แป้งพัฟถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสาวๆทุกคนนะคะ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีผู้ผลิตเครื่องสำอางทำออกมาวางขายเยอะมาก ทั้งยี่ห้อคนไทย คนต่างประเทศ แต่สำหรับตาลถ้าให้พูดถึงแป้งพัฟที่ราคาไม่แพงมากนักแต่คุณภาพดี ตาลจะนึกถึงแป้งพัฟแบรนด์คนไทยก่อน เพราะเค้าถูกคิดค้นออกมาให้เหมาะกับสภาพผิวของคนไทย รวมถึงเหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทยด้วย วันนี้ตาลมีแป้งพัฟมาแนะนำ ได้แก่ Rebecca, Babalah, Ran และ Cho ที่เป็นแป้งพัฟคนไทย และก็ขอแถมแป้งสัญชาติเกาหลีพ่วงมาอีกหนึ่ง นั่นคือ Merrez’ca รวมเป็นทั้งหมด 5 ชิ้น ทุกตัวที่ตาลนำมารีวิวในวันนี้เป็นแป้งพัฟที่เน้นเรื่องการปกปิดเป็นพิเศษนะ ส่วนคุณสมบัติอื่นๆก็จะมีความแตกต่างกันออกไปบ้าง ภาพด้านล่างเป็นการเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังทาแป้งค่ะ ตาลทาแป้งอย่างเดียว แบบที่ไม่ได้ลงรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ก่อนเลย สำหรับตาลระดับการปกปิดเท่านี้คือถือว่าดีมากสำหรับแป้งผสมรองพื้น เก็บรอยแดงจากสิวได้เกือบ 100% แต่ว่าถ้าใครอยากจะกลบให้มิดแบบ Full coverage เลย ก็ต้องใช้คู่กับรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ด้วยตามปกตินะคะ
ตาลอยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าแป้งผสมรองพื้นเค้าก็มีความสามารถในการปกปิดระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้เทียบเท่ากับรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์เลยก็คงจะสู้ไม่ได้ แต่ที่นางเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ของสาวๆ ก็เพราะวันหนึ่งเราใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านกันหลายชั่วโมง ดังนั้นเราก็ต้องมีแป้งที่สามารถพกไปไหนมาไหนไว้ใช้เติมระหว่างวันได้ คงไม่มีใครแบกรองพื้นกับคอนซีลเลอร์ออกไปเติมข้างนอกบ้านถูกไหมคะ แต่จะบอกว่า “เติม” ก็ไม่ได้ เพราะรองพื้นกับคอนซีลเลอร์ไม่สามารถทาทับเครื่องสำอางอื่นที่มีลักษณะฝุ่นได้ เพราะจะทำให้เกิดเป็นคราบและเป็นร่องไม่สวยงาม พูดง่ายๆ...ถ้าแต่งหน้าเสร็จไปแล้ว กฏเหล็กคือห้ามเอารองพื้นหรือคอนซีลเลอร์มาทาทับลงไปอีกนะคะ ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้หน้าของเราสวยเด้งได้ตลอดทั้งวันก็คือแป้งผสมรองพื้นนั่นเอง...
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพการกันน้ำกันเหงื่อ ตาลลองใช้สเปรย์ฉีดน้ำลงบนแป้งแล้วซับออก จะเห็นได้ว่าแป้งทุกตัวยังคงเกาะผิวอยู่ ถึงแม้อาจจะมีบางส่วนหลุดออกบ้าง (เพราะตาลฉีดน้ำลงไปชุ่มมากจริงๆ) แต่ก็ยังถือได้ว่าแป้งยังอยู่ในสภาพที่โอเคมากเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากนั้นตาลได้ลองทาแป้งทับลงไปที่เดิมอีกครั้ง ผลออกมาคือเรียบเนียนเหมือนใหม่ ไม่มีคราบเลยค่ะ ดังนั้นหากเพื่อนๆเป็นคนเหงื่อออกเยอะก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าเวลาเติมแป้งทับลงไประหว่างวันแล้วจะเกิดคราบ
เรามาเจาะดูรายละเอียดของแป้งแต่ละตัวกันดีกว่า... เริ่มกันที่ Rebecca ก่อนเลยนะคะ แป้งตัวนี้เป็นของคนไทยแต่ว่านำเข้าส่วนผสมต่างๆมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเค้าเอามาดัดแปลงผสมผสานให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวคนไทย มีให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ R1(ผิวขาวอมชมพู), R2(ผิวขาวเหลือง) และ R3(ผิวสองสี-ผิวแทน) ที่ตาลใช้อยู่คือสี R2 ค่ะ
เนื้อแป้งของ Rebecca บอกเลยว่านุ่มมากๆ เวลาใช้นิ้วถูไปบนเนื้อแป้งจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนละไมขั้นสุด ระดับความปกปิดก็ทำได้ดีมากทีเดียว เนื่องจากตาลไม่ได้มีปัญหารอยสิวอะไรมากนัก เลยอยากให้สังเกตการปกปิดจากรอยคล้ำใต้ตาดูนะคะ ยิ่งถ้าทาทับ 2 ชั้นจะเห็นได้ชัดเลยว่ารอยคล้ำใต้ตาดูจางลงอย่างมาก คุณสมบัติเด่นของแป้งตัวนี้นอกจากเรื่องการปกปิดแล้ว เค้ายังคุมมันและกันเหงื่อได้ดีอีกด้วยนะ ส่วนสีแป้งก็เข้ากับสีผิวตาลได้ดีมากๆ แถมทำให้ดูกระจ่างใสขึ้นด้วย
ตัวถัดมาเป็นแป้งพัฟจาก Babalah ค่ะ มีให้เลือก 3 เฉดสีเช่นกัน ได้แก่ 19(ผิวขาวมากอมชมพู), 01(ผิวขาวทั่วไป) และ 02(ผิวสองสี-ผิวคล้ำ) ตาลใช้เบอร์ 02 ค่ะ
แป้งตัวนี้อันเดอร์โทนจะออกเป็นสีเหลืองมากกว่าตัวอื่นๆ สาวไทยคนไหนที่มีสีผิวออกโทนเหลืองมากๆแป้งสีนี้จะเข้ากับผิวได้ดีเลยค่ะ เนื้อแป้งไม่หนาไม่บางจนเกินไป นอกจากนั้นเนื้อแป้งเค้ายังมีลักษณะเป็นผงๆที่ค่อนข้างแห้ง ไม่หนืด ดังนั้นเวลาทาจะให้ความรู้สึกเกลี่ยง่ายมากๆ เรื่องของความสามารถในการปกปิดก็ทำได้ดีเช่นเดียวกันค่ะ ยิ่งทาทับ 2 ชั้นก็ยิ่งปกปิดได้มากขึ้น
ตัวที่สามคือ Merrez’ca แป้งตัวนี้ถึงจะเป็นของคนเกาหลี แต่ตาลว่าเค้าโอเคเลยที่จะเอามาใช้ในเมืองไทยนะ มีให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่ 21(Light nude - ผิวขาว) และ 23(Soft beige - ผิวสองสี) ที่ตาลใช้อยู่คือเบอร์ 23 ซึ่งเป็นเฉดสีที่เข้มกว่า
แป้งของ Merrez’ca เค้าขึ้นชื่อเรื่องความบางเบาอยู่แล้วค่ะ สำหรับใครที่ไม่ชอบความหนักหน้าแต่ต้องการการปกปิดในระดับหนึ่ง แป้งตัวนี้คือคำตอบ ข้อดีอีกอย่างของความบางเบาคือเราสามารถทาทับสร้างเลเยอร์ขึ้นไปได้เรื่อยๆ อยากได้หนาขนาดไหนก็ทาทับลงไป แต่สำหรับตาลเองถ้าวันไหนอยากได้การปกปิดที่ค่อนข้างหนาตาลก็จะหยิบแป้งที่เนื้อหนาๆมาทาเลย ทีเดียวจบ ตัวนี้ตาลชอบเอาไว้ใช้สำหรับวันสบายๆมากกว่า แต่ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนนะคะ ถ้าสะดวกทาทับหลายๆชั้นก็จัดไปจ้า
ถัดมาคือแป้ง Ran มีให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ R11(ผิวขาวอมชมพู), R22(ผิวขาวเหลือง) และ R33(ผิวสองสี) ที่ตาลใช้อยู่คือสี R22 ค่ะ
แป้งตัวนี้ให้ Finised look ที่ปกปิดแต่ยังคงดูเป็นผิวอยู่ เพราะว่าเนื้อแป้งเค้าค่อนข้างละเอียดและเนื้อไม่หนาจนเกินไป เนื้อแป้งของ Ran จะหนากว่า Merrez’ca แต่บางกว่า Cho ค่ะ เพราะฉะนั้นเนื้อผิวที่ได้ก็จะอยู่ในระดับกึ่งกลาง ไม่หนาไม่บางจนเกินไป อีกเรื่องที่ชอบคือสีแป้งค่อนข้างเข้ากับสีผิวของตาลได้พอดีเลยค่ะ
ถ้าให้พูดเน้นเรื่องการปกปิดก็คงจะหนีไม่พ้นแป้งจาก Cho นะคะ มีให้เลือกด้วยกัน 3 เฉดสี ได้แก่ M1(ผิวขาวอมชมพู), M2(ผิวขาวเหลือง) และ M3 (ผิวสองสี) ซึ่งตาลใช้สี M2 ค่ะ
แป้งตัวนี้บอกเลยว่าเนื้อไม่บางเบานะคะ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้การปกปิดที่ค่อนข้างหนา แบบปาดทีเดียวรู้เรื่อง สำหรับตาลถ้าทาทับ 2 ชั้นอาจจะดูหนาเกินไป อย่างไรก็ตามหากใครไม่อยากซื้อแป้งหลายตัว บางวันอาจจะอยากได้ลุคเบาๆ ตาลแนะนำให้ใช้แปรงพุ่มโตปัดแป้งตัวนี้เอาก็ได้ค่ะ มันก็จะทำให้บางเบาขึ้น เนื้อสัมผัสของแป้งนุ่มดีทีเดียว มีความหนืดเล็กๆ คือเค้าจะไม่แห้งเหมือนตัว Babalah แต่ว่าโทนสีใกล้เคียงกันมาก ก็คือออกเป็นอันเดอร์โทนเหลืองนั่นเอง
จบแล้วสำหรับการรีวิวแป้งพัฟคุณภาพดีราคาไม่เกินพันนะคะ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นตัวช่วยให้เพื่อนๆเลือกสรรแป้งพัฟที่เหมาะกับตัวเองได้ ใครชอบแบบไหนก็ไปหามาตำกันซะ แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้า บ๊ายบายค่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจอ่านคอนเทนต์อื่นๆของตาล หรือดูวิดีโอสอนแต่งหน้าสามารถติดตามได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยจ้า
Facebook page: https://www.facebook.com/TarnWitii/
Youtube channel: https://www.youtube.com/channel/UC3NC3dN_wbFhvoIHX0xicrA
Instagram: https://www.instagram.com/tarnwitii/
[CR] รีวิว 5 แป้งพัฟคุณภาพดี เน้นการปกปิด ราคาไม่เกินพัน
แป้งพัฟถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับสาวๆทุกคนนะคะ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีผู้ผลิตเครื่องสำอางทำออกมาวางขายเยอะมาก ทั้งยี่ห้อคนไทย คนต่างประเทศ แต่สำหรับตาลถ้าให้พูดถึงแป้งพัฟที่ราคาไม่แพงมากนักแต่คุณภาพดี ตาลจะนึกถึงแป้งพัฟแบรนด์คนไทยก่อน เพราะเค้าถูกคิดค้นออกมาให้เหมาะกับสภาพผิวของคนไทย รวมถึงเหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทยด้วย วันนี้ตาลมีแป้งพัฟมาแนะนำ ได้แก่ Rebecca, Babalah, Ran และ Cho ที่เป็นแป้งพัฟคนไทย และก็ขอแถมแป้งสัญชาติเกาหลีพ่วงมาอีกหนึ่ง นั่นคือ Merrez’ca รวมเป็นทั้งหมด 5 ชิ้น ทุกตัวที่ตาลนำมารีวิวในวันนี้เป็นแป้งพัฟที่เน้นเรื่องการปกปิดเป็นพิเศษนะ ส่วนคุณสมบัติอื่นๆก็จะมีความแตกต่างกันออกไปบ้าง ภาพด้านล่างเป็นการเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังทาแป้งค่ะ ตาลทาแป้งอย่างเดียว แบบที่ไม่ได้ลงรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ก่อนเลย สำหรับตาลระดับการปกปิดเท่านี้คือถือว่าดีมากสำหรับแป้งผสมรองพื้น เก็บรอยแดงจากสิวได้เกือบ 100% แต่ว่าถ้าใครอยากจะกลบให้มิดแบบ Full coverage เลย ก็ต้องใช้คู่กับรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ด้วยตามปกตินะคะ
ตาลอยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่าแป้งผสมรองพื้นเค้าก็มีความสามารถในการปกปิดระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้เทียบเท่ากับรองพื้นหรือคอนซีลเลอร์เลยก็คงจะสู้ไม่ได้ แต่ที่นางเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ของสาวๆ ก็เพราะวันหนึ่งเราใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านกันหลายชั่วโมง ดังนั้นเราก็ต้องมีแป้งที่สามารถพกไปไหนมาไหนไว้ใช้เติมระหว่างวันได้ คงไม่มีใครแบกรองพื้นกับคอนซีลเลอร์ออกไปเติมข้างนอกบ้านถูกไหมคะ แต่จะบอกว่า “เติม” ก็ไม่ได้ เพราะรองพื้นกับคอนซีลเลอร์ไม่สามารถทาทับเครื่องสำอางอื่นที่มีลักษณะฝุ่นได้ เพราะจะทำให้เกิดเป็นคราบและเป็นร่องไม่สวยงาม พูดง่ายๆ...ถ้าแต่งหน้าเสร็จไปแล้ว กฏเหล็กคือห้ามเอารองพื้นหรือคอนซีลเลอร์มาทาทับลงไปอีกนะคะ ดังนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้หน้าของเราสวยเด้งได้ตลอดทั้งวันก็คือแป้งผสมรองพื้นนั่นเอง...
ส่วนเรื่องประสิทธิภาพการกันน้ำกันเหงื่อ ตาลลองใช้สเปรย์ฉีดน้ำลงบนแป้งแล้วซับออก จะเห็นได้ว่าแป้งทุกตัวยังคงเกาะผิวอยู่ ถึงแม้อาจจะมีบางส่วนหลุดออกบ้าง (เพราะตาลฉีดน้ำลงไปชุ่มมากจริงๆ) แต่ก็ยังถือได้ว่าแป้งยังอยู่ในสภาพที่โอเคมากเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากนั้นตาลได้ลองทาแป้งทับลงไปที่เดิมอีกครั้ง ผลออกมาคือเรียบเนียนเหมือนใหม่ ไม่มีคราบเลยค่ะ ดังนั้นหากเพื่อนๆเป็นคนเหงื่อออกเยอะก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าเวลาเติมแป้งทับลงไประหว่างวันแล้วจะเกิดคราบ
เรามาเจาะดูรายละเอียดของแป้งแต่ละตัวกันดีกว่า... เริ่มกันที่ Rebecca ก่อนเลยนะคะ แป้งตัวนี้เป็นของคนไทยแต่ว่านำเข้าส่วนผสมต่างๆมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเค้าเอามาดัดแปลงผสมผสานให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวคนไทย มีให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ R1(ผิวขาวอมชมพู), R2(ผิวขาวเหลือง) และ R3(ผิวสองสี-ผิวแทน) ที่ตาลใช้อยู่คือสี R2 ค่ะ
เนื้อแป้งของ Rebecca บอกเลยว่านุ่มมากๆ เวลาใช้นิ้วถูไปบนเนื้อแป้งจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนละไมขั้นสุด ระดับความปกปิดก็ทำได้ดีมากทีเดียว เนื่องจากตาลไม่ได้มีปัญหารอยสิวอะไรมากนัก เลยอยากให้สังเกตการปกปิดจากรอยคล้ำใต้ตาดูนะคะ ยิ่งถ้าทาทับ 2 ชั้นจะเห็นได้ชัดเลยว่ารอยคล้ำใต้ตาดูจางลงอย่างมาก คุณสมบัติเด่นของแป้งตัวนี้นอกจากเรื่องการปกปิดแล้ว เค้ายังคุมมันและกันเหงื่อได้ดีอีกด้วยนะ ส่วนสีแป้งก็เข้ากับสีผิวตาลได้ดีมากๆ แถมทำให้ดูกระจ่างใสขึ้นด้วย
ตัวถัดมาเป็นแป้งพัฟจาก Babalah ค่ะ มีให้เลือก 3 เฉดสีเช่นกัน ได้แก่ 19(ผิวขาวมากอมชมพู), 01(ผิวขาวทั่วไป) และ 02(ผิวสองสี-ผิวคล้ำ) ตาลใช้เบอร์ 02 ค่ะ
แป้งตัวนี้อันเดอร์โทนจะออกเป็นสีเหลืองมากกว่าตัวอื่นๆ สาวไทยคนไหนที่มีสีผิวออกโทนเหลืองมากๆแป้งสีนี้จะเข้ากับผิวได้ดีเลยค่ะ เนื้อแป้งไม่หนาไม่บางจนเกินไป นอกจากนั้นเนื้อแป้งเค้ายังมีลักษณะเป็นผงๆที่ค่อนข้างแห้ง ไม่หนืด ดังนั้นเวลาทาจะให้ความรู้สึกเกลี่ยง่ายมากๆ เรื่องของความสามารถในการปกปิดก็ทำได้ดีเช่นเดียวกันค่ะ ยิ่งทาทับ 2 ชั้นก็ยิ่งปกปิดได้มากขึ้น
ตัวที่สามคือ Merrez’ca แป้งตัวนี้ถึงจะเป็นของคนเกาหลี แต่ตาลว่าเค้าโอเคเลยที่จะเอามาใช้ในเมืองไทยนะ มีให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่ 21(Light nude - ผิวขาว) และ 23(Soft beige - ผิวสองสี) ที่ตาลใช้อยู่คือเบอร์ 23 ซึ่งเป็นเฉดสีที่เข้มกว่า
แป้งของ Merrez’ca เค้าขึ้นชื่อเรื่องความบางเบาอยู่แล้วค่ะ สำหรับใครที่ไม่ชอบความหนักหน้าแต่ต้องการการปกปิดในระดับหนึ่ง แป้งตัวนี้คือคำตอบ ข้อดีอีกอย่างของความบางเบาคือเราสามารถทาทับสร้างเลเยอร์ขึ้นไปได้เรื่อยๆ อยากได้หนาขนาดไหนก็ทาทับลงไป แต่สำหรับตาลเองถ้าวันไหนอยากได้การปกปิดที่ค่อนข้างหนาตาลก็จะหยิบแป้งที่เนื้อหนาๆมาทาเลย ทีเดียวจบ ตัวนี้ตาลชอบเอาไว้ใช้สำหรับวันสบายๆมากกว่า แต่ก็แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคนนะคะ ถ้าสะดวกทาทับหลายๆชั้นก็จัดไปจ้า
ถัดมาคือแป้ง Ran มีให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ R11(ผิวขาวอมชมพู), R22(ผิวขาวเหลือง) และ R33(ผิวสองสี) ที่ตาลใช้อยู่คือสี R22 ค่ะ
แป้งตัวนี้ให้ Finised look ที่ปกปิดแต่ยังคงดูเป็นผิวอยู่ เพราะว่าเนื้อแป้งเค้าค่อนข้างละเอียดและเนื้อไม่หนาจนเกินไป เนื้อแป้งของ Ran จะหนากว่า Merrez’ca แต่บางกว่า Cho ค่ะ เพราะฉะนั้นเนื้อผิวที่ได้ก็จะอยู่ในระดับกึ่งกลาง ไม่หนาไม่บางจนเกินไป อีกเรื่องที่ชอบคือสีแป้งค่อนข้างเข้ากับสีผิวของตาลได้พอดีเลยค่ะ
ถ้าให้พูดเน้นเรื่องการปกปิดก็คงจะหนีไม่พ้นแป้งจาก Cho นะคะ มีให้เลือกด้วยกัน 3 เฉดสี ได้แก่ M1(ผิวขาวอมชมพู), M2(ผิวขาวเหลือง) และ M3 (ผิวสองสี) ซึ่งตาลใช้สี M2 ค่ะ
แป้งตัวนี้บอกเลยว่าเนื้อไม่บางเบานะคะ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้การปกปิดที่ค่อนข้างหนา แบบปาดทีเดียวรู้เรื่อง สำหรับตาลถ้าทาทับ 2 ชั้นอาจจะดูหนาเกินไป อย่างไรก็ตามหากใครไม่อยากซื้อแป้งหลายตัว บางวันอาจจะอยากได้ลุคเบาๆ ตาลแนะนำให้ใช้แปรงพุ่มโตปัดแป้งตัวนี้เอาก็ได้ค่ะ มันก็จะทำให้บางเบาขึ้น เนื้อสัมผัสของแป้งนุ่มดีทีเดียว มีความหนืดเล็กๆ คือเค้าจะไม่แห้งเหมือนตัว Babalah แต่ว่าโทนสีใกล้เคียงกันมาก ก็คือออกเป็นอันเดอร์โทนเหลืองนั่นเอง
จบแล้วสำหรับการรีวิวแป้งพัฟคุณภาพดีราคาไม่เกินพันนะคะ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นตัวช่วยให้เพื่อนๆเลือกสรรแป้งพัฟที่เหมาะกับตัวเองได้ ใครชอบแบบไหนก็ไปหามาตำกันซะ แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้า บ๊ายบายค่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้