ประเทศจอร์แดน หรือ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน หากย้อนไปไป สัก 30ปี หนังเรื่อง Indiana Jone ย้อนไป20ปี หนังเรื่อง Lawrence of Arabia ย้อนไป 10ปี Transformer หรือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนังเรื่อง The Martial หนังดังๆเหล่านี้ เลือกสถานที่ถ่ายทำในประเทศจอร์แดน ทั้งนั้นเลยครับ แล้วทำไม หนังดังเหล่านี้จึงเลือกประเทศจอร์แดน วันนี้เราลองมาดูกันว่า ประเทศจอร์แดนจะมีสถานที่ท่องเที่ยวใดมาดึงดูดให้เราไปเที่ยวกันบ้าง Special Thank สายการบิน Royal Jordanian และ การท่องเที่ยวประเทศจอร์แดน ที่พาผมไปสำรวจ จอร์แดนในทริปสั้นๆ 5วัน4คืน ได้ไปตามรอยโมเสส ชมป้อมปราการเครักสมัยสงครามครูเสด ไปบุกเมืองโบราณสีชมพู มหานครเพตรา ขี่อูฐลุยทะเลทรายวาดิรัม ก่อนจะไปแช่น้ำลอยตัวที่ ทะเลสาบเดดซี
โดยทริปของเราเป็นแบบนี้ครับ
Day1 BKK- Amman
Day2 Amman – Mt. Nebo – karak – Petra
Day3 Petra – Petra by night
Day4 Petra – Wadi Rum – Dead sea
Day5 Dead sea-Amman-Amman Citadels
Day6 Amman – BKK
เดินทางตามนี้ก็ได้เที่ยวที่หลักๆ ในจอร์แดนแล้วครับ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เรานั่งรถบัส ที่ทาง การท่องเที่ยวจอร์แดนจัดให้ครับ
ก่อนเดินทาง เรามารู้จักประเทศนี้กันก่อน
***จอร์แดน (Jordan)***
(ภาพจาก Wiki)
เป็นประเทศแถบตะวันออกกลางที่น่าไปเที่ยวมากประเทศหนึ่ง ด้วยภูมิประเทศแถบทะเลทรายที่แปลกตา และแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นทั้ง “เพตรา” (Petra) 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) และเมืองโบราณอีกมากมาย อีกทั้งยังเป็นประเทศก็สงบและเต็มไปด้วยสันติภาพ ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ทำให้มีคนสนใจไปเที่ยวจอร์แดนกันมากขึ้นเรื่อยๆ
(ภาพจาก google)
สภาพอากาศ เป็นแบบ แห้งแล้งแบบทะเลทราย แต่ อากาศไม่ได้ ร้อนอย่างที่คิดแถมยังออกจะอากาศหนาว เย็น ด้วยซ้ำ เพราะ ตั้งอยู่สูงจากเส้นศุนย์สูตร พอสมควร เรียกว่า น้องๆ เกือบถึงยุโรปเลยครับ ช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดคือ Oct – Mar ครับ เพราะ จะมีอากาศเย็น หากเป็น ช่วงสิ้นปี อาจจะเจอหิมะตกบนยอดเขาด้วย
Day1 BKK- Amman
เริ่มเดินทาง วันแรก ด้วยสายการบินแห่งชาติของประเทศจอร์แดน หรือ RJ ที่มีบิน จาก กทม ไป กรุงอัมมาน เมืองหลวง ของประเทศจอร์แดนทุกวัน โดยไฟล์ท จะออกดึกๆ ใช้เวลาบิน 8-9 ชั่วโมง จาก กทม ถึง Queen Alia International Airport กรุงอัมมาน เช้าตรู่พอดี สามารถหลับไปตลอดระยะเวลาการบิน แล้ว ตื่นมาเที่ยวได้เลย วันแรก ที่สนามบินในกรุงอัมมาน ก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก
มาถึง ก็ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง โดยคนไทย สามารถเข้าเมืองโดยการ ขอวีซา แบบ on arrival ที่สนามบิน ได้เลย โดยเสียค่าทำเนียมในการขอวีซ่า
ปัจจุบัน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (The Hashemite Kingdom of Jordan) อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทย (Thai Citizen) และอีกหลากหลายประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยว สามารถขอวีซ่าแบบ Visa On Arrival (VOA) ที่สนามบิน Queen Alia International Airport ณ กรุงอัมมาน (Amman) และ สนามบินนานาชาติ King Hussein International Airport ณ กรุง Aqaba ได้แล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าล่วงหน้าจากประเทศของตนแต่ประการใด
เอกสารสำคัญที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศจอร์แดน (กรณีท่องเที่ยว) (Visa On Arrival)
1. หนังสือเดินทาง (Passport) เล่มจริง ที่มีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน นับรวมวันเดินทางกลับถึงยังประเทศไทย และมีหน้าที่ว่างมากกว่า 2 หน้า
2. เงินประเทศจอร์แดน เป็นค่าธรรมเนียม
อัตราค่าธรรมเนียม Visa on Arrival เข้าประเทศจอร์แดน
วีซ่าเข้า-ออกครั้งเดียว (อายุ 1 เดือน): 40 JOD (Jordan Dinar) (ประมาณ 56 USD)
วีซ่าเข้า-ออก สองครั้ง (อายุ 3 เดือน): 60 JOD (Jordan Dinar) (ประมาณ 85 USD)
วีซ่าเข้า-ออก หลายครั้ง (อายุ 6 เดือน): 120 JOD (Jordan Dinar) (ประมาณ 170 USD)
*ค่าธรรมเนียมวีซ่าต้องชำระด้วย เงินสดเท่านั้น
*อัตราค่าธรรมเนียมสถานฑูตฯ อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่อาจแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ในกรณีที่เดินทางเป็นหมู่คณะ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมทำวีซ่า
ยื่นเป็นหมู่คณะตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
**อายุต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี และต้องอยู่ใน Jordan อย่างน้อย 72 ชั่วโมง (3 วัน) **
***สำหรับคนไทย สามารถเข้าผ่านทางสนามบิน Queen Alia International Airport ณ กรุงอัมมาน (Amman) และ สนามบินนานาชาติ King Hussein International Airport ณ กรุง Aqaba เท่านั้น ***
ข้อมุลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.orientavista.com/index.php/visa-th/231-jordan-tourist-visa
Day2 Amman – Mt. Nebo – karak – Petra
เมื่อผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย ก็ออกมาขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ เพื่อไป แวะ ล้างหน้า อาบน้ำ และทานอาหารเช้ากันก่อนครับก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายแรกของวันนี้ วิวระหว่างทาง แค่ท้องฟ้า ก็ทำเอาคนที่ถ่ายภาพแบบผม แทบจะละลายแล้วครับ
เมาท์ เนโบ Mt. Nebo
Mount Nebo
GPS: 31.766741, 35.725007
Fee: 2 JOD
ตั้งอยู่ที่บนเขาซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและฝังศพของ โมเสสผู้นำชาวยิวส์เดินทางจากประเทศอิยิปต์มายังเยรูซาเล็ม โบสถ์แห่งเมาท์เนโบนี้ได้ถูกสันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ.300 -400 ในช่วงยุคไบแซนไทน์เพื่อเป็นที่ระลึกถึง โมเสสภายในโบสถ์ประกอบไปด้วยภาพโมเสกสีบนพื้นโบสถ์อันล้ำค่ำ แสดงถึงภาพชีวิตสัมพันธ์ระหว่างคน, สัตว์ และธรรมชาติ, รูปคน ฯลฯและยังมีแท่นพิธี ม้านั่ง ตามรูปแบบของศาสนาคริสต์ไว้ประกอบพิธีต่าง ๆและอนุญาตให้ใช้ในปัจจุบัน, รูปภาพและรายละเอียดต่างๆที่แสดงถึงการบูรณะโบสถ์, บ่อศีลจุ่ม ฯลฯ ในปี ค.ศ. 2000 โป๊ป จอห์น ปอลที่ 2เสด็จมาแสวงบุญที่นี่และได้ประกาศให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธ์แห่งโมเสส ออกแบบเป็นลักษณะเป็นไม้เท้าในลักษณะรูปแบบไม้กางเขน โดยอุทิศเป็น สัญลักษณ์ของโมเสส และพระเยซู
บริเวณนี้ คือ สถานที่ที่ ว่ากันว่าเป็นหลุมฝังศพของ โมเสส ครับ แต่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้แบบเจาะจง ว่าตรงใหน คนประเทศ ศาสนาพุทธแบบเรา อาจจะไม่อิน สถานที่นี้ เท่าไหร่ แต่ เชื่อเถอะว่า คนอิสลาม เขาอิน กับตรงนี้ ค่อนข้างมาก ทีเดียว
ที่ เม้าท์นีโบ จะมีจุดชมวิว ซึ่งจุดนี้ สามารถมองเห็นประเท อิสราเอล ได้ด้วยนะครับ ทำให้ รับรู้ได้ ว่า จอร์แดนนี่ ใกล้ อสลาเอล มากๆ
ที่เห็นนั่นคือ ทะเลสาปเดดซี ครับ ซึ่งเราจะไปเยือนกันวันสุดท้ายๆ
จาก Mt.Nebo เราเดินทางไป ทานอาหารเที่ยงกันครับ สำหรับอาหารที่ จอร์แดนนั้นส่วนใหญ่อาหารที่นี่ จะเน้นพวกปิ้งย่าง และ เนื่องด้วยเป็นประเทศอิสลาม จึงไม่มีเนื้อหมู อย่าหลงไปถามหาล่ะ เดี๋ยวเค้าจะเชิญออกจากร้านแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นเนื้อสัตว์ ที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไป ก็เป็นเนื้อไก่ วัว และแกะ โดยทานกับพวกแป้งต่างๆ และมีเครื่องเคียงเป็น ผักดอง มะกอกดอง และ พวกโยเกิร์ต (ที่เป็นอาหารคาว) ที่ทำจากถั่วรสชาติต่างๆ
เราใช้เวลาไม่นานครับ เพราะ วันนี้ เรายังต้องเดินทางกันอีกยาวไกล ไปยัง จุดหมายที่ 2 นั่นคือ
เมืองเครัค karak
ตั้งอยู่บนที่ราบสูงขนาดใหญ่มีทิวทัศน์อันงดงามของหุบเขาทั้งสองข้างทางจนได้ฉายาเป็น“แกรนด์แคนยอนแห่งจอร์แดน” ชม ปราสาทเครัคแห่งครูเสด (KERAK) สร้างในปี ค.ศ. 1142 โดย ผู้ปกครองเมือง PAYEN LE BOUTIELLER ในอดีตเป็นเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่ของนักรบครูเสด และสร้างเพื่อควบคุมเส้นทางทั้งทางเหนือและใต้ของดินแดนแถบนี้ และใช้ในการต่อสู้ในสงครามครูเสดกับกองทัพมุสลิมจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 ได้ถูกเข้าทำลายโดยนักรบมุสลิมภายใต้การนำทัพของ ซาลาดิน (SALADIN)
ปราสาท เครัก ถูกทำลาย โดยสงคราม จนแทบไม่เหลือ รูปร่างเป็นปราสาทให้เห็น เหลือแต่ ซากหิน อิฐ และ อุโมงค์ ที่ เหล่านักรบ อิสลาม ใช้ หลบซ่อน หรือ พักผ่อน แต่ถ้าใคร ดูหนังเรื่อง Kingdom of Heaven น่าจะนึกออก เพราะ จุดนี้ คือ ที่ตั้งของเมืองนั้นนั่นเอง เป้น ศูนย์กลาง การเดินทาง จาก ยุโรป ไป ตะวันออกกลาง จึงเกิดการแย่งชิงเส้นทางกันขึ้น
โดยอุโมงค์ ดังกล่าว เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ ว่า คนสมัยนั้น อาศัยอยู่ใน อุโมงค์ได้ยังไง มีการ ออกแบบ ช่องระบายอากาศ เพื่อ ให้ลมถ่ายเทได้สะดวกแบบใหน ครับ เป็นทางเดินระยะทางสั้นๆ แต่บางส่วน จะมืดมาก ต้อง อาศัยไฟฉายช่วยในการเดิน
เผื่อใครอยากติดตามต่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้และถ้าหากใคร สนใจติดตามการเดินทาง ไปยังที่ต่างๆ ของผม
สามารถตามไปได้ ที่ เพจ แบกเป้เท่ทั่วโลก
https://www.facebook.com/TummengTravel
IG : tummengtravel
[SR] Jordan เมืองแห่งเทพนิยาย ทะเลทราย และ เพตรา จอร์แดน
ประเทศจอร์แดน หรือ ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน หากย้อนไปไป สัก 30ปี หนังเรื่อง Indiana Jone ย้อนไป20ปี หนังเรื่อง Lawrence of Arabia ย้อนไป 10ปี Transformer หรือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนังเรื่อง The Martial หนังดังๆเหล่านี้ เลือกสถานที่ถ่ายทำในประเทศจอร์แดน ทั้งนั้นเลยครับ แล้วทำไม หนังดังเหล่านี้จึงเลือกประเทศจอร์แดน วันนี้เราลองมาดูกันว่า ประเทศจอร์แดนจะมีสถานที่ท่องเที่ยวใดมาดึงดูดให้เราไปเที่ยวกันบ้าง Special Thank สายการบิน Royal Jordanian และ การท่องเที่ยวประเทศจอร์แดน ที่พาผมไปสำรวจ จอร์แดนในทริปสั้นๆ 5วัน4คืน ได้ไปตามรอยโมเสส ชมป้อมปราการเครักสมัยสงครามครูเสด ไปบุกเมืองโบราณสีชมพู มหานครเพตรา ขี่อูฐลุยทะเลทรายวาดิรัม ก่อนจะไปแช่น้ำลอยตัวที่ ทะเลสาบเดดซี
โดยทริปของเราเป็นแบบนี้ครับ
Day1 BKK- Amman
Day2 Amman – Mt. Nebo – karak – Petra
Day3 Petra – Petra by night
Day4 Petra – Wadi Rum – Dead sea
Day5 Dead sea-Amman-Amman Citadels
Day6 Amman – BKK
เดินทางตามนี้ก็ได้เที่ยวที่หลักๆ ในจอร์แดนแล้วครับ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เรานั่งรถบัส ที่ทาง การท่องเที่ยวจอร์แดนจัดให้ครับ
ก่อนเดินทาง เรามารู้จักประเทศนี้กันก่อน
***จอร์แดน (Jordan)***
(ภาพจาก Wiki)
เป็นประเทศแถบตะวันออกกลางที่น่าไปเที่ยวมากประเทศหนึ่ง ด้วยภูมิประเทศแถบทะเลทรายที่แปลกตา และแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นทั้ง “เพตรา” (Petra) 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) และเมืองโบราณอีกมากมาย อีกทั้งยังเป็นประเทศก็สงบและเต็มไปด้วยสันติภาพ ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ทำให้มีคนสนใจไปเที่ยวจอร์แดนกันมากขึ้นเรื่อยๆ
(ภาพจาก google)
สภาพอากาศ เป็นแบบ แห้งแล้งแบบทะเลทราย แต่ อากาศไม่ได้ ร้อนอย่างที่คิดแถมยังออกจะอากาศหนาว เย็น ด้วยซ้ำ เพราะ ตั้งอยู่สูงจากเส้นศุนย์สูตร พอสมควร เรียกว่า น้องๆ เกือบถึงยุโรปเลยครับ ช่วงที่น่าเที่ยวที่สุดคือ Oct – Mar ครับ เพราะ จะมีอากาศเย็น หากเป็น ช่วงสิ้นปี อาจจะเจอหิมะตกบนยอดเขาด้วย
Day1 BKK- Amman
เริ่มเดินทาง วันแรก ด้วยสายการบินแห่งชาติของประเทศจอร์แดน หรือ RJ ที่มีบิน จาก กทม ไป กรุงอัมมาน เมืองหลวง ของประเทศจอร์แดนทุกวัน โดยไฟล์ท จะออกดึกๆ ใช้เวลาบิน 8-9 ชั่วโมง จาก กทม ถึง Queen Alia International Airport กรุงอัมมาน เช้าตรู่พอดี สามารถหลับไปตลอดระยะเวลาการบิน แล้ว ตื่นมาเที่ยวได้เลย วันแรก ที่สนามบินในกรุงอัมมาน ก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก
มาถึง ก็ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง โดยคนไทย สามารถเข้าเมืองโดยการ ขอวีซา แบบ on arrival ที่สนามบิน ได้เลย โดยเสียค่าทำเนียมในการขอวีซ่า
ปัจจุบัน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (The Hashemite Kingdom of Jordan) อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทย (Thai Citizen) และอีกหลากหลายประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการท่องเที่ยว สามารถขอวีซ่าแบบ Visa On Arrival (VOA) ที่สนามบิน Queen Alia International Airport ณ กรุงอัมมาน (Amman) และ สนามบินนานาชาติ King Hussein International Airport ณ กรุง Aqaba ได้แล้ว โดยที่ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าล่วงหน้าจากประเทศของตนแต่ประการใด
เอกสารสำคัญที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศจอร์แดน (กรณีท่องเที่ยว) (Visa On Arrival)
1. หนังสือเดินทาง (Passport) เล่มจริง ที่มีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน นับรวมวันเดินทางกลับถึงยังประเทศไทย และมีหน้าที่ว่างมากกว่า 2 หน้า
2. เงินประเทศจอร์แดน เป็นค่าธรรมเนียม
อัตราค่าธรรมเนียม Visa on Arrival เข้าประเทศจอร์แดน
วีซ่าเข้า-ออกครั้งเดียว (อายุ 1 เดือน): 40 JOD (Jordan Dinar) (ประมาณ 56 USD)
วีซ่าเข้า-ออก สองครั้ง (อายุ 3 เดือน): 60 JOD (Jordan Dinar) (ประมาณ 85 USD)
วีซ่าเข้า-ออก หลายครั้ง (อายุ 6 เดือน): 120 JOD (Jordan Dinar) (ประมาณ 170 USD)
*ค่าธรรมเนียมวีซ่าต้องชำระด้วย เงินสดเท่านั้น
*อัตราค่าธรรมเนียมสถานฑูตฯ อาจเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่อาจแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ในกรณีที่เดินทางเป็นหมู่คณะ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมทำวีซ่า
ยื่นเป็นหมู่คณะตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
**อายุต้องไม่ต่ำกว่า 18 ปี และต้องอยู่ใน Jordan อย่างน้อย 72 ชั่วโมง (3 วัน) **
***สำหรับคนไทย สามารถเข้าผ่านทางสนามบิน Queen Alia International Airport ณ กรุงอัมมาน (Amman) และ สนามบินนานาชาติ King Hussein International Airport ณ กรุง Aqaba เท่านั้น ***
ข้อมุลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.orientavista.com/index.php/visa-th/231-jordan-tourist-visa
Day2 Amman – Mt. Nebo – karak – Petra
เมื่อผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย ก็ออกมาขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ เพื่อไป แวะ ล้างหน้า อาบน้ำ และทานอาหารเช้ากันก่อนครับก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายแรกของวันนี้ วิวระหว่างทาง แค่ท้องฟ้า ก็ทำเอาคนที่ถ่ายภาพแบบผม แทบจะละลายแล้วครับ
เมาท์ เนโบ Mt. Nebo
Mount Nebo
GPS: 31.766741, 35.725007
Fee: 2 JOD
ตั้งอยู่ที่บนเขาซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะเป็นบริเวณที่เสียชีวิตและฝังศพของ โมเสสผู้นำชาวยิวส์เดินทางจากประเทศอิยิปต์มายังเยรูซาเล็ม โบสถ์แห่งเมาท์เนโบนี้ได้ถูกสันนิษฐานว่าได้สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ.300 -400 ในช่วงยุคไบแซนไทน์เพื่อเป็นที่ระลึกถึง โมเสสภายในโบสถ์ประกอบไปด้วยภาพโมเสกสีบนพื้นโบสถ์อันล้ำค่ำ แสดงถึงภาพชีวิตสัมพันธ์ระหว่างคน, สัตว์ และธรรมชาติ, รูปคน ฯลฯและยังมีแท่นพิธี ม้านั่ง ตามรูปแบบของศาสนาคริสต์ไว้ประกอบพิธีต่าง ๆและอนุญาตให้ใช้ในปัจจุบัน, รูปภาพและรายละเอียดต่างๆที่แสดงถึงการบูรณะโบสถ์, บ่อศีลจุ่ม ฯลฯ ในปี ค.ศ. 2000 โป๊ป จอห์น ปอลที่ 2เสด็จมาแสวงบุญที่นี่และได้ประกาศให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อนุสรณ์ไม้เท้าศักดิ์สิทธ์แห่งโมเสส ออกแบบเป็นลักษณะเป็นไม้เท้าในลักษณะรูปแบบไม้กางเขน โดยอุทิศเป็น สัญลักษณ์ของโมเสส และพระเยซู
บริเวณนี้ คือ สถานที่ที่ ว่ากันว่าเป็นหลุมฝังศพของ โมเสส ครับ แต่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้แบบเจาะจง ว่าตรงใหน คนประเทศ ศาสนาพุทธแบบเรา อาจจะไม่อิน สถานที่นี้ เท่าไหร่ แต่ เชื่อเถอะว่า คนอิสลาม เขาอิน กับตรงนี้ ค่อนข้างมาก ทีเดียว
ที่ เม้าท์นีโบ จะมีจุดชมวิว ซึ่งจุดนี้ สามารถมองเห็นประเท อิสราเอล ได้ด้วยนะครับ ทำให้ รับรู้ได้ ว่า จอร์แดนนี่ ใกล้ อสลาเอล มากๆ
ที่เห็นนั่นคือ ทะเลสาปเดดซี ครับ ซึ่งเราจะไปเยือนกันวันสุดท้ายๆ
จาก Mt.Nebo เราเดินทางไป ทานอาหารเที่ยงกันครับ สำหรับอาหารที่ จอร์แดนนั้นส่วนใหญ่อาหารที่นี่ จะเน้นพวกปิ้งย่าง และ เนื่องด้วยเป็นประเทศอิสลาม จึงไม่มีเนื้อหมู อย่าหลงไปถามหาล่ะ เดี๋ยวเค้าจะเชิญออกจากร้านแบบไม่รู้ตัว ดังนั้นเนื้อสัตว์ ที่เห็นอยู่ทั่วๆ ไป ก็เป็นเนื้อไก่ วัว และแกะ โดยทานกับพวกแป้งต่างๆ และมีเครื่องเคียงเป็น ผักดอง มะกอกดอง และ พวกโยเกิร์ต (ที่เป็นอาหารคาว) ที่ทำจากถั่วรสชาติต่างๆ
เราใช้เวลาไม่นานครับ เพราะ วันนี้ เรายังต้องเดินทางกันอีกยาวไกล ไปยัง จุดหมายที่ 2 นั่นคือ
เมืองเครัค karak
ตั้งอยู่บนที่ราบสูงขนาดใหญ่มีทิวทัศน์อันงดงามของหุบเขาทั้งสองข้างทางจนได้ฉายาเป็น“แกรนด์แคนยอนแห่งจอร์แดน” ชม ปราสาทเครัคแห่งครูเสด (KERAK) สร้างในปี ค.ศ. 1142 โดย ผู้ปกครองเมือง PAYEN LE BOUTIELLER ในอดีตเป็นเมืองศูนย์กลางขนาดใหญ่ของนักรบครูเสด และสร้างเพื่อควบคุมเส้นทางทั้งทางเหนือและใต้ของดินแดนแถบนี้ และใช้ในการต่อสู้ในสงครามครูเสดกับกองทัพมุสลิมจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1187 ได้ถูกเข้าทำลายโดยนักรบมุสลิมภายใต้การนำทัพของ ซาลาดิน (SALADIN)
ปราสาท เครัก ถูกทำลาย โดยสงคราม จนแทบไม่เหลือ รูปร่างเป็นปราสาทให้เห็น เหลือแต่ ซากหิน อิฐ และ อุโมงค์ ที่ เหล่านักรบ อิสลาม ใช้ หลบซ่อน หรือ พักผ่อน แต่ถ้าใคร ดูหนังเรื่อง Kingdom of Heaven น่าจะนึกออก เพราะ จุดนี้ คือ ที่ตั้งของเมืองนั้นนั่นเอง เป้น ศูนย์กลาง การเดินทาง จาก ยุโรป ไป ตะวันออกกลาง จึงเกิดการแย่งชิงเส้นทางกันขึ้น
โดยอุโมงค์ ดังกล่าว เราสามารถเดินเข้าไปชมได้ ว่า คนสมัยนั้น อาศัยอยู่ใน อุโมงค์ได้ยังไง มีการ ออกแบบ ช่องระบายอากาศ เพื่อ ให้ลมถ่ายเทได้สะดวกแบบใหน ครับ เป็นทางเดินระยะทางสั้นๆ แต่บางส่วน จะมืดมาก ต้อง อาศัยไฟฉายช่วยในการเดิน
เผื่อใครอยากติดตามต่อ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้