4 แป้งพัฟไทยเน้นปกปิด สำหรับสาวออฟฟิศ..ชีวิตเดินทางไปทำงานโหดๆ

ฮะโหลวววว..ไหนสาวออฟฟิศเหมือนกัน ขอเสียงหน่อยยยยจิ๊! ขอหาพวกก่อนนิดนึงง ><

ไม่รู้สาวๆออฟฟิศคนอื่นเป็นเหมือนเราไหม แต่หลายคนรอบๆตัวเราชอบมองว่าอาชีพอย่างเราๆน่าอิจฉาเกี่ยวกะเรื่องสวยๆงามๆ เพราะสาวออฟฟิศส่วนใหญ่จะไม่ถูกฟิคเรื่องแต่งตัวมาก ได้ทำเล็บ ได้แต่งหน้าสวยๆอยู่ในห้องแอร์มากกว่าอาชีพอื่นๆ แต่ใครเล่าจะรู้คะ! ว่าเราก็มีอุปสรรคไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆเลย ไหนต้องเครียดเรื่องงานไม่แพ้คนอื่น หรือต้องจ้องหน้าคอมทั้งวันจนหน้ามันเยิ้ม หรือต้องเจอฝุ่น ควัน มลภาวะอะไรต่างๆจากการเดินทางในเมืองหลวงอีก

พูดถึงเรื่องการเดินทางเราเป็นคนนึงที่เดินทางไปทำงานโหดมากแต่ละวัน ทั้งขึ้นรถลงเรือต่อเมล์ กว่าจะถึงเรียกว่าหอบแฮ่กกันไปข้าง ดังนั้นเราเลยต้องการเครื่องสำอางที่ติดทน ปกปิดดี จึงกลายเป็นที่มาของการรีวิวแป้งพัฟงานแน่น งานปกปิด ติดทนในวันนี้เลยค่ะ


การพิสูจน์ความติดทนในรีวิวนี้ จะพิสูจน์ด้วยการเดินทางไปทำงานของเราเลยค่ะ ขอขยายความเรื่องการเดินทางของเรานิดนึง เชื่อว่าต้องมีเพื่อนๆหลายคนอาจจะหนักกว่าเราหรือไม่แพ้เราแน่

การเดินทางในเมืองหลวงของเรา เราต้องออกจากบ้านแต่เช้าประมาณ 7 โมง เพื่อใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงแต่ละวันในการไปทำงาน ต่อแรกเราต้องนั่งวินมอเตอร์ไซต์ออกจากซอยบ้าน แล้วมาต่อเรือที่สะพานหัวช้าง นั่งผึ่งลม ชมน้ำและหมู่ปลาไปเรื่อยๆ แล้วตามด้วยรถเมล์ที่ผ่านออฟฟิศ แถมด้วยเดินต่ออีกนิดนึง - -” เพื่อนๆอาจจะอยากบอกเราว่า ย้ายไปอยู่ใกล้ๆที่ทำงานเถอะ แต่เรามีปัจจัยที่ยังย้ายไม่ได้ค่ะ แต่ไม่ขอเอ่ยถึงในนี้เนอะ เอาเป็นว่าเราจะใช้การเดินทางของเราให้เป็นประโยชน์ในการพิสูจน์แป้งพัฟติดทนในวันนี้ค่ะ ! หุหุ

ก่อนจะไปชมการทดสอบ มาชมหน้าสดไร้เมคอัพของเราก่อน 555

เราเป็นสาวผิวสองสีค่ะ และจะเห็นว่าปัญหาของเราคือพวกรอยสิวเก่าๆ เพราะเมื่อก่อนเราก็ใช้เครื่องสำอางทั่วไปก็ไม่ได้เน้นติดทนอะไร อาศัยเติมหน้าเอา วันนึงเติมประมาณ 3ครั้ง/วันได้ เพราะเจอเหงื่อเดี๋ยวหลุด เจอลมเดี๋ยวพังตลอด สุดท้ายปรากฏว่าสิวนี่ขึ้นอื้อซ่าเลยจ้าา ต้องพักหน้าไปพอหายก็ทิ้งรอยเอาไว้ให้ช้ำใจแบบนี้ TT

หลังๆมาเราเลยต้องมาใส่ใจพวกรองพื้น แป้งพัฟกว่าแต่ก่อน เพราะต้องปิดพวกรอยสิว รอยดำเก่าๆเลยเลือกเครื่องสำอางค์ที่เน้นไปทางปกปิดและติดทนเพราะไม่ค่อยอยากเติมหน้าบ่อยๆอีกแล้ว อย่างแป้งพัฟ หน้าเราก็ต้องเลือกแป้งดินน้ำมันหรือแป้งซิลิโคนอะไรแบบนี้ถึงจะเอาอยู่ จนมาดูอีกที ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนตอนนี้ เรามีแป้งแบบนี้ถึง 4 ตลับ ใช้สลับๆกันไปแล้วแต่โอกาสช่วงนี้ว่างๆเลยอยากมาบอกต่อว่าแต่ละตัวเป็นยังไงบ้าง

โดยเวลาเราซื้อแป้งพัฟดินน้ำมันหรือแป้งซิลิโคน ส่วนใหญ่เราจะเลือกของแบรนด์ไทยเป็นหลักค่ะ เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าแบรนด์ไทยใส่ใจเรื่องสภาพอากาศของเมืองไทยเป็นหลักดี แต่ละตัวออกมาค่อนข้างตอบโจทย์อากาศบ้านเรา ซึ่งแป้ง4ตลับที่จะมารีวิวในวันนี้คือ…... แท่นแท๊นนนนนน


1.แป้ง Babalah UV 2 WAY SPF20 PA++
2.แป้งเจ้านาง
3.แป้ง Ver.88 Bounce Up Pact  
4.แป้ง Sola Bounce Shiny Pact SPF 50 PA+++

รีวิวครั้งนี้เป็นรีวิวที่ทุ่มทุนสร้างมากนะสำหรับตัวเรา เพราะเราต้องถ่ายรูปเก็บข้อมูลตัวเองถึง 4 วัน!!! ต้องตื่นเช้าขึ้นมาอีกเพื่อมาเก็บภาพทำรีวิว (กับงานวิจัยสมัยเรียนทุ่มเทขนาดนี้ไหมลูกกกก) ยอมเหนื่อยถ่ายหน้าตัวเองเช้า-เย็นทั้ง 4 วันเลยจ้าาเพื่อรีวิวนี้เลย  โดยแต่ละวันที่เก็บรูปนั้นเราไม่ได้เติมหน้าระหว่างวันเลย แค่ซับบ้างนิดหน่อย มาดูกันค่ะว่าแป้งแต่ละตัวในแต่ละวันจะเป็นยังไงกันบ้าง

(**ในการทดสอบนี้จะทาแป้งเดี่ยวๆไม่ทารองพื้น หรือคอนซิลเลอร์เพิ่มเลยค่ะ**)

1.Babalah UV 2 WAY SPF20 PA++ เบอร์ 02

เริ่มกันที่ Babalah UV 2 WAY SPF20 PA++ ก่อนค่ะเพราะตัวนี้เป็นแป้งตัวแรกที่เราเริ่มถ่ายรูปเก็บข้อมูล


เทสต์ครึ่งหน้า ปกปิดได้ดี  จะติดแค่บริเวณที่แห้งอย่างร่องจมูก

ตามรอยสิวแป้งจะเกาะเป็นคราบหน่อยๆ

(เวลาที่ลงไว้จะเป็นเวลาคร่าวๆที่เราออกจากบ้านและกลับถึงบ้านนะ)
แท๊นนนน ลุคไปทำงานของเราค่ะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยต่างกันมาก เปลี่ยนสีลิปบ้างแล้วแต่โอกาส แต่งตาแน่นบ้างถ้าจะไปไหนต่อ

สำหรับแป้งแม่มดตัวนี้ เราซื้อเพราะเห็นว่าเป็นแป้งเนื้อเนียนเหมาะกับผิวคนไทย เลยลองใช้ดูค่ะ ตัวนี้เป็นเบอร์ 02 ค่ะ หลังทาทันทีจะรู้สึกเหมือนว่ามันดูลอยๆ ขาวกว่าผิวไปนิดหน่อย แต่ทิ้งไว้สักพักสีแป้งจะค่อยๆปรับตามสีผิวเรา ไม่ลอยเท่าตอนแรก อย่างวันนั้นที่แต่งเป็นลุคแต่งหน้าเวลาไปทำงานปกติเลย ก็จะประมาณนี้  ไปดูผลเมื่อผ่านไป 1 วัน ไม่มีการเติมหน้าใดๆระหว่างวัน ซับมันช่วงบ่ายครั้งนึง ละผลที่ได้..!!!!


ยังถือว่าเอาอยู่ค่ะ ปกปิดอยู่นานได้ทั้งวัน ระหว่างวันไม่ได้เยิ้มมาก เนื้อเนียนดีค่ะ เป็นอักตัวนึงที่เราชอบ

2. แป้งเจ้านาง เบอร์ 03

ตัวต่อมาที่เราใช้คือ แป้งเจ้านาง คนดังในห้องจีบันนั่นเองค่าา ตอนแรกยอมรับว่าซื้อตามรีวิว(ตอนซื้อได้ราคาที่ลดอยู่ด้วย) แต่พอใช้ๆไปตัวนี้เป็นตัวที่เราใช้บ่อยสุดเลยเพราะเป็นแป้งที่มีสีที่เข้ากับผิวเราที่สุดแล้วในที่เลือกมานี้


แป้งเนื้อเนียนมากค่ะ สีกลืนกับผิว ปกปิดดี ถ้าจุดไหนรอยดำมากก็ใช้พัฟแตะน้ำแล้วกดเอา
จะช่วยเรื่องการปดปิดขึ้นมาอีก


แป้งตัวนี้เราจะเลือกใช้ในวันที่จะไปไหนหลังเลิกงานต่อค่ะ เพราะมันติดทนจริง ทาแล้วเนียน กลางวันก็กลืนกับผิว กลางคืนก็ดูหน้าผ่อง อย่างวันที่ลองทานี้เราใช้พัฟชุบแล้วค่อยแตะแป้งมาแท็บๆลงบนผิวที่มีปัญหาหนักๆ ผลคือผิวดูเนียนกริบมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก โดยไม่ได้ใช้คอนซิลเลอร์เลยสักนิด แถมยังติดทนกว่าเดิมชนิดทาตอนเช้า ขึ้นรถ ลงเรือ โหนเมล์ เลิกงานไปกินข้าวต่อกับที่ทำงาน กลับมาดึกกว่าปกติ ส่องกระจก ถ่ายรูปดู เอ้อ...แป้งยังไม่โป๊ะ ไม่พัง ตามภาพด้านล่างนี้เลยค่ะ


ยังอยู่ค่าา ทนจริงไรจริง หน้ายังผ่อง ส่วนเรื่องคุมมันระหว่างวันก็ไม่มันย่องนะ ช่วยคุมมันดีระดับนึง ติดตรงตัวตลับไม่มีชั้นแยกระหว่างพัฟกับแป้งแค่นั้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้งานอะไร รวมๆชอบมากจ้า ตัวนี้ผ่าน ><


3. แป้ง Ver.88 Bounce Up Pact เบอร์ 01

ต่อค่ะๆ ละยี่ห้อต่อมาเป็นแป้งดินน้ำมันของ  Ver.88 Bounce Up Pact ตัวนี้เลยย
โดยแป้งตัวนี้เป็นสูตรดินน้ำมันผสมรองพื้น เราจะเลือกใช้ในวันที่ตื่นสายค่ะ เพราะตัวนี้เนื้อแป้งจะมีความหนึบๆดึ๋งๆ ทาง่าย ปาดๆกดๆได้เลย


เทสต์ครึ่งหน้า อย่าพึ่งตกใจสีไปค่ะ คือยอมรับว่าสีนางโดดเด้งมาก โอ้ย คือเนื่องจากนางมีสีเดียว
ก่อนจะซื้อเราก็ลังเลนะ แต่หาข้อมูลดูเขาบอกว่ามันกลืนได้ทุกสีผิว นี่ก็เชื่อไง 55
แต่นางจะดรอปลงเยอะค่ะระหว่างวัน


แต่งเสร็จเต็มลุค เราว่าแป้งตัวนี้มีความหนาแต่ไม่ค่อยปกปิดรอยแดงรอยดำเท่าไหร่ เพราะจุดอ่อนสุดๆคือเรื่องสีที่มีสีเดียว ละมันไม่ค่อยเข้ากับผิวคนไทยเลย เหมาะกับคนที่ขาวมากๆขาวออกไปทางชมพูๆด้วย ผิวสองสีแบบเราเลยไม่ค่อยเหมาะบวกกับมีรอยสิวไปอีกเรื่องปกปิดเลยยังไม่ได้ตอบโจทย์เรา อ้อ เรื่องสีด้วย ตอนซื้อตัวนี้เราสั่งจากในเพจ ไม่ได้ลองเทสกับตัวเอง อ่านจากรีวิวเอาอย่างเดียว TT ตัวนี้น่าจะเหมาะกับคนที่สีผิวหน้าไม่สม่ำเสมอ แต่ไม่มีรอยอะไรมาก มากกว่า ยิ้ม


หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน สีดรอปลงมาก็โอเคอยู่ค่ะ ไม่ได้ต่างจากตัวอื่นมากมาย แต่กลางวันแอบมันอยู่นะ วันไหนใช้ตัวนี้ ต้องซับหน้าบ่อยๆ และที่สำคัญวันไหนใช้ตัวนี้หน้าจะลอยมากกว่าปกติจริง!


4.Sola Bounce Shiny Pact SPF 50 PA+++ เบอร์ 23

และตัวสุดท้าย เป็นคิวของแป้ง Sola Bounce Shiny Pact SPF 50 PA+++ นั่นเอง แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ไทยอีกแบรนด์นึงที่เป็นที่รู้จักเลย เพิ่งได้มาไม่นานมานี่ ตอนแรกเราใช้ที่เป็นบีบีละชอบมาก ไปเห็นในอีฟแอนด์บอยว่าทำแป้งดินน้ำมันด้วย เลยซื้อมาลองดู ทาแล้วได้แล้วได้ประมาณนี้อะค่ะ


เทสต์ครึ่ง


แป้งตัวนี้ตอนแรกที่เปิดกล่องมาเซ็งมาก เพราะแป้งแตก! คือตกใจมากคือเพิ่งซื้อเลยมาแตกได้ไง แต่ด้วยความเป็นดินน้ำมันของนาง นั่งกดๆคือกลับมาเหมือนเดิมค่าาา555 อันนี้พีคมากสำหรับเรา เป็นกิมมิคเล็กๆที่เราชอบ555 เราใช้ตัวนี้สลับๆกันไปเหมือนตัวอื่นค่ะ รวมๆก็โอเคปกปิดดีระดับนึง ทาแล้วไม่หนามาก ไม่รู้สึกหนักหน้าด้วย



ตัวนี้เราชอบที่เนื้อแป้งมีความยืดหยุ่น ช่วยปกปิดได้ดีระดับนึง เบาผิว สีแป้งทาแล้วไม่ได้โดดมาก ระหว่างวันไม่ค่อยมันด้วย ซับมันบ้างครั้งสองครั้ง แต่ยังเอาอยู่ชอบค่ะ

มาดูความแตกต่างของแป้งแต่ละตัวชัดๆโดยการแบ่งหน้าเป็น 4 ส่วนกันเลย!!



จากที่ใช้ 4 ตัวมาเป็นประจำ เราว่าแต่ละตัวมีดี/ไม่ดี ต่างกันไป แล้วแต่ว่าคนนั้นต้องการเน้นเรื่องไหนมากกว่า
อันนี้สรุปรวมๆจากความรู้สึกจากเรา (คนเดียว) นะคะ



ความจริงแป้งประเภทนี้จะคล้ายๆกันตรงที่เน้นการปกปิด ติดนาน รวมเอาไพรเมอร์ รองพื้น เนื้อแป้งมาไว้ด้วยกันในขั้นตอนเดียว แต่จากที่ใช้ดูของแต่ละยี่ห้อแล้ว อาจมีข้อดี/ข้อเสียไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่าใครต้องการแบบไหน สภาพผิวเป็นยังไง ลองดูค่าา หวังว่าจะช่วยได้น้าา ><
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่