ไม่รู้ว่าเราเลือกงานผิดหรือเปล่า งานเราต้องใช้ความละเอียดรอบคอบสูง เพราะมันเกี่ยวข้องกับการคำนวณเงินต่างๆ ลูกค้าของเราก็คือองค์กรต่างๆ ที่มาใช้บริการกับเรา นอกจากงานนี้จะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบแล้ว ยังต้องใช้ความรวดเร็วมากๆด้วย เพราะแต่ละงานมีเวลาทำให้ไม่มาก(เมื่อเทียบกับปริมาณและคุณภาพของงาน) งานแต่ละงานของเรามีวันกำหนดส่งลูกค้า ปกติเมื่อลูกค้าส่งข้อมูลมาให้เราทำแล้ว เราก็จะต้องทำการบันทึกข้อมูลเข้าระบบ ประมวลผล และตรวจสอบความถูกต้องของงาน แล้วส่งงานให้ลูกค้าภายในวันถัดไป แต่ก่อนที่เราจะส่งงานให้ลูกค้าได้นั้น เราจะต้องส่งงานให้รุ่นพี่ในทีมเราตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้งก่อน ถ้าพบจุดผิดพลาดก็จะต้องแก้ไข ประมวลผลใหม่ และตรวจสอบความถูกต้องใหม่อีกครั้ง ดังนั้นเราจึงต้องเผื่อเวลาสำหรับส่วนนี้ด้วย ถึงแม้จะส่งงานลูกค้าในวันถัดไป แต่เราก็ต้องรีบทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้มีเวลาให้รุ่นพี่ได้ตรวจงานเรา และได้มีเวลาแก้ไขจุดผิด ก่อนจะส่งงานให้ลูกค้า ซึ่งการทำงานนี้ทำให้เรารู้ว่าเรามีปัญหามากเลย
ปัญหาแรกของเรา คือเรื่องการทำงานผิดพลาด สำหรับเรา งานนี้ไม่ง่ายเลย ถึงแม้จะบันทึกข้อมูลเข้าระบบ และให้ระบบประมวลผลให้แล้ว แต่เราก็ต้องตรวจสอบด้วยตัวเองอีก เพราะระบบของบริษัทไม่ค่อยเสถียร เชื่อถือไม่ค่อยได้ เราทำงานมาเกินครึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังทำงานไม่คล่อง ไม่ชำนาญ จึงมักทำงานผิด เช่น ลืมบันทึกข้อมูลบางอย่างเข้าไป บางทีมันเป็นข้อมูลที่ลูกค้าไม่ได้ให้มา แต่จะต้องบันทึกเข้าไปในระบบด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ เราเป็นคนตรงๆ ซื่อๆ ก็เลยบันทึกข้อมูลตามที่ลูกค้าให้มาทุกอย่าง อะไรที่ลูกค้าไม่ได้ให้มา เราก็ไม่ได้บันทึกลงไป(พอเรารู้แล้วก็จำไว้) หรือบางทีเราบันทึกข้อมูลครบแล้ว แต่ระบบคำนวณค่าเงินออกมาผิด และเราก็ตรวจเองแล้วแต่ไม่เจอจุดผิดพลาดนี้ อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่ามันผิด หรือเราไม่มีความละเอียดรอบคอบมากพอ หรือข้อมูลบางอย่างเราอาจตรวจไม่เป็น ก็เลยไม่เจอความผิดพลาดนั้น (การตรวจก็จะตรวจด้วยสายตา ใช้เครื่องคิดเลข และใช้โปรแกรม Excel) ทีนี้พอเราตรวจเองแล้วไม่เจอจุดผิด ดังนั้นคนที่เจอจุดผิดนั้นก็คือรุ่นพี่ในทีมเรา เราทำงานทุกครั้งก็มีจุดผิดทุกครั้ง จนรุ่นพี่ก็รู้สึกเอือมระอาและไม่ไว้ใจเรา เขาก็จะบ่นเรา และบอกประมาณว่า 'ไม่รอบคอบเลย' , 'ครั้งหน้าจะผิดอีกไหม' , 'ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามก่อนสิ เพราะถ้าทำผิดแบบนี้มันเสียเวลา ถ้าพี่ตรวจแล้วไม่เจอจุดผิดนั้นด้วย คิดดูสิว่าจะเกิดความเสียหายขนาดไหนเมื่อส่งข้อมูลผิดๆไปให้ลูกค้า' ฯลฯ เราเองก็ยอมรับผิด แต่เราก็ไม่ได้อยากให้มันผิดหรอก เพราะในมุมมองของเรา เราก็คิดว่าตัวเองพยายามทำเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ภายในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เราเครียดมาก คิดว่าตัวเองอาจไม่เหมาะกับงานแบบนี้ (จริงๆแล้วชอบงานนี้ แต่พอทำผิดบ่อยๆ ถูกบ่นบ่อยๆ จึงคิดแบบนี้)
ปัญหาที่สองของเราคือ เราทำงานช้า ด้วยความที่งานแต่ละอย่างมีเวลาทำไม่มาก รุ่นพี่จึงคาดหวังว่าเราจะทำงานให้เสร็จเร็วๆ เพราะเขาก็จะได้ตรวจงานเราเร็วๆด้วย แต่เราก็ทำงานไม่เร็วตามที่เขาคาดหวัง แต่ในความรู้สึกเราคือ เราพยายามเร็วเต็มที่แล้ว เร็วได้เท่านี้ และไม่รู้จะให้มันเร็วกว่านี้ได้ยังไงอีก เราไม่ชอบทำอะไรเร่งรีบ แต่เราก็พยายามเร่งรีบสำหรับงานนี้ ลูกค้าเรามีอยู่ 2-3 รายซึ่งต้องส่งงานในเวลาพร้อมๆกันหรือใกล้เคียงกัน ทำให้เราต้องเร่งรีบทำเข้าไปใหญ่ งานของบริษัทนึงเราก็ใช้เวลาทำทั้งวันแล้ว ยิ่งถ้าลูกค้าส่งข้อมูลมาให้เราตอนบ่ายๆ เย็นๆ เราก็จะต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่น จะกลับบ้านก็ไม่ได้ แถมบางครั้งลูกค้าส่งข้อมูลมาให้เราช้า เช่น ส่งมาให้วันนี้ และต้องการให้เราส่งงานกลับให้เขาภายในวันนี้เลย เราก็ต้องพยายามรีบทำสุดๆ บางทีระบบมีปัญหาอีก ต้องรอ IT ซ่อมให้เสร็จจึงจะทำต่อได้ รุ่นพี่ที่ตรวจงานเราก็คอยจี้ คอยเร่ง คอยทวงงานเราอยู่นั้น ถ้าเราไม่เครียดก็คงแปลกแล้ว แต่เรารู้สึกแย่มากเวลาที่เราอยู่ทำงานจนดึก และรุ่นพี่ที่ตรวจงานก็ต้องอยู่ดึกไปด้วยเพื่อรอตรวจงานเรา(เพราะต้องส่งงานให้ลูกค้าภายในวันนี้เลย) พอตรวจแล้วเจอจุดผิด ก็ต้องรอให้เราแก้ไขแล้วตรวจใหม่อีก กว่าจะได้ส่งงานให้ลูกค้าก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม-เที่ยงคืน รุ่นพี่ก็จะบ่นว่าอยากกลับบ้าน เราก็รู้สึกผิด คิดในใจว่าถ้ารุ่นพี่ทำเองคงเสร็จไปนานแล้ว ไม่ต้องมารอเราจนดึกหรอก เราเองก็กดดัน
ปัญหาที่สามของเรา คือเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เราคิดว่าคงเป็นเพราะเรามีประสบการณ์น้อย เป็นคนคิดช้า และยังไม่ค่อยรู้อะไรแบบจริงๆ บางทีมันก็ส่งผลให้เราทำงานช้าได้เหมือนกัน เราคิดไม่ออกว่าเราจะหาวิธีทำงานให้ง่ายและเร็วขึ้นได้อย่างไรถ้ารุ่นพี่ไม่บอกเรา เพราะขนาดทำตามวิธีที่รุ่นพี่บอก เรายังทำได้ไม่ค่อยดีเลย งานของลูกค้าแต่ละเจ้า บางเจ้าก็จะมีวิธีการทำงานที่คล้ายๆกัน แต่เราไม่ทันได้คิด (เรามักคิดเสมอว่ามันไม่เหมือนกัน) รุ่นพี่ก็จะบ่นบ่อยๆ ว่าให้เรา 'รู้จักประยุกต์บ้าง รู้จักเอาวิธีการทำงานของลูกค้าบางเจ้ามาใช้กับลูกค้าเจ้าอื่นบ้าง รู้จักทำงานให้มันง่ายเข้าไว้ รู้จักช่างสังเกตบ้าง ไม่ใช่รอให้พี่ป้อนทุกอย่าง' (เห้อ)
ปัญหาที่สี่ของเรา คือเรื่องความสัมพันธ์ที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน (เพื่อนร่วมงานในที่นี้หมายถึง พวกรุ่นพี่ที่ตรวจงานให้เรา รวมถึงพวกคนที่ทำงานอยู่ใกล้ๆเรา) พวกเขาทุกคนเป็นคนช่างพูด พูดมาก แซวกันได้ทั้งวัน แต่เราเป็นคนไม่ค่อยพูด หน้านิ่ง และไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเวลาที่พวกเขาคุยอะไรกัน ยิ่งถ้าเรากำลังทำงาน เราแทบจะไม่สนใจคนรอบข้างเลย เพราะกำลังเครียด และต้องพยายามมีสมาธิ ผู้จัดการก็บอกเราว่าอยากให้เราพูดเยอะๆ เพราะบริษัทนี้ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม รุ่นพี่ในทีมเราก็ชอบบ่นเราว่าเราทำงานผิดและช้าบ่อยๆ เพราะเวลาเราสงสัยหรือติดขัดอะไรแล้วไม่ยอมถามเขา แต่ความจริงสำหรับเราคือ บางครั้งเรามั่นใจว่าต้องทำงานแบบนี้(เราอาจไปจำจากที่ไหนมาไม่รู้ แต่ว่ามันผิด และเราไม่รู้ว่าผิด) ก็เลยไม่ถามรุ่นพี่ และบางครั้งเวลารุ่นพี่สอนงานอะไร เราก็ไม่มีเวลาจด เพราะเราลงมือทำเลยตอนที่เขาสอน (ไม่มีเครื่องอัดเสียงด้วย ถึงมีก็คงแปลกมากถ้าหยิบขึ้นมาอัดเสียงต่อหน้าเขา) ถ้าจะจดก็ต้องจดหลังจากที่ทำเสร็จ และพอเราทำงานนี้เสร็จ ก็มีงานอื่นๆเข้ามาให้เราทำต่ออีก และงานทุกอย่างของเรามันต้องรีบทำ จนทำให้เราลืมไปบ้างว่าเมื่อกี้รุ่นพี่มาสอนงานเรา และพอครั้งหน้าเราไปถามเขาอีก เขาก็จะชอบพูดว่า 'พี่สอนไปแล้วนี่' , 'ได้จดไว้หรือเปล่า' , 'เคยทำไปแล้วนี่ ไม่ใช่ทำครั้งแรกนะ' , 'ไม่รู้จักจดจักจำเลยนะ' บางทีเราถามเขาเพื่อความแน่ใจ แต่เขาดันย้อนถามเราอีก เรารู้สึกเบื่อนะ เราจึงไม่ค่อยอยากถามอะไรพวกรุ่นพี่ รู้สึกว่าเราทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพวกเขาสักอย่าง แต่เราก็ไม่เคยเถียงพวกเขา (ใจอยากเถียง แต่ไม่อยากมีปัญหา) เราคิดว่าเราก็มีความอดทนใช้ได้ แต่ก็คิดเหมือนกันว่าทนไปทำไม
ปัญหาที่ห้าของเรา คือเรื่องทำงานแล้วไม่ได้เงินค่าล่วงเวลา ด้วยความที่ทำงานกันเป็นทีม แผนกเราจึงมีกฎว่า ถ้าเราจะอยู่ทำงานล่วงเวลา จะต้องมีรุ่นพี่ในทีมอยู่ด้วยอย่างน้อย 1 คน และการขอเงินค่าล่วงเวลาก็จะต้องมีแบบฟอร์มให้รุ่นพี่ในทีมเซ็นอนุมัติด้วย แต่ในทางปฏิบัติคือ บางครั้งเราก็อยู่ทำงานคนเดียวโดยไม่มีรุ่นพี่ในทีมอยู่ด้วย เพราะรุ่นพี่ไม่ได้บังคับให้เราทำงานล่วงเวลา รุ่นพี่อนุญาตให้กลับบ้านได้ ค่อยมาทำต่อวันถัดไปได้ แต่เรามีงานหลายอย่างที่ต้องส่งในวันถัดไป และบางงานก็ต้องส่งก่อนเที่ยง เราไม่อยากเอางานทั้งหมดไปทำในวันถัดไปทีเดียว เพราะมันหนักเกิน กลัวจะทำเสร็จไม่ทัน และงานพวกนี้ก็ไม่สามารถเอากลับไปทำที่หอพักได้ เราจึงต้องอยู่ล่วงเวลาเพื่อทยอยทำงานบางส่วนให้เสร็จก่อน ซึ่งแบบนี้เราจะไม่สามารถขอเงินค่าทำงานล่วงเวลาได้ ถ้าเป็นแบบนี้นานๆครั้งเรารับได้ เพราะมันคือความรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆเราก็คงไม่ชอบ เพราะเงินเดือนเราก็ไม่มาก แถมยังต้องอุทิศเวลาส่วนตัวให้กับบริษัทอีก และงานเรานับวันจะยิ่งมากขึ้นๆ ผู้จัดการเอางานมาให้ทำมากขึ้นๆ(เขาคงคิดว่าเรายังทำงานได้ไม่นาน งานคงไม่เยอะ สามารถรับงานเพิ่มอีกได้) เราไม่อยากคิดเลยว่าต่อไปเราต้องทำงานล่วงเวลาทุกวันหรือเปล่า
ปัญหาที่หกของเรา คือที่บริษัทจะมีกฎว่า พนักงานทุกคนต้องมีการบันทึกว่าแต่วันได้ทำอะไรไปบ้าง และใช้เวลาเท่าไหร่ ภายในเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง ถ้ามีการทำงานล่วงเวลาก็ต้องบันทึกด้วยว่าทำอะไรบ้าง แต่ปัญหาคือ งานเราไม่ได้มีทุกวัน แต่มีเป็นช่วงๆ ช่วงไหนมีงานก็จะเยอะมาก มาแบบตู้มเดียวเหมือนภูเขาไฟระเบิด แต่พอผ่านช่วงนั้นไปแล้ว เราจะว่างมาก ว่างทั้งวันเลย เราก็จะใช้เวลาว่างนั้นในการทบทวนงานที่ได้ทำไป หรือศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับงาน แต่เราไม่ได้ทำทั้งวัน เพราะไม่ได้มีอะไรให้ศึกษามากนัก ส่วนใหญ่ก็ทบทวนเรื่องเดิมๆซ้ำไปมา ดังนั้นเราจึงนั่งเล่นเน็ต เล่นพันทิป หรือหาอะไรดูและอ่านเล่นๆ ผู้จัดการเคยบอกว่าถ้าไม่มีงานทำให้ไปของานเพิ่มจากเขาได้ แต่เราก็ไม่ขอ เพราะเราคิดว่าเราควรมีเวลาว่างชดเชยกับที่เราได้ทำงานหนักไป และกลัวว่าถ้าไปขอรับงานเพิ่ม งานนั้นอาจกลายเป็นภาระของเราตลอดไปเลยก็ได้ ดังนั้นเราจึงนั่งเล่นเน็ตหาความบันเทิงดีกว่า แต่ก็รู้สึกเบื่อเหมือนกัน เพราะจะมีปัญหาเวลาที่ต้องบันทึกว่าวันนั้นเราทำอะไรไปบ้าง เพราะเขาไม่ให้บันทึกว่านั่งว่างๆ หรือนั่งเล่นเน็ต หรืออะไรทำนองนี้ จะต้องบันทึกแต่เรื่องงานเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่มีวิธีอื่นนอกจากเขียนแบบโกหกไป ทีนี้เราก็ต้องเอาบันทึกของเราส่งให้รุ่นพี่ตรวจอีก รุ่นพี่ก็ตรวจละเอียดมาก เนี๊ยบสุดๆ พอเห็นเราบันทึกว่าศึกษาเรื่องโน้นเรื่องนี้ เขาก็จะถามว่า 'ศึกษาจริงหรือเปล่า ใช้เวลาศึกษานานขนาดนี้ ต่อไปจะไม่ทำงานผิดแล้วใช่ไหม' เราก็คิดในใจว่า 'ไม่น่าถามเลย ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโกหก ตัวเองก็เป็นเหมือนกันนี่' เพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละทีมกับเราก็บันทึกแบบนี้เหมือนกัน แต่รุ่นพี่ของเขาไม่เที่ยวถามเขาหรอกว่าเขาได้ทำจริงหรือเปล่า
เราทำงานไกลบ้าน เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียว ต้องกลับบ้านดึกๆ พ่อแม่รู้เข้าก็เป็นห่วง เราเองก็ไม่รู้จะคุยกับใครเวลาเครียดงาน เรามีเพื่อนต่างทีมที่ค่อนข้างสนิทกัน แต่เราก็ไม่สามารถเล่าให้เขาฟังได้ เพราะคิดว่าเขาจะต้องแอบเอาไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังแน่ๆ พวกที่ชอบคุยชอบเมาท์ ขนาดอยู่ต่อหน้ากันยังแซวกันแบบแรงๆได้ เรื่องนินทาลับหลังก็ต้องมีแน่นอน เราอยู่ร่วมกับพวกเขาในที่ทำงานทั้งวันก็ได้ยินอะไรหลายๆอย่าง ถึงแม้เราจะไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยก็ตาม บางทีเราเครียดจนแอบไปร้องไห้ และก็เล่าให้พ่อฟัง(ทางไลน์) บอกว่าเราเป็นยังไง เพื่อนร่วมงานเป็นยังไง พ่อก็บอกว่าอย่าคิดมาก อย่าเครียด เรายังใหม่อยู่ก็เลยยังไม่เก่ง ความสามารถในการเรียนรู้ของคนเราไม่เท่ากัน ถ้าเราแย่จริงคงถูกไล่ออกไปแล้ว ไม่ต้องไปเครียดกับพฤติกรรมของคนอื่นหรอก มันเป็นเรื่องธรรมดา คนที่จะประสบความสำเร็จเขาต้องผ่านความลำบากมาเยอะ ฯลฯ เราก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็กลับเครียดเหมือนเดิม
เราอาจเป็นคนไม่เก่งสำหรับบริษัทนี้ อาจเข้าขั้นแย่ คิดหลายครั้งเลยว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่ อยู่ไปก็เป็นตัวถ่วงคนอื่น (แต่ยืนยันว่าเราทำงานสุดความสามารถแล้ว ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ต้องอาศัยเวลา แต่เกรงว่าพวกรุ่นพี่จะรอไม่ไหว) ที่ยังทนอยู่ก็เพราะยังไม่มีที่ไปที่ดีกว่านี้ เราไม่ได้ทำงานเก่งขนาดว่าจะเลือกงานได้มากนัก และก็นึกถึงพ่อแม่ด้วย จึงพยายามอดทน ทุกวันนี้ก็ฝืนทนทำไปเรื่อยๆ (ก็ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูก) ถ้าคุณเจอแบบเรา คุณจะอดทนทำต่อไหม
รู้สึกเครียดกับงานมาก เหมือนจะไม่ไหว ถ้าเป็นคุณจะทนทำต่อไปไหม
ปัญหาแรกของเรา คือเรื่องการทำงานผิดพลาด สำหรับเรา งานนี้ไม่ง่ายเลย ถึงแม้จะบันทึกข้อมูลเข้าระบบ และให้ระบบประมวลผลให้แล้ว แต่เราก็ต้องตรวจสอบด้วยตัวเองอีก เพราะระบบของบริษัทไม่ค่อยเสถียร เชื่อถือไม่ค่อยได้ เราทำงานมาเกินครึ่งปีแล้ว แต่ก็ยังทำงานไม่คล่อง ไม่ชำนาญ จึงมักทำงานผิด เช่น ลืมบันทึกข้อมูลบางอย่างเข้าไป บางทีมันเป็นข้อมูลที่ลูกค้าไม่ได้ให้มา แต่จะต้องบันทึกเข้าไปในระบบด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ เราเป็นคนตรงๆ ซื่อๆ ก็เลยบันทึกข้อมูลตามที่ลูกค้าให้มาทุกอย่าง อะไรที่ลูกค้าไม่ได้ให้มา เราก็ไม่ได้บันทึกลงไป(พอเรารู้แล้วก็จำไว้) หรือบางทีเราบันทึกข้อมูลครบแล้ว แต่ระบบคำนวณค่าเงินออกมาผิด และเราก็ตรวจเองแล้วแต่ไม่เจอจุดผิดพลาดนี้ อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ว่ามันผิด หรือเราไม่มีความละเอียดรอบคอบมากพอ หรือข้อมูลบางอย่างเราอาจตรวจไม่เป็น ก็เลยไม่เจอความผิดพลาดนั้น (การตรวจก็จะตรวจด้วยสายตา ใช้เครื่องคิดเลข และใช้โปรแกรม Excel) ทีนี้พอเราตรวจเองแล้วไม่เจอจุดผิด ดังนั้นคนที่เจอจุดผิดนั้นก็คือรุ่นพี่ในทีมเรา เราทำงานทุกครั้งก็มีจุดผิดทุกครั้ง จนรุ่นพี่ก็รู้สึกเอือมระอาและไม่ไว้ใจเรา เขาก็จะบ่นเรา และบอกประมาณว่า 'ไม่รอบคอบเลย' , 'ครั้งหน้าจะผิดอีกไหม' , 'ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามก่อนสิ เพราะถ้าทำผิดแบบนี้มันเสียเวลา ถ้าพี่ตรวจแล้วไม่เจอจุดผิดนั้นด้วย คิดดูสิว่าจะเกิดความเสียหายขนาดไหนเมื่อส่งข้อมูลผิดๆไปให้ลูกค้า' ฯลฯ เราเองก็ยอมรับผิด แต่เราก็ไม่ได้อยากให้มันผิดหรอก เพราะในมุมมองของเรา เราก็คิดว่าตัวเองพยายามทำเต็มที่สุดความสามารถแล้ว ภายในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เราเครียดมาก คิดว่าตัวเองอาจไม่เหมาะกับงานแบบนี้ (จริงๆแล้วชอบงานนี้ แต่พอทำผิดบ่อยๆ ถูกบ่นบ่อยๆ จึงคิดแบบนี้)
ปัญหาที่สองของเราคือ เราทำงานช้า ด้วยความที่งานแต่ละอย่างมีเวลาทำไม่มาก รุ่นพี่จึงคาดหวังว่าเราจะทำงานให้เสร็จเร็วๆ เพราะเขาก็จะได้ตรวจงานเราเร็วๆด้วย แต่เราก็ทำงานไม่เร็วตามที่เขาคาดหวัง แต่ในความรู้สึกเราคือ เราพยายามเร็วเต็มที่แล้ว เร็วได้เท่านี้ และไม่รู้จะให้มันเร็วกว่านี้ได้ยังไงอีก เราไม่ชอบทำอะไรเร่งรีบ แต่เราก็พยายามเร่งรีบสำหรับงานนี้ ลูกค้าเรามีอยู่ 2-3 รายซึ่งต้องส่งงานในเวลาพร้อมๆกันหรือใกล้เคียงกัน ทำให้เราต้องเร่งรีบทำเข้าไปใหญ่ งานของบริษัทนึงเราก็ใช้เวลาทำทั้งวันแล้ว ยิ่งถ้าลูกค้าส่งข้อมูลมาให้เราตอนบ่ายๆ เย็นๆ เราก็จะต้องอยู่ทำงานจนดึกดื่น จะกลับบ้านก็ไม่ได้ แถมบางครั้งลูกค้าส่งข้อมูลมาให้เราช้า เช่น ส่งมาให้วันนี้ และต้องการให้เราส่งงานกลับให้เขาภายในวันนี้เลย เราก็ต้องพยายามรีบทำสุดๆ บางทีระบบมีปัญหาอีก ต้องรอ IT ซ่อมให้เสร็จจึงจะทำต่อได้ รุ่นพี่ที่ตรวจงานเราก็คอยจี้ คอยเร่ง คอยทวงงานเราอยู่นั้น ถ้าเราไม่เครียดก็คงแปลกแล้ว แต่เรารู้สึกแย่มากเวลาที่เราอยู่ทำงานจนดึก และรุ่นพี่ที่ตรวจงานก็ต้องอยู่ดึกไปด้วยเพื่อรอตรวจงานเรา(เพราะต้องส่งงานให้ลูกค้าภายในวันนี้เลย) พอตรวจแล้วเจอจุดผิด ก็ต้องรอให้เราแก้ไขแล้วตรวจใหม่อีก กว่าจะได้ส่งงานให้ลูกค้าก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม-เที่ยงคืน รุ่นพี่ก็จะบ่นว่าอยากกลับบ้าน เราก็รู้สึกผิด คิดในใจว่าถ้ารุ่นพี่ทำเองคงเสร็จไปนานแล้ว ไม่ต้องมารอเราจนดึกหรอก เราเองก็กดดัน
ปัญหาที่สามของเรา คือเรื่องความคิดสร้างสรรค์ เราคิดว่าคงเป็นเพราะเรามีประสบการณ์น้อย เป็นคนคิดช้า และยังไม่ค่อยรู้อะไรแบบจริงๆ บางทีมันก็ส่งผลให้เราทำงานช้าได้เหมือนกัน เราคิดไม่ออกว่าเราจะหาวิธีทำงานให้ง่ายและเร็วขึ้นได้อย่างไรถ้ารุ่นพี่ไม่บอกเรา เพราะขนาดทำตามวิธีที่รุ่นพี่บอก เรายังทำได้ไม่ค่อยดีเลย งานของลูกค้าแต่ละเจ้า บางเจ้าก็จะมีวิธีการทำงานที่คล้ายๆกัน แต่เราไม่ทันได้คิด (เรามักคิดเสมอว่ามันไม่เหมือนกัน) รุ่นพี่ก็จะบ่นบ่อยๆ ว่าให้เรา 'รู้จักประยุกต์บ้าง รู้จักเอาวิธีการทำงานของลูกค้าบางเจ้ามาใช้กับลูกค้าเจ้าอื่นบ้าง รู้จักทำงานให้มันง่ายเข้าไว้ รู้จักช่างสังเกตบ้าง ไม่ใช่รอให้พี่ป้อนทุกอย่าง' (เห้อ)
ปัญหาที่สี่ของเรา คือเรื่องความสัมพันธ์ที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน (เพื่อนร่วมงานในที่นี้หมายถึง พวกรุ่นพี่ที่ตรวจงานให้เรา รวมถึงพวกคนที่ทำงานอยู่ใกล้ๆเรา) พวกเขาทุกคนเป็นคนช่างพูด พูดมาก แซวกันได้ทั้งวัน แต่เราเป็นคนไม่ค่อยพูด หน้านิ่ง และไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเวลาที่พวกเขาคุยอะไรกัน ยิ่งถ้าเรากำลังทำงาน เราแทบจะไม่สนใจคนรอบข้างเลย เพราะกำลังเครียด และต้องพยายามมีสมาธิ ผู้จัดการก็บอกเราว่าอยากให้เราพูดเยอะๆ เพราะบริษัทนี้ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม รุ่นพี่ในทีมเราก็ชอบบ่นเราว่าเราทำงานผิดและช้าบ่อยๆ เพราะเวลาเราสงสัยหรือติดขัดอะไรแล้วไม่ยอมถามเขา แต่ความจริงสำหรับเราคือ บางครั้งเรามั่นใจว่าต้องทำงานแบบนี้(เราอาจไปจำจากที่ไหนมาไม่รู้ แต่ว่ามันผิด และเราไม่รู้ว่าผิด) ก็เลยไม่ถามรุ่นพี่ และบางครั้งเวลารุ่นพี่สอนงานอะไร เราก็ไม่มีเวลาจด เพราะเราลงมือทำเลยตอนที่เขาสอน (ไม่มีเครื่องอัดเสียงด้วย ถึงมีก็คงแปลกมากถ้าหยิบขึ้นมาอัดเสียงต่อหน้าเขา) ถ้าจะจดก็ต้องจดหลังจากที่ทำเสร็จ และพอเราทำงานนี้เสร็จ ก็มีงานอื่นๆเข้ามาให้เราทำต่ออีก และงานทุกอย่างของเรามันต้องรีบทำ จนทำให้เราลืมไปบ้างว่าเมื่อกี้รุ่นพี่มาสอนงานเรา และพอครั้งหน้าเราไปถามเขาอีก เขาก็จะชอบพูดว่า 'พี่สอนไปแล้วนี่' , 'ได้จดไว้หรือเปล่า' , 'เคยทำไปแล้วนี่ ไม่ใช่ทำครั้งแรกนะ' , 'ไม่รู้จักจดจักจำเลยนะ' บางทีเราถามเขาเพื่อความแน่ใจ แต่เขาดันย้อนถามเราอีก เรารู้สึกเบื่อนะ เราจึงไม่ค่อยอยากถามอะไรพวกรุ่นพี่ รู้สึกว่าเราทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพวกเขาสักอย่าง แต่เราก็ไม่เคยเถียงพวกเขา (ใจอยากเถียง แต่ไม่อยากมีปัญหา) เราคิดว่าเราก็มีความอดทนใช้ได้ แต่ก็คิดเหมือนกันว่าทนไปทำไม
ปัญหาที่ห้าของเรา คือเรื่องทำงานแล้วไม่ได้เงินค่าล่วงเวลา ด้วยความที่ทำงานกันเป็นทีม แผนกเราจึงมีกฎว่า ถ้าเราจะอยู่ทำงานล่วงเวลา จะต้องมีรุ่นพี่ในทีมอยู่ด้วยอย่างน้อย 1 คน และการขอเงินค่าล่วงเวลาก็จะต้องมีแบบฟอร์มให้รุ่นพี่ในทีมเซ็นอนุมัติด้วย แต่ในทางปฏิบัติคือ บางครั้งเราก็อยู่ทำงานคนเดียวโดยไม่มีรุ่นพี่ในทีมอยู่ด้วย เพราะรุ่นพี่ไม่ได้บังคับให้เราทำงานล่วงเวลา รุ่นพี่อนุญาตให้กลับบ้านได้ ค่อยมาทำต่อวันถัดไปได้ แต่เรามีงานหลายอย่างที่ต้องส่งในวันถัดไป และบางงานก็ต้องส่งก่อนเที่ยง เราไม่อยากเอางานทั้งหมดไปทำในวันถัดไปทีเดียว เพราะมันหนักเกิน กลัวจะทำเสร็จไม่ทัน และงานพวกนี้ก็ไม่สามารถเอากลับไปทำที่หอพักได้ เราจึงต้องอยู่ล่วงเวลาเพื่อทยอยทำงานบางส่วนให้เสร็จก่อน ซึ่งแบบนี้เราจะไม่สามารถขอเงินค่าทำงานล่วงเวลาได้ ถ้าเป็นแบบนี้นานๆครั้งเรารับได้ เพราะมันคือความรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆเราก็คงไม่ชอบ เพราะเงินเดือนเราก็ไม่มาก แถมยังต้องอุทิศเวลาส่วนตัวให้กับบริษัทอีก และงานเรานับวันจะยิ่งมากขึ้นๆ ผู้จัดการเอางานมาให้ทำมากขึ้นๆ(เขาคงคิดว่าเรายังทำงานได้ไม่นาน งานคงไม่เยอะ สามารถรับงานเพิ่มอีกได้) เราไม่อยากคิดเลยว่าต่อไปเราต้องทำงานล่วงเวลาทุกวันหรือเปล่า
ปัญหาที่หกของเรา คือที่บริษัทจะมีกฎว่า พนักงานทุกคนต้องมีการบันทึกว่าแต่วันได้ทำอะไรไปบ้าง และใช้เวลาเท่าไหร่ ภายในเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง ถ้ามีการทำงานล่วงเวลาก็ต้องบันทึกด้วยว่าทำอะไรบ้าง แต่ปัญหาคือ งานเราไม่ได้มีทุกวัน แต่มีเป็นช่วงๆ ช่วงไหนมีงานก็จะเยอะมาก มาแบบตู้มเดียวเหมือนภูเขาไฟระเบิด แต่พอผ่านช่วงนั้นไปแล้ว เราจะว่างมาก ว่างทั้งวันเลย เราก็จะใช้เวลาว่างนั้นในการทบทวนงานที่ได้ทำไป หรือศึกษาหาความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับงาน แต่เราไม่ได้ทำทั้งวัน เพราะไม่ได้มีอะไรให้ศึกษามากนัก ส่วนใหญ่ก็ทบทวนเรื่องเดิมๆซ้ำไปมา ดังนั้นเราจึงนั่งเล่นเน็ต เล่นพันทิป หรือหาอะไรดูและอ่านเล่นๆ ผู้จัดการเคยบอกว่าถ้าไม่มีงานทำให้ไปของานเพิ่มจากเขาได้ แต่เราก็ไม่ขอ เพราะเราคิดว่าเราควรมีเวลาว่างชดเชยกับที่เราได้ทำงานหนักไป และกลัวว่าถ้าไปขอรับงานเพิ่ม งานนั้นอาจกลายเป็นภาระของเราตลอดไปเลยก็ได้ ดังนั้นเราจึงนั่งเล่นเน็ตหาความบันเทิงดีกว่า แต่ก็รู้สึกเบื่อเหมือนกัน เพราะจะมีปัญหาเวลาที่ต้องบันทึกว่าวันนั้นเราทำอะไรไปบ้าง เพราะเขาไม่ให้บันทึกว่านั่งว่างๆ หรือนั่งเล่นเน็ต หรืออะไรทำนองนี้ จะต้องบันทึกแต่เรื่องงานเท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่มีวิธีอื่นนอกจากเขียนแบบโกหกไป ทีนี้เราก็ต้องเอาบันทึกของเราส่งให้รุ่นพี่ตรวจอีก รุ่นพี่ก็ตรวจละเอียดมาก เนี๊ยบสุดๆ พอเห็นเราบันทึกว่าศึกษาเรื่องโน้นเรื่องนี้ เขาก็จะถามว่า 'ศึกษาจริงหรือเปล่า ใช้เวลาศึกษานานขนาดนี้ ต่อไปจะไม่ทำงานผิดแล้วใช่ไหม' เราก็คิดในใจว่า 'ไม่น่าถามเลย ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าโกหก ตัวเองก็เป็นเหมือนกันนี่' เพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละทีมกับเราก็บันทึกแบบนี้เหมือนกัน แต่รุ่นพี่ของเขาไม่เที่ยวถามเขาหรอกว่าเขาได้ทำจริงหรือเปล่า
เราทำงานไกลบ้าน เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียว ต้องกลับบ้านดึกๆ พ่อแม่รู้เข้าก็เป็นห่วง เราเองก็ไม่รู้จะคุยกับใครเวลาเครียดงาน เรามีเพื่อนต่างทีมที่ค่อนข้างสนิทกัน แต่เราก็ไม่สามารถเล่าให้เขาฟังได้ เพราะคิดว่าเขาจะต้องแอบเอาไปเล่าต่อให้คนอื่นฟังแน่ๆ พวกที่ชอบคุยชอบเมาท์ ขนาดอยู่ต่อหน้ากันยังแซวกันแบบแรงๆได้ เรื่องนินทาลับหลังก็ต้องมีแน่นอน เราอยู่ร่วมกับพวกเขาในที่ทำงานทั้งวันก็ได้ยินอะไรหลายๆอย่าง ถึงแม้เราจะไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยก็ตาม บางทีเราเครียดจนแอบไปร้องไห้ และก็เล่าให้พ่อฟัง(ทางไลน์) บอกว่าเราเป็นยังไง เพื่อนร่วมงานเป็นยังไง พ่อก็บอกว่าอย่าคิดมาก อย่าเครียด เรายังใหม่อยู่ก็เลยยังไม่เก่ง ความสามารถในการเรียนรู้ของคนเราไม่เท่ากัน ถ้าเราแย่จริงคงถูกไล่ออกไปแล้ว ไม่ต้องไปเครียดกับพฤติกรรมของคนอื่นหรอก มันเป็นเรื่องธรรมดา คนที่จะประสบความสำเร็จเขาต้องผ่านความลำบากมาเยอะ ฯลฯ เราก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็กลับเครียดเหมือนเดิม
เราอาจเป็นคนไม่เก่งสำหรับบริษัทนี้ อาจเข้าขั้นแย่ คิดหลายครั้งเลยว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นี่ อยู่ไปก็เป็นตัวถ่วงคนอื่น (แต่ยืนยันว่าเราทำงานสุดความสามารถแล้ว ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ต้องอาศัยเวลา แต่เกรงว่าพวกรุ่นพี่จะรอไม่ไหว) ที่ยังทนอยู่ก็เพราะยังไม่มีที่ไปที่ดีกว่านี้ เราไม่ได้ทำงานเก่งขนาดว่าจะเลือกงานได้มากนัก และก็นึกถึงพ่อแม่ด้วย จึงพยายามอดทน ทุกวันนี้ก็ฝืนทนทำไปเรื่อยๆ (ก็ไม่รู้ว่าคิดผิดหรือคิดถูก) ถ้าคุณเจอแบบเรา คุณจะอดทนทำต่อไหม