ก่อนอื่นก็ต้องท้าวความไปถึงภาคแรกกันก่อนครับ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่อง John Wick ที่ฉายในปี 2014 นั้นได้สร้างปรากฎการณ์ให้ผู้รักการดูหนังฮือฮาไปทั่วโลก ด้านเนื้อเรื่องเนื้อหานั้นไม่เท่าไหร่ เดินเรื่องเป็นเส้นตรง แต่การออกแบบคิวบู๊นี่ละที่เป็นจุดขายของ จอห์น วิค อย่างแท้จริง คิวบู๊ที่แปลกตาและสมจริงดุดันนี้เอง ที่ทำให้คนทั้งโลกตราตรึงกับภาคแรก
มาในภาคสอง หรือ บทที่สอง แน่นอนว่าผู้ชมที่เป็นแฟนภาคแรก ก็ต้องคาดหวังอะไรที่มันสุดขึ้น ดุดันขึ้น และต้องมีความแปลกใหม่ให้แตกต่างจากภาคแรก ในเมื่อจุดขายของ จอห์น วิค คือฉากแอ๊คชั่น บทที่สองนี้ผู้สร้างจึงมีการเตรียมงานกับผู้รับบทนำคือ คีอานู รีฟส์ ให้ซ้อมคิวบู๊แบบละเอียดและเข้าใจมากขึ้น
เริ่มด้วยคลิปไวรัลที่ถูกปล่อยออกมาในยูทูปช่วงต้นปี 2016 แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของคีอานู ซึ่งตั้งใจฝึกซ้อมการใช้ปืนจริง กระสุนจริง แถมยังแม่นซะด้วย โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากการเทรนด์คีอานูด้วยตนเองของ ทาราน บัตเลอร์ แชมป์การใช้ปืน 3 กระบอก
คีอานูซ้อมยิงปืนเพื่อใช้ใน John Wick Chapter 2
คีอานูฝึก 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ยิงกระสุน 1000-1500 นัด ต่อการฝึกหนึ่งครั้ง คีอานูกล่าวถึงทารานนักแม่นปืนที่สอนเขาว่า “ผมชอบทำงานกับทาราน มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ได้ทำงานกับนักแม่นปืนมืออาชีพ เขาเป็นแชมป์การใช้ปืน 3 กระบอก ที่ช่วยให้ผมสลับจาก ปืนสั้น ไป ปืนยาว ไปลูกซอง ได้คล่อง มันเจ๋งมากที่เขาแบ่งปันความรู้ให้ ซึ่งมันเป็นประโยชน์ต่อตัวผมมากมายจริงๆ”
คีอานูเล่าให้ฟังต่อ “เมื่อพูดถึงเรื่องการใช้อาวุธ การซ้อมด้วยกระสุนจริง ทำให้คุณเรียนรู้ว่าร่างกายคุณจะรู้สึก และตอบสนองอย่างไร ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว มันไม่มีวิธีอื่นที่เรียนรู้ได้หรอก ถ้าคุณไม่ได้ยิงมันจริงๆ”
อีกจุดเด่นของหนังตระกูล จอห์น วิค ก็คือ การต่อสู้ระยะประชิดตัวที่ดุดันเอาเป็นเอาตายและดูสมจริง คีอานูจึงต้องผสมผสานศาสตร์การยิงปืนและศาสตร์ของกังฟูในการต่อสู้ดังเช่นที่คุณเคยเห็นในภาคแรก แต่ในภาคที่สองนี้ คุณจะเห็นมันมากขึ้นแน่นอน
คีอานูกับแอคชั่นดิบเถื่อน
วิธีการต่อสู้ของ จอห์น วิค โฟกัสไปที่การป้องกัน หรือ โจมตี ด้วยทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ ผสมผสานยูโดและยูยิตสูและไปไกลถึงสามารถใช้รถเป็นอาวุธเลยยังได้ จอห์น วิค ใช้หัวมากกว่าความถึก ภาพสะท้อนวิธีการต่อสู้ของ จอห์น วิค คือ “เครื่องจักรสังหารสมบูรณ์แบบ” ตามคำจำกัดความที่ทีมงานมอบให้ ที่ไม่ว่ามีอะไรอยู่ใกล้มือ เขาสามารถคว้ามันมาฆ่าคุณได้
แชด สตาเฮลสกี ผู้กำกับภาพยนตร์ จอห์น วิค ทั้งสองภาคได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อเราทำให้เขาชินมือกับการยิงปืนจริงได้แล้ว เราก็พาเขาเข้ายิม ให้อาวุธปลอม แล้วก็เริ่มฝึกเรื่องคิวบู๊เพิ่มเติม เมื่อเราเริ่มถ่ายทำจริง มันเหมือนว่าร่างกายของคีอานูจะจำทั้งหมดได้ เขาถ่ายทอดฉากต่อสู้ออกมาได้น่าประทับใจ” ฉากเด็ดของหนังที่เป็นคำจำกัดความของคำว่า Gun-Fu เกิดขึ้นที่โรงอาบน้ำโบราณกลางกรุงโรม ที่ซึ่ง จอห์น วิค คร่าชีวิตมือสังหารไป 35 ศพ (พวกเขาเรียกการต่อสู้นี้ว่า กัน-ฟู คล้ายๆใช้ปืนยิงไปพร้อมกับเตะต่อยเคลื่อนไหวตนเอง)
ผู้กำกับ แชด สตาเฮลสกี
NOTE *** Chad Stahelski (แชด สตาเฮลสกี) นอกจากจะเป็นผู้กำกับ John Wick (2014) และ John Wick: Chapter 2 (2017) แต่แชดนั้นก็ยังเป็นเพื่อนของ Keanu Reeves ในชีวิตจริงเช่นกัน เพราะทั้งสองเคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ทั้ง 3 ภาค โดยตอนนั้นแชดคือหนึ่งในทีมสตั๊นแมนนั่นเองครับ และ จอห์น วิค ภาคแรกที่ฉายปี 2014 ยังเป็นผลงานกำกับหนังเรื่องแรกของแชดอีกด้วย ***
แชดกระตุ้นให้คีอานูแสดงบุคลิกอันแตกต่างของ จอห์น วิค ออกมา “คีอานู จะดูอ่อนโยนเมื่อรับบทเป็น จอห์น ตอนเป็นคนธรรมดา แต่จะแข็งกร้าวขึ้นเมื่อ จอห์น วิค เข้าสู่โหมดนักฆ่า เราสามารถเห็นตัวละครนี้ได้สองด้าน ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง และนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบดูนักแสดงเล่น” แชดกล่าว
“ด้วยความเป็นคนพูดน้อย จอห์น วิค สลับไปมาระหว่าง 2 สภาวะจิตใจ เมื่อเขามีความรัก เขาจะสั่งตัวเองว่า
ฉันต้องหยุดฆ่าคน แต่เมื่อเขากลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า เขาคือฝันร้ายของผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา (Boogeyman) เมื่อเขาทำงานนักฆ่า เขาไม่รู้สึกผิดบาปอะไรทั้งนั้นเมื่อต้องฆ่าใคร”
แชด สตาเฮลสกี ผู้กำกับ และ เดวิด ลีทช์ ผู้อำนวยการสร้าง รวมถึงทีมงาน 87Eleven Action Design ต่างรู้สึกกดดันเพราะการเดิมพันที่สูงขึ้น John Wick: Chapter 2 จะทำให้แฟนๆต้องตกตะลึงด้วยฉากแอ็คชั่นสมจริง ไร้ซึ่งการใช้ลูกเล่นคอมพิวเตอร์ใดๆมาช่วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเทคนิคเคลื่อนกล้อง และคิวบู๊ แทนที่จะพึ่งการตัดสลับเร็วๆ หรือให้กล้องแพนผ่านไปไวๆ ทุกอย่างเน้นไปที่การแสดงของ คีอานู รีฟส์ และเพื่อนๆนักแสดง รวมทั้งทีมสตั๊น ที่มอบชีวิตให้ฉากแอ็คชั่นด้วยหยาดเหงื่อปริมาณนับไม่ถ้วน และทีมสตั๊นท์นั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของทีม คืออดีตทหารมากประสบการณ์
87Eleven คือหนึ่งในทีมงานยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญภาพยนตร์แอคชั่นสูงมากๆทีมหนึ่งในฮอลลีวู้ด ซึ่งก่อตั้งโดยอดีต 2 สตันท์แมน แชด สตาเฮลสกี(ผู้กำกับ) และ เดวิด ลีทช์(ผู้อำนวยการสร้าง) พวกเขามีเป้าหมายในการสร้างภาพยนตร์แอคชั่นที่แตกต่างจากอะไรเดิมๆ โดยเริ่มต้นจากการฟิตซ้อมทีมนักแสดงด้วยทีมงานมืออาชีพ และเมื่อเริ่มต้นการถ่ายทำ สตาเฮลสกีและไลทช์ จะทำงานร่วมกับทีมสตันท์และนักออกแบบท่าทางต่อสู้เพื่อผลงานที่สมบูรณ์แบบ
ผลงานที่ผ่านมาของพวกเขาได้แก่
The Bourne Legacy,
Expendables 3,
the Hunger Games ,
Teenage Mutant Ninja Turtles,
Jurassic World,
Anchorman 2,
Wolverine,
Dracula Untold,
John Wick (2014) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาที่ได้เข้ามากำกับอย่างเต็มตัว ก่อนที่ประสบความสำเร็จจนได้มาทำภาคต่อ การเปลี่ยนจากสตันท์แมนมารับหน้าที่ผู้กำกับ ไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นได้ง่ายนัก แต่ทั้งไลทช์และสตาเฮลสกี ต่างก็เรียนรู้เรื่องของการถ่ายทำ การตัดต่อ ซึ่งส่งให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้กำกับได้ในที่สุด
“ในฐานะสตันท์แมน คุณจะกลายเป็นเหมือนผู้กำกับอยู่หน่อยๆ คุณต้องพูดคุยกับนักแสดงเกี่ยวกับการแสดง วิธีที่คุณจะแสดงฉากบู๊ ก็มีความเกี่ยวข้องกับภาพที่จะต้องออกมา ดังนั้นคุณจึงต้องทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพด้วย คุณจะได้เรียนรู้วิธีการแสดงฉากแอคชั่นให้ออกมาถูกจังหวะ ด้วยการใช้เลนส์และความเร็วของการถ่ายทำ”
ก่อนที่จะก่อตั้ง 87Eleven สตาเฮลสกีและไลทช์ ได้เรียนรู้วิธีการ เตะ ต่อย ต่อสู้ มาจนเรียกได้ว่า เป็นระดับสุดยอดของวงการเป็นเวลามากกว่า 20 ปี ทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรกในโรงเรียนสอนคาราเต้ ซึ่งหลังจากนั้นไลทช์ก็ได้ไปทำงานร่วมกับแบรด พิตต์ใน Fight Club, Mr. and Mrs. Smith, และ Troy ในขณะที่สตาเฮลสกี ทำงานร่วมกับแบรนดอน ลี ใน The Crow และร่วมกับคีอานู รีฟส์ใน Matrix "ตอนที่เราถ่ายทำ The Matrix เราได้เรียนรู้การต่อสู้แบบจีนครับ และเราอยากที่จะนำมันมาใช้ในโลกภาพยนตร์ของตะวันตกด้วย
John Wick: Chapter 2 เจาะลึกการออกแบบคิวบู๊,นักแสดง,และโปรดักชั่นแบบละเอียดยิบ
ก่อนอื่นก็ต้องท้าวความไปถึงภาคแรกกันก่อนครับ เนื่องจากภาพยนตร์เรื่อง John Wick ที่ฉายในปี 2014 นั้นได้สร้างปรากฎการณ์ให้ผู้รักการดูหนังฮือฮาไปทั่วโลก ด้านเนื้อเรื่องเนื้อหานั้นไม่เท่าไหร่ เดินเรื่องเป็นเส้นตรง แต่การออกแบบคิวบู๊นี่ละที่เป็นจุดขายของ จอห์น วิค อย่างแท้จริง คิวบู๊ที่แปลกตาและสมจริงดุดันนี้เอง ที่ทำให้คนทั้งโลกตราตรึงกับภาคแรก
+
+
แนะนำที่มาของฉากแอคชั่น
มาในภาคสอง หรือ บทที่สอง แน่นอนว่าผู้ชมที่เป็นแฟนภาคแรก ก็ต้องคาดหวังอะไรที่มันสุดขึ้น ดุดันขึ้น และต้องมีความแปลกใหม่ให้แตกต่างจากภาคแรก ในเมื่อจุดขายของ จอห์น วิค คือฉากแอ๊คชั่น บทที่สองนี้ผู้สร้างจึงมีการเตรียมงานกับผู้รับบทนำคือ คีอานู รีฟส์ ให้ซ้อมคิวบู๊แบบละเอียดและเข้าใจมากขึ้น
เริ่มด้วยคลิปไวรัลที่ถูกปล่อยออกมาในยูทูปช่วงต้นปี 2016 แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของคีอานู ซึ่งตั้งใจฝึกซ้อมการใช้ปืนจริง กระสุนจริง แถมยังแม่นซะด้วย โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากการเทรนด์คีอานูด้วยตนเองของ ทาราน บัตเลอร์ แชมป์การใช้ปืน 3 กระบอก
คีอานูฝึก 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ยิงกระสุน 1000-1500 นัด ต่อการฝึกหนึ่งครั้ง คีอานูกล่าวถึงทารานนักแม่นปืนที่สอนเขาว่า “ผมชอบทำงานกับทาราน มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ได้ทำงานกับนักแม่นปืนมืออาชีพ เขาเป็นแชมป์การใช้ปืน 3 กระบอก ที่ช่วยให้ผมสลับจาก ปืนสั้น ไป ปืนยาว ไปลูกซอง ได้คล่อง มันเจ๋งมากที่เขาแบ่งปันความรู้ให้ ซึ่งมันเป็นประโยชน์ต่อตัวผมมากมายจริงๆ”
คีอานูเล่าให้ฟังต่อ “เมื่อพูดถึงเรื่องการใช้อาวุธ การซ้อมด้วยกระสุนจริง ทำให้คุณเรียนรู้ว่าร่างกายคุณจะรู้สึก และตอบสนองอย่างไร ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว มันไม่มีวิธีอื่นที่เรียนรู้ได้หรอก ถ้าคุณไม่ได้ยิงมันจริงๆ”
อีกจุดเด่นของหนังตระกูล จอห์น วิค ก็คือ การต่อสู้ระยะประชิดตัวที่ดุดันเอาเป็นเอาตายและดูสมจริง คีอานูจึงต้องผสมผสานศาสตร์การยิงปืนและศาสตร์ของกังฟูในการต่อสู้ดังเช่นที่คุณเคยเห็นในภาคแรก แต่ในภาคที่สองนี้ คุณจะเห็นมันมากขึ้นแน่นอน
วิธีการต่อสู้ของ จอห์น วิค โฟกัสไปที่การป้องกัน หรือ โจมตี ด้วยทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ ผสมผสานยูโดและยูยิตสูและไปไกลถึงสามารถใช้รถเป็นอาวุธเลยยังได้ จอห์น วิค ใช้หัวมากกว่าความถึก ภาพสะท้อนวิธีการต่อสู้ของ จอห์น วิค คือ “เครื่องจักรสังหารสมบูรณ์แบบ” ตามคำจำกัดความที่ทีมงานมอบให้ ที่ไม่ว่ามีอะไรอยู่ใกล้มือ เขาสามารถคว้ามันมาฆ่าคุณได้
+
+
แนะนำตัวผู้กำกับ
แชด สตาเฮลสกี ผู้กำกับภาพยนตร์ จอห์น วิค ทั้งสองภาคได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อเราทำให้เขาชินมือกับการยิงปืนจริงได้แล้ว เราก็พาเขาเข้ายิม ให้อาวุธปลอม แล้วก็เริ่มฝึกเรื่องคิวบู๊เพิ่มเติม เมื่อเราเริ่มถ่ายทำจริง มันเหมือนว่าร่างกายของคีอานูจะจำทั้งหมดได้ เขาถ่ายทอดฉากต่อสู้ออกมาได้น่าประทับใจ” ฉากเด็ดของหนังที่เป็นคำจำกัดความของคำว่า Gun-Fu เกิดขึ้นที่โรงอาบน้ำโบราณกลางกรุงโรม ที่ซึ่ง จอห์น วิค คร่าชีวิตมือสังหารไป 35 ศพ (พวกเขาเรียกการต่อสู้นี้ว่า กัน-ฟู คล้ายๆใช้ปืนยิงไปพร้อมกับเตะต่อยเคลื่อนไหวตนเอง)
NOTE *** Chad Stahelski (แชด สตาเฮลสกี) นอกจากจะเป็นผู้กำกับ John Wick (2014) และ John Wick: Chapter 2 (2017) แต่แชดนั้นก็ยังเป็นเพื่อนของ Keanu Reeves ในชีวิตจริงเช่นกัน เพราะทั้งสองเคยร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ทั้ง 3 ภาค โดยตอนนั้นแชดคือหนึ่งในทีมสตั๊นแมนนั่นเองครับ และ จอห์น วิค ภาคแรกที่ฉายปี 2014 ยังเป็นผลงานกำกับหนังเรื่องแรกของแชดอีกด้วย ***
แชดกระตุ้นให้คีอานูแสดงบุคลิกอันแตกต่างของ จอห์น วิค ออกมา “คีอานู จะดูอ่อนโยนเมื่อรับบทเป็น จอห์น ตอนเป็นคนธรรมดา แต่จะแข็งกร้าวขึ้นเมื่อ จอห์น วิค เข้าสู่โหมดนักฆ่า เราสามารถเห็นตัวละครนี้ได้สองด้าน ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง และนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบดูนักแสดงเล่น” แชดกล่าว
“ด้วยความเป็นคนพูดน้อย จอห์น วิค สลับไปมาระหว่าง 2 สภาวะจิตใจ เมื่อเขามีความรัก เขาจะสั่งตัวเองว่า ฉันต้องหยุดฆ่าคน แต่เมื่อเขากลับไปใช้ชีวิตแบบเก่า เขาคือฝันร้ายของผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา (Boogeyman) เมื่อเขาทำงานนักฆ่า เขาไม่รู้สึกผิดบาปอะไรทั้งนั้นเมื่อต้องฆ่าใคร”
+
+
แนะนำทีมงานคิวบู๊
แชด สตาเฮลสกี ผู้กำกับ และ เดวิด ลีทช์ ผู้อำนวยการสร้าง รวมถึงทีมงาน 87Eleven Action Design ต่างรู้สึกกดดันเพราะการเดิมพันที่สูงขึ้น John Wick: Chapter 2 จะทำให้แฟนๆต้องตกตะลึงด้วยฉากแอ็คชั่นสมจริง ไร้ซึ่งการใช้ลูกเล่นคอมพิวเตอร์ใดๆมาช่วย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเทคนิคเคลื่อนกล้อง และคิวบู๊ แทนที่จะพึ่งการตัดสลับเร็วๆ หรือให้กล้องแพนผ่านไปไวๆ ทุกอย่างเน้นไปที่การแสดงของ คีอานู รีฟส์ และเพื่อนๆนักแสดง รวมทั้งทีมสตั๊น ที่มอบชีวิตให้ฉากแอ็คชั่นด้วยหยาดเหงื่อปริมาณนับไม่ถ้วน และทีมสตั๊นท์นั้น สมาชิกส่วนใหญ่ของทีม คืออดีตทหารมากประสบการณ์
87Eleven คือหนึ่งในทีมงานยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญภาพยนตร์แอคชั่นสูงมากๆทีมหนึ่งในฮอลลีวู้ด ซึ่งก่อตั้งโดยอดีต 2 สตันท์แมน แชด สตาเฮลสกี(ผู้กำกับ) และ เดวิด ลีทช์(ผู้อำนวยการสร้าง) พวกเขามีเป้าหมายในการสร้างภาพยนตร์แอคชั่นที่แตกต่างจากอะไรเดิมๆ โดยเริ่มต้นจากการฟิตซ้อมทีมนักแสดงด้วยทีมงานมืออาชีพ และเมื่อเริ่มต้นการถ่ายทำ สตาเฮลสกีและไลทช์ จะทำงานร่วมกับทีมสตันท์และนักออกแบบท่าทางต่อสู้เพื่อผลงานที่สมบูรณ์แบบ
ผลงานที่ผ่านมาของพวกเขาได้แก่
The Bourne Legacy,
Expendables 3,
the Hunger Games ,
Teenage Mutant Ninja Turtles,
Jurassic World,
Anchorman 2,
Wolverine,
Dracula Untold,
John Wick (2014) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขาที่ได้เข้ามากำกับอย่างเต็มตัว ก่อนที่ประสบความสำเร็จจนได้มาทำภาคต่อ การเปลี่ยนจากสตันท์แมนมารับหน้าที่ผู้กำกับ ไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นได้ง่ายนัก แต่ทั้งไลทช์และสตาเฮลสกี ต่างก็เรียนรู้เรื่องของการถ่ายทำ การตัดต่อ ซึ่งส่งให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้กำกับได้ในที่สุด
“ในฐานะสตันท์แมน คุณจะกลายเป็นเหมือนผู้กำกับอยู่หน่อยๆ คุณต้องพูดคุยกับนักแสดงเกี่ยวกับการแสดง วิธีที่คุณจะแสดงฉากบู๊ ก็มีความเกี่ยวข้องกับภาพที่จะต้องออกมา ดังนั้นคุณจึงต้องทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพด้วย คุณจะได้เรียนรู้วิธีการแสดงฉากแอคชั่นให้ออกมาถูกจังหวะ ด้วยการใช้เลนส์และความเร็วของการถ่ายทำ”
ก่อนที่จะก่อตั้ง 87Eleven สตาเฮลสกีและไลทช์ ได้เรียนรู้วิธีการ เตะ ต่อย ต่อสู้ มาจนเรียกได้ว่า เป็นระดับสุดยอดของวงการเป็นเวลามากกว่า 20 ปี ทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรกในโรงเรียนสอนคาราเต้ ซึ่งหลังจากนั้นไลทช์ก็ได้ไปทำงานร่วมกับแบรด พิตต์ใน Fight Club, Mr. and Mrs. Smith, และ Troy ในขณะที่สตาเฮลสกี ทำงานร่วมกับแบรนดอน ลี ใน The Crow และร่วมกับคีอานู รีฟส์ใน Matrix "ตอนที่เราถ่ายทำ The Matrix เราได้เรียนรู้การต่อสู้แบบจีนครับ และเราอยากที่จะนำมันมาใช้ในโลกภาพยนตร์ของตะวันตกด้วย