาบเร่แผงลอยได้ เป็นจุดเริ่มต้นการยอมรับการมีตัวตนของคนกลุ่มนี้ในเวลาต่อมา ผ่านระบบจุดผ่อนผันที่เพิ่มขึ้น
.
- เอ้า..ไม่พอ! ร้านค้ารายย่อย SME อยากตั้งก็ตั้ง ที่จอดรถไม่มีไม่เป็นไร อนุโลมให้จอดข้างถนนได้
.
- เวลาผ่านไป เศรษฐกิจเริ่มดี คนมีกำลังซื้อมากขึ้น เข้าถึงรถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น ชุมชนสายรองทั้งหลาย เริ่มซื้อรถส่วนตัวมาใช้ ยอมกัดฟันผ่อนนานๆ เพราะดีกว่าทนกับสองแถว วินมอไซค์ หรือรถตู้ที่ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร
.
- จากนั้นเมื่อมีการขยายแนวรถไฟฟ้า ซอยต่างๆ ใกล้เคียง ที่มีที่ดินว่างๆ ก็มีการไปสร้างหมู่บ้าน สร้างคอนโด แล้วโฆษณาอ้างว่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ก็ยิ่งเป็นการสร้างชุมชนถนนสายรองให้มากขึ้นไปอีก
.
- หันไปดูค่านิยม ใครหนอช่างปั่นกระแส คนประสบความสำเร็จต้องมีรถขับ ไม่มีรถขับสาวไม่มอง จะคบกันมากี่ปีก็แพ้ไอ่หนุ่มขี่เบนซ์มารับ เอาวะ! ไม่มีเบนซ์ไม่เป็นไร เอารถญี่ปุ่นก็ยังดี พวกขี่มอไซค์นั่นชนชั้นล่าง ส่วนพวกนั่งรถเมล์นั่นยิ่งต้อยต่ำกว่า ยี้..คนจน!
.
- แล้วใครไปผูกเศรษฐกิจไทยกับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างเหนียวแน่นเป็นอันดับ 1 ถึงขนาดที่ธุรกิจยานยนต์นี่ต้องริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม เพราะถ้าเขาเกิดยอดตก กำไรน้อย ก็จะต้องลดคนงาน ผลคือคนไทย แรงงานไทยตกงานเพียบอีก
.
- แล้ว 50 กว่าปีมานี้ทำอะไรกันอยู่? ทำไมปล่อย กทม. เป็นเมืองโตเดี่ยว แถมโตแบบสะเปะสะปะ อยากตั้งชุมชน สร้างหมู่บ้านสร้างคอนโดตรงไหนก็ตั้งได้ คนก็อพยพเข้ามาเรื่อยๆ เพราะอยู่ ตจว. มันไม่มีอนาคต โครงสร้างแบบนี้ ขนส่งจัดอย่างไรก็ไม่พอ สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้คนใช้รถส่วนตัวอย่างเสรี
.
แล้วก็มาบ่นรถติด แล้วก็มาบ่นแผงลอย บ่นอากาศเสีย บ่นอุบัติเหตุช่วงเทศกาล บ่น บ่น บ่น ฯลฯ บลาๆๆ
.
ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงที่เราเห็นกันมานาน
.
ไหนใครหาวิธีแก้ปัญหา แบบที่จะไม่โดนประท้วงหน่อยสิครับ?