ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๒)

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้ยิ่งใหญ่ในทักษิณ (๒)

เล่าเซี่ยงชุน

                   ซุนเซ็ก บุตรชายคนหัวปีของ ซุนเกี๋ยน ซึ่งต้องตายไป เพราะผิดคำสาบาน ในขณะนั้นอายุเพียงสิบห้าปี  ก็รับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือ  ยกกลับไปเมืองกังตั๋งแต่งการศพไว้ที่ตำบลขยกโอ๋ตามประเพณีแล้ว ก็พามารดากับน้อง ๆ ไปอยู่ที่เมืองกังหนำ  ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองชีจิ๋ว แต่ โตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋วผิดใจกับ งอเก๋งเจ้าเมืองตันเอี๋ยงซึ่งเป็นน้าของซุนเซ็ก เห็นว่าจะอยู่ก็ไม่มีความสุข  จึงพาครอบครัวกลับมาอยู่ที่ตำบลขยกโอ๋ ซึ่งใกล้กับเมืองตันเอี๋ยง  แล้วตัวซุนเซ็กก็ไปทำราชการอยู่กับ อ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยง
อ้วนสุดก็รักใคร่ ตั้งให้เป็นนายทหาร เพราะมีฝีมือกล้าแข็งแม้อายุยังน้อย

                   ในระหว่างที่ซุนเซ็กได้อยู่กับอ้วนสุดนี้  ก็ได้ยกทหารไปตีเมืองเก๋งกวงครั้งหนึ่ง และต่อมาก็ไปตีเมืองโลกั๋งได้อีก นับว่ามีความชอบอยู่เป็นอันมาก  แต่อ้วนสุดก็ไม่ได้ปูนบำเหน็จรางวัลเพิ่มขึ้นแต่ประการใด มีแต่จัดโต๊ะเลี้ยงแสดงความยินดีในชัยชนะเท่านั้น ซุนเซ็กก็นึกน้อยใจจึงปรึกษาหารือกับคนสนิทของบิดาว่า จะขอทหารอ้วนสุดไปสมทบกับงอเก๋งผู้เป็นน้าชาย โดยเอาตราหยกที่บิดามอบให้ จำนำไว้กับอ้วนสุดก่อน แล้วจะยกไปแก้แค้นแทนบิดา และหาทางตั้งตัวเป็นใหญ่ต่อไป

                    อ้วนสุดก็ดีใจ ที่จะได้ตราหยกประจำตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดิน มาไว้ใน
ครอบครอง จึงรีบมอบทหารเดินเท้าสามพันกับทหารม้าห้าร้อยนาย ให้ซุนเซ็กไปโดยเร็ว  ไม่ได้สนใจว่าจะเอาไปรบกับใคร  แต่ก็ยังอุตส่าห์กำชับว่า ถ้าทำงานสำเร็จแล้ว ให้รีบกลับมา จะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่

                        ฝ่าย เล่าอิ้ว ญาติของ เล่าเปียว อยู่ที่เมืองฉิวฉุน เมื่อรู้ว่าซุนเซ็กยก ทหารมา ก็คิดอ่านกับที่ปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี เตียวเอ๋ง ก็รับอาสาจะคุมกองทัพ ไป
ตั้งรับที่ตำบลงิวจู๋ซึ่งเป็นที่ลุ่ม เตรียมข้าวใส่ยุ้งไว้ไว้เป็นเสบียงสักสิบหมื่นถัง กะว่าถ้าข้า
ศึกจะยกมาสักร้อยหมื่นก็ ยังพอสู้ได้อีกนาน  ทั้ง ๆ ที่ซุนเซ็กยกพลมาแค่สามพันห้าเท่านั้นเอง ขณะนั้นก็มีนายทหารหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ไทสูจู้ ก็ขอรับอาสาเป็นกองหน้า แต่         เล่าอิ้วเห็นว่ายังเป็นเด็กอ่อนความคิด ก็เลยยังไม่ยอมให้ไป
                    ความจริงไทสูจู้คนนี้ แม้อายุน้อยแต่ก็เป็นคนกล้าหาญกตัญญู  และมีฝีมือพอตัว เดิมเป็นชาวเมืองอุยก๋วน เคยไปช่วยปราบโจรที่ล้อมเมืองปังไฮเพราะเจ้าเมืองมีบุญคุณอยู่กับมารดาของตน จนแตกพ่ายไป เสร็จเรื่องแล้วก็ลากลับบ้าน มารดาจึงสั่งให้ มาทำราชการอยู่กับเล่าอิ้วที่เมืองเอียงจิ๋ว แล้วก็ติดตามมาในกองทัพตามหน้าที่นายทหาร

                    ทางฝ่ายซุนเซ็กนั้นก็ยกกำลังเข้ารบกับเตียวเอ๋ง  ปะทะกันได้ห้าเพลงก็มีโจรป่าสองคนพี่น้องชื่อ จิวขิม กับ จิวท่าย คุมพวกประมาณสามร้อยคน มาช่วยซุนเซ็ก
แล้วเลยเข้าไปเผาค่ายเตียวเอ๋ง จนต้องหนีกลับเข้าเมือง  ซุนเซ็กจึงยึดได้ศาสตราวุธ
เป็นจำนวนมากพร้อมด้วยเชลยที่ยอมเป็นพวกด้วยอีกสี่พันคนเศษ ยกไปตั้งใกล้เขาสินเต๋งทางทิศใต้ เล่าอิ้วก็ยกทหารไปตั้งอยู่ทางทิศเหนือของภูเขาลูกเดียวกัน  ส่วนเตียวเอ๋งที่แตกทัพมานั้น เล่าอิ้วยกโทษประหาร แต่ให้ไปตั้งระวังเมืองเลงเหลงไว้ให้ดี

                    ซุนเซ็กรู้ข่าวว่าบนภูเขาสินเต๋ง มีศาลเจ้าฮั่นกองบู๊  อดีตกษัตริย์บรรพ บุรุษของ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ตั้งอยู่ จึงจับทวนขึ้นม้าไปกับทหารเพียงสิบสองคน คำนับบวงสรวงแล้ว ก็ขับม้าเลียบเนินเขาจะไปดูขบวนทัพของเล่าอิ้ว ซึ่งอยู่ฟากตรงข้าม เล่าอิ้วรู้ข่าวจากทหารก็สงสัย เกรงว่าจะเป็นกลศึก จึงไม่คิดจะทำอะไร  แต่ไทสูจู้เห็นว่าครั้งนี้เป็นทีแล้ว ถ้าไม่คิดอ่านจับตัวซุนเซ็กตอนนี้ จะหาโอกาสอย่างนี้ได้อีกเมื่อไร จึงฉวยทวนขึ้นม้า ประกาศรับอาสาสมัครผู้ที่จะร่วมทางไปจับซุนเซ็ก ก็ไม่มีใครเอาด้วย นอกจากพลทหารเลวผู้หนึ่งนับถือความกล้าหาญของไทสูจู้ จึงขี่ม้าตามหลังไป ไทสูจู้ก็ไม่ได้รีรอรีบพาทหารคู่ใจขึ้นเขาไปกันสองคน ปล่อยให้พวกขี้ขลาดตาขาวพากันหัวเราะเยาะอยู่ข้างหลังอย่างไม่สนใจใยดี

                    ซุนเซ็กนั้น เมื่อดูการวางกระบวนทัพของเล่าอิ้วจนพอใจแล้ว ก็กลับลง
มาถึงตีนเขา เจอเอาไทสูจู้สองคนกับทหารเลวดักหน้าอยู่  ซุนเซ็กจึงให้ทหารของตนรอ
อยู่ข้างหลัง ตนเองชักม้าเข้าไปหาแล้วถามว่าชื่ออะไร                                                               

ไทสูจู้ตอบว่า

         "...เราชื่อไทสูจู้จะมาจับตัวซุนเซ็ก..."

         ซุนเซ็กได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า

         "....ตัวจะมาจับเราแต่สองคนนี้เรามิได้กลัว แม้เรากลัวเราก็ไม่ใช่ชาติทหาร...."

                    ไทสูจู้ย้อนกลับไปว่า

".....เราผู้เดียว ให้ตัวออกมาทั้งสิบสองคนนั้น  เราก็ไม่กลัว...."

        แล้วทั้งสองก็เข้ารบกันด้วยทวนคู่มือได้ห้าเพลง ไทสูจู้เห็นซุนเซ็กมี            ฝีมือเข้มแข็ง ก็ทำเป็นถอยหนีล่อให้ซุนเซ็กไล่ตามมาไกลจนถึงตำบลเพ้งฉวน ไทสูจู้ก็หันกลับมารบกับซุนเซ็กอีกห้าสิบเพลง ซุนเซ็กเอาทวนแทงพลาดไทสูจู้คว้าทวนไว้ได้แล้วแทงตอบก็พลาด ให้ซุนเซ็กจับไว้ได้บ้าง ทั้งสองจึงยื้อยุดฉุดกระชาก จนตกลงจากหลังม้าทั้งคู่ ทวนหลุดจากมือทั้งสองฝ่าย ก็เข้าปล้ำกันจนเสื้อเกราะขาดออกจากตัว  

                    ซุนเซ็กชักทวนสั้นที่เหน็บหลังไทสูจู้ออกมาแทงเจ้าของ  ไทสูจู้ก็คว้าได้
หมวกของซุนเซ็กมารับเอาไว้ได้  พอดีทหารของเล่าอิ้วตามมาช่วยไทสูจู้อีกตั้งพันคน ทั้ง
สองจึงผละจากกัน  ซุนเซ็กขึ้นม้าได้ก็พาทหารสิบสองคนรบพลางถอยหนีไปพลาง            ไทสูจู้ก็ไล่ตามมาจนถึงหน้าค่าย พอดีเกิดพายุฝนตกหนัก ก็เลยต้องแยกกันกลับเข้าค่าย

                    ซุนเซ็กนั้นคิดแค้นอยู่ตลอดคืนนอนไม่หลับ รีบลุกขึ้นแต่เช้ายกทหารมาถึง
หน้าค่ายเล่าอิ้ว ไทสูจู้ก็ยกทหารออกมาตั้งประจันหน้ากัน ซุนเซ็กชูทวนที่ยึดมาได้เมื่อวาน แล้วร้องเยาะเย้ยว่า เมื่อวานนี้ดีแต่หนีทัน ไม่อย่างนั้นไทสูจู้ก็คงต้องตายไปแล้ว  ไทสูจู้ก็ชูหมวกที่ยึดมาได้เหมือนกัน สวนคำว่านี่ศีรษะของใครเล่าที่เราได้ไว้  ต่างก็เย้ยหยันยั่วโทสะกันไปมา

                    เทียเภา ทหารเอกฝ่ายซุนเซ็ก ก็เข้ารบกับไทสูจู้ถึงสามสิบเพลงแล้วยังไม่ทันรู้แพ้ชนะ  ก็มีทหารมาบอกเล่าอิ้วว่า พรรคพวกของซุนเซ็กตีหักเข้าค่ายที่ขยกโอ๋ได้
จึงรีบตีม้าล่อยกกองทัพกลับ  ซุนเซ็กก็นำทหารติดตามไปทันกลางทาง แล้วเข้าตีทันที
ทั้งที่เป็นเวลากลางคืน  เล่าอิ้วกับไทสูจู้สู้ไม่ไหวต้องแตกกระจายไป ไทสูจู้เหลือทหารสิบห้าคน แยกหนีไปทางเมืองเก๋งก๋วน เล่าอิ้วก็พาทหารถอยไปตั้งหลักที่ตำบลงิวจู๋

                    ทหารรองของเล่าอิ้ว ที่ยกหนีจากค่ายขยกโอ๋ จะมารับเล่าอิ้วแต่ไม่ทัน เจอเข้ากับซุนเซ็กเลยโดนตีแตกกระเจิงอีกราย ต้องหนีไปสมทบกับเล่าอิ้ว ซุนเซ็กก็ยัง
ไม่ยอมหยุดตามไปจนถึงงิวจู๋จนได้  ลิ่วล้อของเล่าอิ้วชื่อ อิปี ควบม้าเข้ามาสู้กับซุนเซ็ก
ได้แค่สามเพลงก็พลาดท่าเสียที โดนซุนเซ็กจับตัวได้  เอาหนีบรักแร้มาจะกลับเข้าค่าย
เพื่อนที่ชื่อวัวเหลง ก็ควบม้าควงทวนเข้ามาจะชิงตัวอิปีคืน  ซุนเซ็กเห็นเข้ามาใกล้ ก็
เหลียวหลังมาตวาดด้วยเสียงอันดังอย่างกับฟ้าผ่า วัวเหลงสดุ้งตกจากหลังม้า ศีรษะแตกตายคาที่ พอถึงหน้าค่ายซุนเซ็กก็ปล่อยตัวอิปีร่วงลงไปกองกับพื้น ปรากฏว่าขาดใจตายไปเสียแล้ว ทหารทั้งปวงก็สรรเสริญว่าซุนเซ็กมีกำลังมากหาผู้ใดเสมอมิได้

                    เล่าอิ้วนั้นเมื่อเสียรี้พลไปมากก็ชักใจฝ่อพาพรรคพวกหนีไปอยู่ทางเมือง
อิเจี๋ยง ปล่อยให้ ซีเหล เตียวเอ๋ง กับ ตันเหง รับหน้าซุนเซ็กไว้พลางก่อน ก็ปรากฏผล
ว่าซีเหลถูกทหารเลวรุมล้อมฆ่าตาย ต่อมาเตียวเอ๋งถูกแทงตกม้าตาย ตันเหงก็ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ตายไปอีก เหลือแต่ไทสูจู้ซึ่งถอยมาอยู่ที่เมืองเก๋งก๋วน ซุนเซ็กก็ตามมาล้อมไว้อีก

        ไทสูจู้เหลือทหารน้อยก็แอบหนีออกจากเมือง แต่ก็โดนกับดักของ           ซุนเซ็ก ซึ่งขึงเชือกขวาง ช่องทางที่เปิดไว้ให้หนี ม้าก็สะดุดล้มกลิ้งโดนจับตัวมัดไปจนได้

                    ซุนเซ็กนิยมนับถือในความกล้าหาญของไทสูจู้  จึงแก้มัดออกแล้วก็พูดจา
เกลี้ยกล่อมให้ยอมเข้าพวกด้วย ไทสูจู้ก็รักน้ำใจของซุนเซ็กว่าไม่มีความพยาบาท จึงยอมสมัครอยู่ด้วย ซุนเซ็กอารมณ์ดีก็ถามว่า เมื่อครั้งที่ปล้ำกันแถวตีนเขาสินเต๋งนั้น ถ้าท่านจับเราได้จะฆ่าเราหรือไม่ ไทสูจู้ก็ว่าไม่แน่  แล้วก็หัวเราะชวนกันกินโต๊ะ ฉลองความเป็นมิตรไมตรีต่อกัน  

                    ไทสูจู้เห็นว่าเล่าอิ้วแยกตัวหนีไปแล้ว ทิ้งทหารกระจัดกระจายอยู่  จึง
ขออาสาไปรวบรวมเอามาเป็นกำลังด้วย ภายในเที่ยงพรุ่งนี้จะกลับมา  ซุนเซ็กก็อนุญาตให้ไปทั้ง ๆ ที่มีผู้ห้ามปรามว่า ปล่อยไปก็คงไม่หวนกลับมาแน่ ถึงกับชวนกันไปปักไม้ไว้ตั้งแต่ตอนเช้า  พอเงาพระอาทิตย์ตรงไม้ ไทสูจู้ก็กลับมา พร้อมด้วยไพล่พลประมาณพันเศษ   ซุนเซ็กสรรเสริญไทสูจู้ว่าเป็นคนดีมีความสัตย์ และทหารทั้งปวงก็สรรเสริญซุนเซ็กว่าเป็นผู้มีปัญญา หยั่งรู้น้ำใจคนได้ถูกต้อง

                    ศึกแก้แค้นระหว่าง ซุนเซ็ก กับ เล่าอิ้ว ก็เลยสิ้นสุดลงแต่เพียงนี้  คงปล่อยให้เล่าอิ้วหลบไปนอนสบายอยู่ที่เมืองอิเจี๋ยง โดยไม่ได้กล่าวขวัญอีกเลย  

        แต่ความกระหายสงครามของซุนเซ็ก ไม่ได้ยุติลงแค่นี้ เขาจะพา ไทสูจู้ ลิ่วล้อคนใหม่ตระเวนไปรบกับใครที่ไหนอีก คงจะต้องติดตามกันต่อไป.    

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่