เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโอกาสได้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับพาร์ทความรักของท่านหญิงหลงกับอนลโดยเฉพาะ เนื่องจากอยากขยายความรู้สึกที่แสดงออกได้น้อยนิดของพระนาง แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างจากในละคร...หลายความเห็นแนะนำว่าน่าจะรวบรวมแล้วตั้งกระทู้ใหม่ แล้วติดแท็กห้องถนนนักเขียนหรือห้องสมุดด้วย จะได้มีคนอ่านมากขึ้น
กระทู้เดิมค่ะ :
หม่อมเจ้าหญิงอุรวศี – อนล : กำแพงฐานันดรนี้ สูงใหญ่จนฉันมองไม่เห็นปลายทางข้างหน้าเลย...
https://ppantip.com/topic/36120865
เพชรกลางไฟ ของ อาจารย์ ว.วินิจฉัยกุล เป็นนิยายที่มีฉากหลังเป็นยุคสมัยของต้นรัชกาลที่ ๖ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ (ฝ่ายหญิง) ยังคงอยู่ด้วยกรอบของพระราชประเพณี จึงไม่แปลกใจที่ความรักของหนุ่มสาวต่างชนชั้นคู่นี้จะถูกดำเนินเรื่องแบบกระต่ายหมายจันทร์จนกระทั่งย้ายไปอยู่ปากน้ำโพ
หลายอย่างที่อนลทำเหมือนจะจาบจ้วง แต่นี่คือรักแรกพบของเขา เขายังคงวางเธอไว้ในที่สูง ไม่ได้ตั้งใจดึงลงมาแปดเปื้อน แต่ขอแค่ท่านหญิงพอจะทราบความนัยว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอก็พอ อนลทำมากกว่านี้ไม่ได้ ถ้าปรับบทให้แสดงออกมากกว่านี้ เขาจะกลายเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงทันที ท่านหญิงหลงเป็นบทผู้หญิงฉลาด ไม่แปลกที่จะรู้ว่าอนลรู้สึกยังไง หญิงหลงยังดูเป็นเด็กสาวที่เก้อเขินเป็นเมื่อถูกผู้ชายจีบอ้อมๆ แต่ด้วยยศศักดิ์เธอยับยั้งชั่งใจเป็นและรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความสัมพันธ์ของหญิงหลงกับอนลจึงเจือปนด้วยความรักและความปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้กฎมนเฑียรบาล ว่าด้วยการสมรสพระราชวงศ์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๗๕ ประชาธิปก ป.ร.
มาตรา ๔ เจ้าหญิงองค์ใด ถ้าจะทำการสมรสกับผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าใน พระราชวงศ์ อันเป็นการไม่ต้องด้วยพระราชประเพณีนิยม ท่านว่าต้องกราบ ถวายบังคมลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์เสียก่อน
กระทู้นี้ขอรวมบรรยายเฉพาะฉากพระนางที่เจอกัน ตั้งแต่ตอนที่ ๑-๘ ค่ะ ตั้งใจว่าตอนต่อๆไปหากได้เขียน คงจะแยกเป็นตอนละกระทู้
หากใครได้อ่านแล้วอ่านกันอีกก็ได้นะคะ 555 ถือว่าเป็นกำลังใจให้มือใหม่ที่ลองขีดๆเขียนๆค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ ๑ : แรกพบ
รุงรังดั่งหนึ่งอนาถา
แต่ดวงตามิใช่ตาไพร่
จ้องดูไม่หลบตาไป
นี่มิใช่คนทรามต่ำช้า
ท้าวแสนปม
ชั่ววินาทีที่ชายหนุ่มผู้ที่ยืนหันหลังให้ขณะที่เธอเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่อหันกลับมา หน้าตามอมแมมราวกับคลุกฝุ่นนั้น กลับสะกิดใจดวงเล็กๆของเธอให้อดขันอย่างเสียไม่ได้ ...ท้าวแสนเปื้อน เธอปรารภในใจที่เรียกรอยยิ้มเล็กๆได้ที่มุมปาก ชายหนุ่มหน้าตาคมคาย คิ้วพาดเฉียงหนาตรงหน้า มองเธอไม่วางตา หลังจากถามไถ่ได้ความว่าเขาและคนของเขามาทำอะไรกัน เธอเดินผ่านเขาเข้าไปหยิบหนังสือพระราชนิพนธ์ท้าวแสนปม หนังสือ... มรดกตกทอดเดียวของเสด็จพ่อที่เธอประสงค์จะเก็บไว้ วิชาความรู้นานาที่ถูกส่งผ่านมายังลูกสาวคนเล็กสุด
เขาคงไม่ทราบ ว่าเธอเป็นใคร ถึงไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์ แต่วาจานั้นก็สุภาพอย่างคนที่ถูกอบรบมาเป็นอย่างดี เธอไม่ถือสาหาความ แต่กลับเป็นจัน เด็กรับใช้ที่ฮึดฮัดไปกับวาจาที่จาบจ้วงนั้น ช่างปะไร คนเจอกันเพียงครั้งเดียว... เขาคงไม่รู้ความนัย อาการถอดถอนใจนี้ หลังจากได้ยินคำถามเรื่องการขนย้าย ย้ายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นของดูต่างหน้าของเสด็จพ่อออกไปจนหมด .. จึงตอบได้เพียง เธอไม่มีสิทธิ์สั่งการเรื่องนี้หรอก
พลันได้ยินน้ำเสียงหวานเอ่ยถามมาจากด้านหลัง ว่าพวกเขามา...ทำอะไรกัน.. ในห้องนี้ เขาหันกลับมาตอบรับอย่างตื่นตะลึง งาม.. เธอช่างงามประทับไปในดวงจิตของเขาได้ในเพียงชั่วพริบตาที่สบตากันอย่างนั้นหรือ ชั่วชีวิตนี้หาเคยถูกตาต้องใจใครไม่ แต่บัดนี้อนลรู้แล้ว "รักแรกพบ" เป็นเยี่ยงไร เมื่อรู้สึกตัว จึงตอบถ้อยคำถามนั้นอย่างสุภาพ เธอคงเป็นคุณข้าหลวงประจำตำหนักนี้กระมัง เขาฉงนใจมากขึ้นไปอีก โอ...ผู้หญิงคนนี้สนใจหนังสือ ผิดแปลกไปจากหญิงสาวคนอื่นเหลือเกิน เมื่อฉุกคิดได้ว่าเขาต้องเข้ามาขนย้ายตู้และโต๊ะในห้องทรงพระอักษรอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ปากจึงเอ่ยถามไปไวเท่าหัวใจ หวังจะได้พบเธอผู้นี้อีกครา อนลหมายใจว่าจะกลับไปเรียนคุณแม่ คุณหญิงผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับหม่อมเจ้าของวัง หากเขาจะทอดสะพานมายังคุณข้าหลวงของวังนี้ เห็นทีคงไม่ยากนัก
เพียงข้ามวัน... สถานะที่แท้จริงที่รับรู้จากปากของจัน เด็กรับใช้ของเธอนั้น ราวกับสายฟ้าฟาด เธอมิใช่คุณข้าหลวง หากเป็นหม่อมเจ้า... พระธิดาของเสด็จในกรมฯเจ้าของวังต่างหาก อนลเอ๋ย ช่างโง่นัก ความหวังอันเรืองรองกลับถูกดับในชั่วข้ามคืน เธอ..ผู้อยู่สูงเกินกว่าเขาจะมีวันเอื้อมถึง การส่งหนังสือ กราบบังคมทูลขอประทานอภัยของเขาที่ตาหามีแววไม่ คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เธอรับรู้ว่าเขาผิดไปแล้วที่จาบจ้วงเธอ บังอาจเหลือเกินอนลเอ๋ย...
น้อมเศียรแทบพระบาท
อนงค์นาถพิลาศพิไล
เพื่อขอประทานอภัย
ที่มิได้ระวังการ
มีตาหามีแวว
ผิดไปแล้วโปรดสงสาร
รับผิดมิเนิ่นนาน
จึงส่งสารมาทูลความ
ขอรับซึ่งโทษทัณฑ์
ด้วยใจอันมิครั่นคร้าม
มิว่าคำประณาม
หรืออภัยใจพร้อมรับ
ขอเพียงฝ่าพระบาท
ให้โอกาสทรงสดับ
ถ้อยคำน้อมคำนับ
ขอถวายจากใจจริง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด อนล
ซองจดหมายสีน้ำตาล ที่ทำด้วยกระดาษเนื้อดีจากเมืองฝรั่งถูกส่งมาถวาย ความรู้สึกผิดที่แอบรับสินน้ำใจจากอนลมาแล้วทำให้เด็กรับใช้สาว ถวายหนังสือเสร็จก็นั่งกุมมือ ก้มหน้าอยู่ข้างๆไม่พูดไม่จา แม้จะฉงนใจในทีแรกว่านี่เป็นหนังสือจากใคร แต่เธอก็รับมาเปิดอ่าน นี่มัน...คำกวีนี่นะ คำขอโทษที่เป็นคำกลอนเสียด้วย สายตาคมตวัดไปที่เด็กรับใช้ พร้อมถามอออกไป หนังสือจากใคร..จัน... คำตอบที่ได้รับ พลันทำให้นึกไปถึง ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาท่าทางเป็นลูกผู้ดีที่เธอพบเมื่อวาน อ้อ..เขานั่นเอง ผู้ชายที่หน้าตามอมแมม ดั่งท้าวแสนเปื้อน บังอาจนัก! หลังจากไต่สวนจันที่ละล่ำละลักตอบเธออย่างอ้อมแอ้มว่า เห็นว่าเขาดูมิใช่ไพร่ และประสงค์จะส่งสารมาทูลขออภัย จึงรับฝากมาถวาย
เมื่อเด็กรับใช้เผ่นแน่บออกไปก่อนจะโดนลงโทษ เธอจึงหยิบจดหมายนั้นมาอ่านทวนอีกครั้ง เธอมิได้ติดใจเอาความที่เขาไม่ทราบว่าเธอคือใคร แต่การหาญกล้าส่งหนังสือมาให้ แถมมิใช่คำขอโทษอย่างหนังสือราชการแบบที่เคยเห็นตอนถวายรับใช้เสด็จพ่ออีกด้วย ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายคนเล็กของพระยารัชปาลีกล้าทำเพียงนี้เชียวหรือ
ตอนที่ ๑-๘ : หม่อมเจ้าหญิงอุรวศี – อนล : กำแพงฐานันดรนี้ สูงใหญ่จนฉันมองไม่เห็นปลายทางข้างหน้า... (2)
กระทู้เดิมค่ะ :
หม่อมเจ้าหญิงอุรวศี – อนล : กำแพงฐานันดรนี้ สูงใหญ่จนฉันมองไม่เห็นปลายทางข้างหน้าเลย...
https://ppantip.com/topic/36120865
เพชรกลางไฟ ของ อาจารย์ ว.วินิจฉัยกุล เป็นนิยายที่มีฉากหลังเป็นยุคสมัยของต้นรัชกาลที่ ๖ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการเสกสมรสแห่งเจ้านายในพระราชวงศ์ (ฝ่ายหญิง) ยังคงอยู่ด้วยกรอบของพระราชประเพณี จึงไม่แปลกใจที่ความรักของหนุ่มสาวต่างชนชั้นคู่นี้จะถูกดำเนินเรื่องแบบกระต่ายหมายจันทร์จนกระทั่งย้ายไปอยู่ปากน้ำโพ
หลายอย่างที่อนลทำเหมือนจะจาบจ้วง แต่นี่คือรักแรกพบของเขา เขายังคงวางเธอไว้ในที่สูง ไม่ได้ตั้งใจดึงลงมาแปดเปื้อน แต่ขอแค่ท่านหญิงพอจะทราบความนัยว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอก็พอ อนลทำมากกว่านี้ไม่ได้ ถ้าปรับบทให้แสดงออกมากกว่านี้ เขาจะกลายเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงทันที ท่านหญิงหลงเป็นบทผู้หญิงฉลาด ไม่แปลกที่จะรู้ว่าอนลรู้สึกยังไง หญิงหลงยังดูเป็นเด็กสาวที่เก้อเขินเป็นเมื่อถูกผู้ชายจีบอ้อมๆ แต่ด้วยยศศักดิ์เธอยับยั้งชั่งใจเป็นและรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความสัมพันธ์ของหญิงหลงกับอนลจึงเจือปนด้วยความรักและความปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กระทู้นี้ขอรวมบรรยายเฉพาะฉากพระนางที่เจอกัน ตั้งแต่ตอนที่ ๑-๘ ค่ะ ตั้งใจว่าตอนต่อๆไปหากได้เขียน คงจะแยกเป็นตอนละกระทู้
หากใครได้อ่านแล้วอ่านกันอีกก็ได้นะคะ 555 ถือว่าเป็นกำลังใจให้มือใหม่ที่ลองขีดๆเขียนๆค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ ๑ : แรกพบ
รุงรังดั่งหนึ่งอนาถา
แต่ดวงตามิใช่ตาไพร่
จ้องดูไม่หลบตาไป
นี่มิใช่คนทรามต่ำช้า
ท้าวแสนปม
ชั่ววินาทีที่ชายหนุ่มผู้ที่ยืนหันหลังให้ขณะที่เธอเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรของเสด็จพ่อหันกลับมา หน้าตามอมแมมราวกับคลุกฝุ่นนั้น กลับสะกิดใจดวงเล็กๆของเธอให้อดขันอย่างเสียไม่ได้ ...ท้าวแสนเปื้อน เธอปรารภในใจที่เรียกรอยยิ้มเล็กๆได้ที่มุมปาก ชายหนุ่มหน้าตาคมคาย คิ้วพาดเฉียงหนาตรงหน้า มองเธอไม่วางตา หลังจากถามไถ่ได้ความว่าเขาและคนของเขามาทำอะไรกัน เธอเดินผ่านเขาเข้าไปหยิบหนังสือพระราชนิพนธ์ท้าวแสนปม หนังสือ... มรดกตกทอดเดียวของเสด็จพ่อที่เธอประสงค์จะเก็บไว้ วิชาความรู้นานาที่ถูกส่งผ่านมายังลูกสาวคนเล็กสุด
เขาคงไม่ทราบ ว่าเธอเป็นใคร ถึงไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์ แต่วาจานั้นก็สุภาพอย่างคนที่ถูกอบรบมาเป็นอย่างดี เธอไม่ถือสาหาความ แต่กลับเป็นจัน เด็กรับใช้ที่ฮึดฮัดไปกับวาจาที่จาบจ้วงนั้น ช่างปะไร คนเจอกันเพียงครั้งเดียว... เขาคงไม่รู้ความนัย อาการถอดถอนใจนี้ หลังจากได้ยินคำถามเรื่องการขนย้าย ย้ายทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นของดูต่างหน้าของเสด็จพ่อออกไปจนหมด .. จึงตอบได้เพียง เธอไม่มีสิทธิ์สั่งการเรื่องนี้หรอก
พลันได้ยินน้ำเสียงหวานเอ่ยถามมาจากด้านหลัง ว่าพวกเขามา...ทำอะไรกัน.. ในห้องนี้ เขาหันกลับมาตอบรับอย่างตื่นตะลึง งาม.. เธอช่างงามประทับไปในดวงจิตของเขาได้ในเพียงชั่วพริบตาที่สบตากันอย่างนั้นหรือ ชั่วชีวิตนี้หาเคยถูกตาต้องใจใครไม่ แต่บัดนี้อนลรู้แล้ว "รักแรกพบ" เป็นเยี่ยงไร เมื่อรู้สึกตัว จึงตอบถ้อยคำถามนั้นอย่างสุภาพ เธอคงเป็นคุณข้าหลวงประจำตำหนักนี้กระมัง เขาฉงนใจมากขึ้นไปอีก โอ...ผู้หญิงคนนี้สนใจหนังสือ ผิดแปลกไปจากหญิงสาวคนอื่นเหลือเกิน เมื่อฉุกคิดได้ว่าเขาต้องเข้ามาขนย้ายตู้และโต๊ะในห้องทรงพระอักษรอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น ปากจึงเอ่ยถามไปไวเท่าหัวใจ หวังจะได้พบเธอผู้นี้อีกครา อนลหมายใจว่าจะกลับไปเรียนคุณแม่ คุณหญิงผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับหม่อมเจ้าของวัง หากเขาจะทอดสะพานมายังคุณข้าหลวงของวังนี้ เห็นทีคงไม่ยากนัก
เพียงข้ามวัน... สถานะที่แท้จริงที่รับรู้จากปากของจัน เด็กรับใช้ของเธอนั้น ราวกับสายฟ้าฟาด เธอมิใช่คุณข้าหลวง หากเป็นหม่อมเจ้า... พระธิดาของเสด็จในกรมฯเจ้าของวังต่างหาก อนลเอ๋ย ช่างโง่นัก ความหวังอันเรืองรองกลับถูกดับในชั่วข้ามคืน เธอ..ผู้อยู่สูงเกินกว่าเขาจะมีวันเอื้อมถึง การส่งหนังสือ กราบบังคมทูลขอประทานอภัยของเขาที่ตาหามีแววไม่ คือ สิ่งเดียวที่จะทำให้เธอรับรู้ว่าเขาผิดไปแล้วที่จาบจ้วงเธอ บังอาจเหลือเกินอนลเอ๋ย...
น้อมเศียรแทบพระบาท
อนงค์นาถพิลาศพิไล
เพื่อขอประทานอภัย
ที่มิได้ระวังการ
มีตาหามีแวว
ผิดไปแล้วโปรดสงสาร
รับผิดมิเนิ่นนาน
จึงส่งสารมาทูลความ
ขอรับซึ่งโทษทัณฑ์
ด้วยใจอันมิครั่นคร้าม
มิว่าคำประณาม
หรืออภัยใจพร้อมรับ
ขอเพียงฝ่าพระบาท
ให้โอกาสทรงสดับ
ถ้อยคำน้อมคำนับ
ขอถวายจากใจจริง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด อนล
ซองจดหมายสีน้ำตาล ที่ทำด้วยกระดาษเนื้อดีจากเมืองฝรั่งถูกส่งมาถวาย ความรู้สึกผิดที่แอบรับสินน้ำใจจากอนลมาแล้วทำให้เด็กรับใช้สาว ถวายหนังสือเสร็จก็นั่งกุมมือ ก้มหน้าอยู่ข้างๆไม่พูดไม่จา แม้จะฉงนใจในทีแรกว่านี่เป็นหนังสือจากใคร แต่เธอก็รับมาเปิดอ่าน นี่มัน...คำกวีนี่นะ คำขอโทษที่เป็นคำกลอนเสียด้วย สายตาคมตวัดไปที่เด็กรับใช้ พร้อมถามอออกไป หนังสือจากใคร..จัน... คำตอบที่ได้รับ พลันทำให้นึกไปถึง ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาท่าทางเป็นลูกผู้ดีที่เธอพบเมื่อวาน อ้อ..เขานั่นเอง ผู้ชายที่หน้าตามอมแมม ดั่งท้าวแสนเปื้อน บังอาจนัก! หลังจากไต่สวนจันที่ละล่ำละลักตอบเธออย่างอ้อมแอ้มว่า เห็นว่าเขาดูมิใช่ไพร่ และประสงค์จะส่งสารมาทูลขออภัย จึงรับฝากมาถวาย
เมื่อเด็กรับใช้เผ่นแน่บออกไปก่อนจะโดนลงโทษ เธอจึงหยิบจดหมายนั้นมาอ่านทวนอีกครั้ง เธอมิได้ติดใจเอาความที่เขาไม่ทราบว่าเธอคือใคร แต่การหาญกล้าส่งหนังสือมาให้ แถมมิใช่คำขอโทษอย่างหนังสือราชการแบบที่เคยเห็นตอนถวายรับใช้เสด็จพ่ออีกด้วย ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายคนเล็กของพระยารัชปาลีกล้าทำเพียงนี้เชียวหรือ