ความรักกับความเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่เรียกว่าคู่ชีวิต

สวัสดีเรามาแชร์เรื่องราวความรักระหว่างความรักระหว่างเรากับแฟน

สวัสดีเราชื่อ อ. แฟนเราชื่อ ต. เราสองคนชอบเที่ยวเที่ยวถ่ายรูปชอบเดินทาง
เราสองคนเจอกันโดยบังเอิญ เพราะเรื่องเที่ยว เพราะเราสองคนชอบอะไรที่เหมือนๆกันแทบจะทุกอย่าง

เรากับแฟนอยู่กันคนละจังหวัดเราอยู่กรุงเทพเเฟนเราอยู่ระยอง เราจะเจอกันอาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็ว่ากะนไป
แฟนเราเป็นช่างภาพรับงานถ่ายรูปทั่วๆไปส่วนเราทำงานส่วนของรัฐบาล
เราคบกันโดยที่เราอยู่ไกลกันแต่ก็ไม่ได้ไกลขนาดไปมาหากันไม่ได้
เราคุยกันผ่านวีดีโอคอลทุกวันๆๆ เราต้องคอลหากันทุกครั้งที่เราถึงที่พักจนกินข้าวอาบน้ำนอนเราจะคุยกับแบบนี้ทุกวันๆ
แฟนเราก็จะมาหาเราทุกอาทิตย์ มาเจอกันไปกินข้าวไปเที่ยวไปดูหนังกัน แรกๆเราจะดูหนังด้วยกันแทบทุกครั้งที่แฟนเรามาหา
แต่ถ้าอาทิตย์ไหนไม่มีงานถ่ายรูปก็จะไม่ได้มากรุงเทพเลย เราคบกันไปสักพักนึงแฟนเราก็เริ่มสมัครงานในกรุงเทพ
มีบริษัทเรียกสัมภาษตรวจร่างกายก็รับเข้าทพงาน แฟนเราก็ต้องมาอยู่ที่กรุงเทพ ซึ่งเมื่อก่อนเราอยู่หอในของที่ทำงานแล้วก็อยู่บ้านญาติ
พอแฟนเรามาทำงานที่กรุงเทพแฟนก็เริ่มมาหาห้องเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน ก็เช่าห้องแถวๆที่ทำงานเรา แฟนเราก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพ พอได้งานทำแฟนเราก็ขายกล้องที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วบอกว่าจะตั้งใจทำงานไปก่อนค่อยกลับมาถ่ายรูปเป็นอาชีพเสริม โอเคเราสนับสนุนทุกเรื่องอยู่แล้ว
เข้ามาเหมือนเริ่มต้นใหม่เราก็พาไปซื้อของซื้อชุดทำงานรองเท้าซื้อทุกอย่างที่ต้องใช้ พอเริ่มทำงานช่วงแรกๆแฟนเราทำงานจันทร์-ศุกร์
ทุกๆเช้าเราจะต้องตื่นพร้อมกันกับเค้าเพื่อมาเตรียมชุด เตรียมรองเท้า เตรียมข้าวกล่องให้เค้าไปกิน เช้ากับกลางวัน เราทำแบบนี้ทุกๆวัน
พอวันหยุดเราก็ไปเที่ยวถ่ายรูปบ้าง บางครั้งแฟนเราก็กลับบ้านวันหยุดบ้าง เราก็คบกันแบบเปิดเผยมากขึ้นจากเดิมเริ่มแนะนำให้รู้จักคนรอบตัว พี่ๆเพื่อนๆน้องๆที่ทำงานรู้จักแทบทุกคน เราบอกพ่อบอกแม่ว่าเราคบคนนี้นะ ถ้าคิดว่าคบใครจริงๆจังๆจะบอกให้ทุกคนรู้ว่านี่คือแฟนเรานะ
แฟนเราก็ทำงานไปเรื่อยๆจนกระทั้งได้เข้ากะ มี ช บ ด เหมือนเวรพยาบาลเลย แต่การทำงานมันก็อาจแตกต่างกันไป แฟนเราเค้าก็ท้อก็เหนื่อยกับการที่ค้องเข้าเวรแบบนี้ เราก็ได้แต่บอกว่าไม่ไหวก็ออกมาทำอะไรที่ตัวเองชอบ เราไม่เคยว่าเราไม่เคยลบังคับว่าจะต้องทำงานมีเงินเดือนนะ บางอาชีพก็หาเงินได้เยอะกว่ามนุษย์เงินเดือนก็เยอะแยะ พออยากเริ่มกลับมาถ่ายรูป  ไม่มีกล้องเราก็ซื้อกล้องซื้อเลนส์ แล้วแฟนเราก็ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาถ่ายรูปจริงๆจังๆ
พอออกจากงานมาก็มีงานถ่ายรูปเข้ามามีเพื่อนมีพี่โยนงานให้บ้าง ได้จากการบอกต่อบ้าง ก็เริ่มทำตรงนี้ เราว่างเราก็ไปด้วย แฟนเรามีเวลามากขึ้น ก็พาเราไปเที่ยวไปกางเต๊นท์นอนแทบทุกอาทิตย์แต่ไปแบบงบไม่เยอะ

พอเริ่มมีเวลามากขึ้นเค้าก็จะอยู่หน้าจอคอมมากขึ้น มีเวลากับโลกโซเซียลมากขึ้น จากที่ไม่เคยล็อคโทรสับก็ล็อคแต่เราก็ไม่เคยเช็คนะ อาจเป็นเพราะว่าเค้ากำลังมีคนอื่นคุยอยู่รึป่าว เลยต้องล็อค เราก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ถามไม่อะไร พอผ่านไปสักระยะนึง ความเปลี่ยนแปลงของแฟนเราเริ่มชัดเจนมากขึ้น
เริ่มติดหน้าจอมากขึ้น เริ่มนอนดึก เราก็เริ่มใีความงี่เง่าว่าทำไมเทอถึงอยู่แต่กับหน้าจอ นั่งรอเราเวลามารับที่ทำงานก็นั่งก้มหน้าตลอด ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ไม่ยกมือไหว้เพราะมัวแต่ก้มหน้า เราก็โมโห แฟนเราเองก็โมโหแล้วมาเขย่าตัวเรากับเตียงซึ่งตอนนั้นเราหายใจไม่ออกไม่มีเเรงจะดิ้นจนเรานิ่งไปสักพักเค้าถึงหยุดทำ แล้วเราก็ร้องไห้เราไล่เค้าให้ไปให้ออกปจากที่ที่เราอยู่เราไม่เข้าใกล้แฟนเราเลย เรากลัวจนเค้าคิดได้ว่าต้องขอโทษเราเค้าถึงเข้ามากอดเรา เราไม่เคยโกรดเคยง่าอะไรเลยนะ แขนเราร่างกายเราฟกซ้ำดำเขียวไปไหมดไปทำงานก็ต้องหาเสื้อคลุมไว้ตลอดกว่าจะหาย เราแค่ต้องการแฟนที่รักเราซื่อสัตย์กับเรา ทำอาชีพอะไรก็ได้ที่สุจริต ไม่ต้องร่ำรวยขอแค่มีความอดทนขยันก็พอ อันนี้พ่อลอกมาว่าถ้าเลือกคบใครให้เลือกที่ความซื่อสัตย์ ขยัน อดทน ทำมาหากินสุจริต

หลังจากทะเลาะรุนแรงเราก็เริ่มปวดหัว เริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ตาพล่ามัว เราไปทำงานแทบไม่ไหวในแต่ละวัน ปวดหัวจนต้องเข้าฉุกเฉิน ต้องทำ ct ทำ MRI ฉีดสีดูที่สมองหลายรอบมากๆๆ ตัวเราต้องรับรังสีเยอะมาก แต่แฟนเราเค้าก็ยังอยู่กับเราอยู่ยังคอยดูแล  เวลาหมอนัดหมอตรวจก็จะไปเป็นเพื่อน
จนนานๆเข้าที่ต้องหาหมอทุกอาทิตย์แฟนเราเค้าก็เริ่มไม่พามา กลับบ้านบ้าง ไม่ว่างบ้าง เราก็ไปคนเดียว นึกถึงคนที่ปวดหัวตาพล่ามัวไปเดินใน รพ. ที่คนเยอะแยะมากมาย ปรากฎว่าเป็นลมตอนลงบันไดเลื่อน คือเราก็น้อยใจแฟนนะทั้งที่บอกไปแล้วว่าจะตรวจๆแต่แฟนเราบอกจะกลับบ้าน โอเคกลับบ้านก็กลับบ้าน พอตรวจเสร็จจะกลับที่พักพอจะลงรถก็พลาดตกรถอีก พอโทรไปบอกก็ว่าเราว่าทำไมไม่ดูดีๆ ถ้าเราไม่อยู่เทอจะอยู่ได้ไหม เราไม่ได้อยู่กับเทอตลอดเวลานะ พูดมาแบบนี้เราเข้าใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราเคยสัญญากันไว้ว่าถ้าแฟนเรากลับไปทำงานที่บ้านแฟนเราจะให้เราย้ายไปทำงานแถวบ้านเค้า
แต่พอถึงวันที่เค้าจะไปจริงๆเราบอกว่าเราพร้อมแล้วนะ รอยื่นใบลาออกเค้ากลับบอกว่าเทออยู่ที่นี่แหละ เวลามีถ่ายรูปจะได้ไม่ต้องลำบาก เราก็ถามไปว่าทำไมละ ทำไมถึงคิดแบบนี้ เราไม่ได้อยากห่างกันเราไม่ได้อยากอยู่ไกลกันแบบนี้เรากลัวว่าสักวันเทอจะไม่กลับมา แฟนเราก็พูดประโยคเดิมๆว่า

ถ้าเราไม่อยู่เทอก็ต้องอยู่ให้ได้  คำพูดแบบนี้คือจะเลิกหรืออะไร เราก็ไม่อยากทะเลาะก็เงียบๆนิ่งๆไป
พอถึงเวลาที่เค้าจะกลับบ้านจริงๆเค้าก็คุยปกติก่อนกลับบ้านก็บอกเราว่าไอ้ดื้อ ห้ามดื้อห้ามงอแงห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวห้ามคุยกับคนอื่นไม่งั้นโดน  เราก็โอเคกลับบ้านดีๆนะถึงแล้วโทรมาหาด้วย กลับบ้านได้วันสองวันก็เกิดทะเลาะ เราคอลไปโทรไปไม่รับบอกแต่ว่าทำงานช่วยคนนั้นคนนี้อยู่
เรายิ่งโมโหอารมย์งี่เง่าก็มา ก็ถามอีกว่ามีคนอื่นรึป่าวทำไมแปลกๆไป แฟนเรามันก็บอกว่าไม่มีไม่เคยคุยกับใคร อย่ามาหาเรื่อง เราก็ถามโทรทำไมไม่รับแค่รับโทรสับจะเป็นอะไร แฟนเราก็ตอบว่าก็ทำงานอยู่จะให้รับได้ยังไงเกรงใจลุงมาทำงานช่วยลุง อะว่าไปสาระพัดข้ออ้าง

จนวันนึงเราเล่นเฟสดันไปเจอโพสของเพื่อนสนิทมัน โพสรูปกล้องซึ่งกล้องเราเป็นคนไปรับมาให้เพื่อนมันเอง แล้วใต้คอมเม้นมีคนที่แฟนเราเคยคบมาเม้นแล้วเพื่อนสนิทมันตอบเม้นไปโดยส่งรูปแฟนเราไป เราก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงเปลี่ยนไป โดยที่ ผญ. คนนี้เคยตามระลานเราอยู่พักนึง แต่เราก็ไม่อะไร

จนสุดขีดของความโมโหจากหลายๆเรื่อง เราก็เริ่มหาเรื่องทะเลาะเริ่มใช้อารมย์เริ่มมีปัญหา แต่แฟนเรามันก็พยายามใจเย็น แต่ ณ ตอนนั้นเราไม่เย็นแล้ว
เราก็ด่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะความโมโหมาก ด่าจนหลับไปเอง ตื่นมาด่าต่อ โทรไม่รับยิ่งโมโห ทำกับเราแบบนี้ก็อยู่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไป
เราก็ไม่ติดต่อไปเลยทั้งวันทั้งงานก็ยุ่งสาระพัด พอกลับมาถึงที่พักตอนเย็นๆ เข้ามาในห้อง อ้าวกล้องหาย กล่องเลนส์หาย อุปกรณ์กล้องหายไปหมดเลย
รีบโทรหาเจ้าของหอให้มาเปิดกล้องวงจรปิดให้ดู ปรากฎว่าเจอตัวมาเอาของไปจริงๆ เราก็เลยขอไฟล์จากเจ้าของหอไว้

เราก็พยายามโทรติดต่อแต่โทรไม่ติด ปิดเฟส ปิดอินตาแกรม เปลี่ยนเบอร์ เรางงมาก ถ้าจะเลิกหรือมีคนใหม่รบกวนมาคุยมาเคลียให้จบๆไปเลยไม่ใช่หนีไปแบบนี้ เช้ามาเราก็ตามถึงบ้านแต่ไม่เจอใครเลยเจอแต่คนข้างๆบ้าน เราก็กลับขากลับเราว่าจะไปนอนบ้านเพื่อนที่สัตหีบแต่ดันไปไม่ถึงเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำก่อน เราหลับในจากความเหนื่อย ร้องไห้ตลอด จนไม่มีสติ รถชนเกาะกลางถนนแล้วพุ่งไปชนกับรถอีกฝั่งนึงแล้วก็พลิกคว่ำไป ระหว่างที่รถกำลังหมุนคิดแค่ว่า ขอให้พ่อแม่อโหสิกรรมให้ลูก ลูกทำผิด แล้วก็ปล่อยทุกอย่างริดอีกว่าเราตายแน่ๆไม่รอดแน่ๆ แล้วรถก็หยุด ส่วนตัวเราก็คิดว่าเราอ่ะตายแล้วแน่ๆเพราะเราไม่รู้สึกเจ็บร่างกายรู้สึกแค่ว่าหลับสบายจัง นี่คือความคิดตอนนั้น เราหมดสติไปแล้วพอมูลนิธิมาถึงก็มาเคาะมางัดเอาตัวเราออกจากรถ เราก็ยังไม่ได้สติไปได้สติที่ รพ. ประจำอำเภอ  ที่ รพ. อุปกรณ์ไม่เพียงพอต้องส่งตัวไปที่ รพ. ประจำจังหวัด พยาบาลก็ถามมีญาติแถวนี้ไหม เราก็ให้เบอร์โทรแฟนเราไป เค้ากลับไม่เชื่อว่าเราเกิดอุบัติเหตุหาว่าโกหก ถ้าไม่เชื่อทำไมไม่มาดูเราให้เห็นไปเลยว่าเรานอนอยู่สามวันสองคืนที่ รพ. ระยอง
แล้วเราก็มารักษาตัวต่อที่ รพ. ในกรุงเทพ นอนอยู่สี่วันพอออกจาก รพ. มาก็ไปเคลียเรื่องประกัน เรื่องคู่กรณี หมอให้หยุดพัก 1 เดือนเต็มๆ
ระหว่างหยุดพักประจำเดือนเราก็ขาดเราก็ยิ่งเครียด ก็ซื้อที่ตรวจมาตรวจ มันก็ขึ้นสองขีดจางๆ เช้าวันต่อมาก็ตรวจอีกมันก็ขึ้นจางๆ จนเราไม่แน่ใจไปหาหมอที่ รพ. เอกชนที่นึงเราก็ไปตรวจปกติ ผลออกมาหมอก็บอกว่าคุณมีการตั้งครรภ์นะคะ ยินดีด้วย เราถึงกับนิ่งไปสักพักจะร้องไห้ไม่ใช่เพราะดีใจอะไรเลย เพราะเสียใจที่มันเกิดเหตุการแบบนี้ขึ้น เราก็บอกพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของแฟนเราว่าเราท้องนะ แต่เราติดต่อแฟนเราไม่ได้เลยหายไปเลย พี่สาวก็รับปากจะบอกพ่อกับแม่แฟนเราให้ แต่คนที่เดือดร้อนคือน้าแฟนเราหาว่าเราจ้องจะจับหลานเค้า จงใจทำให้ท้อง อยากรู้นักว่าถ้าเราคนเดียวมันจะเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะถ้าไม่ใช่ความรักมันคงไม่เกิดขึ้น มาว่าเราเสียๆหายๆเราเสียความรู้สึกเสียใจ เราก็ให้ ผู้ใหญ่ทางเรามาคุยว่าจะเอายังไงให้เรียกแฟนเรามาคุยแต่แฟนเราหลับหนีหัวซุกหัวซุน หนีเหมือนหนีคดีฆ่าคนตาย คุยก็ไม่ได้ความอะไรเพราะเจ้าตัวหนีไปกลบดานอยู่กับเพื่อน ตัวเราเองก็ทนทำพูดของญาติๆทางแม่แฟนไม่ได้
ก็พากันกลับจรพี่สาวกับพ่อพี่สาวซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อแฟนเราบอกว่า จะไม่มาเหยยีบที่นี่อีก พึ่งรู้ก็วันนี้แหละ ว่าไม่มีจิตใจในความเป็นมนุษเลย ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลย พี่สาวแฟนเรากับลุงร้องไห้เราก็ร้องไห้ ญาติผู้ใหญ่ที่ไปกับเราก็ร้องไห้กันทุกคนเข้ามากอดเรา เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเราเป็นผู้ถูกกระทำ แต่กลับโดนด่าว่าสาระพัดจะโดน เราไม่ได้ไปเรียกร้องแก้วแหวนเงินทองสักบาท เราแค่อยากคุยอยากเคลียให้จบ ความรับผิดชอบของผู้ชายคนนึงที่ทำให้เราต้องมีสภาพกายใจที่แย่ เค้ากลับหนีไม่มาเผชิญหน้ากับปัญหาเลย เราก็ได้แต่ภาวะนาว่าสักวันเค้าจะคิดได้

**เค้ามาอยู่กับเราค่าใช้จ่ายทุกอย่างตั้งแต่ซื้อชุดทำงาน รองเท้าเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้กระเป๋า กินอยู่ในทุกๆมื้ออยู่ที่เราหมด เราก็คิดแค่ว่าช่วยๆกันไปแฟนเราพึ่งเริ่มต้นเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเอง พอเงินเดือนออกวันเเรกก็หมด หมดไปกับอะไรก็ไม่รู้งงมากก็ไม่ถามไม่พูดเดี๋ยวทะเลาะ เราตื่นตีสี่ทุกวันเพื่อมาเตรียมชุดเตรียมข้าวกล่องให้ไปทำงาน พอเค้าออกไปทำงานเราก็รีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงานระหว่างออกไปทำงานต้องหาซื้อกับข้าวไว้ทำข้าวกล่องตอนเช้าด้วย พอเลิกงานก็รีบไปหาซื้อกับข้าวที่จะกินตอนเย็น บางวันก็รอเค้ากลับมาแล้วค่อยออกไปกินกัน เราทำแบบนี้มาตลอดทุกๆวันไม่เคยบ่นเหนื่อยเลยเรารู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้ดูแลเค้า กลัวเค้าเหนื่อยกับงาน เราเองก็เหนื่อยทำงานหลายชั่วโมงกว่าเค้าด้วยซ้ำแต่ด้วยความเคยชินกับงานเลยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยมาก
ไม่ว่าเค้าจะไปถ่ายรูปที่ไหนเราก็ไปดูแลเค้า คอยซื้ออะไรไว้ให้กินเวลาพักเหนื่อย คอยช่วยเวลาถ่ายรูป ช่วยคิดท่าช่วยคิดมุม บลาๆ เรามีความสุขนะที่ได้อยู่กับเค้า เรารักเค้ามากเราสัญญากับตัวเองไว้ว่าเราจะขอรักเค้าเป็นคนสุดท้ายของชีวิต

แต่ไม่น่าเชื่อว่าเค้าจะทำได้ถึงขนาดนี้ที่ทิ้งเราให้เจอกับปัญหาแบบนี้ พ่อแม่ พี่ที่สนิทที่เล่าให้เค้าฟังเค้ายังมีคำถามจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้คิดอะไรอยู่ซึ่งเป็นคำถามเดียวกันเหมือนกับเราที่อยากรู้ ว่าคิดอะไรอยู่ ทำแบบนี้ทำไม
เราขาดสติมีแต่อยากไปให้พ้นความรู้สึกแบบนี้ จนเราพยุงร่างตัวเองกลับไปหาพ่อแม่ การได้กอดพ่อแม่มันทำให้เรามีแรงมีกำลังใจเพิ่มขึ้น กลับมาสู้กับปัญหาต่อ เราเยียวยาตัวเองด้วยการเที่ยวป่า ออกทริป ไปไฟว้พระ ทำบุญสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก่อนนอนสวดมนต์นั่งสามาธิทุกๆวัน จากที่นอนไม่หลับตลอดเวลา ต้องกินยา แต่ยาไม่ได้ช่วยอะไรกินจนดื้อยา แต่ตอนนี้ธรรมชาตบำบัด มิตรภาพใหม่ๆที่ออกไปเที่ยวก็ช่วยให้เรามีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น รักตัวเองเพิ่มขึ้น รักพ่อรักแม่รักคนที่รักเราดีกว่าอย่าไปเสียเวลากัคนที่ไม่เห็นค่าเรา กรรมใครกรรมมัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่