Trekking to Khao Chang Phueak
ทริปแรกของปีนี้ "เขาช้างเผือก" ดินแดนที่นักเดินทางหลายคนอยากจะไปสัมผัส...ว่ากันว่าอะไรที่ยาก มักจะดึงดูดผู้คนที่ชอบท้าทายมากกว่าปกติ เราเองก็เช่นกัน
ช่วงเวลา : 27-28 มกราคม 60
เพราะเป็นเขาที่จองยากอันดับต้นๆของไทย จึงมีเรื่องราวก่อนเดินทางมากมาย เริ่มเปิดอุทยานเดือนธันวาคม พวกเราเป็นลูกทัวร์ที่ฝากความหวังไว้ที่ไกด์ กำหนดเป็นช่วง 13-14 มกราคม....แต่ก่อนเดินทาง 10 วัน ไกด์แจ้งว่าไม่สามารถจองให้กลุ่มไหนขึ้นได้เลย...
เมื่อแพลน A ล่ม แพลน B ของพวกเราคือลุ้นโทรจองกันเอง แล้วก็ทำสำเร็จ
แต่ก็นะ....การจองได้นั้นยากแล้ว การจะได้ขึ้นเขานั้นยากกว่า ก่อนเดินทางคืนนั้นมีประกาศปิดอุทยานเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
...แต่หลังจากนั้นสองอาทิตย์ พวกเราก็ได้โอกาสขึ้นเขาอีกครั้ง
......ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว.......
เมื่อมาถึงนักเดินทางต้องมาติดต่อที่นี่เป็นที่แรก บางคนกางเต็นท์รอซื้อตั๋วอุทยานตั้งแต่เมื่อคืน นอกจากจะเป็นจุดขายตั๋ว เราต้องมาลงทะเบียน เช่าเต็นท์และถุงนอนด้วย (นำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนด้วยตัวเอง ราคาเช่าเต็นท์ 3 คน 330 บาท , 2 คน 180 บาท)
มีนกเงือกชื่อ "...แจ๋วแหวว..." มาคอยต้อนรับด้านหน้าอุทยาน
ขับรถต่อไปบ้านอิต่อง เพื่อติดต่อลูกหาบ และรับข้าวห่อสำหรับมื้อกลางวัน (ติดต่อ ร้านน้องหน่อย 080-7885919 ห่อละ 40 บาท)
ตลอดการเดินทางขึ้นพิชิตเขาช้างเผือก แดดจะแรงมาก ควรเตรียมตัวนอนพักผ่อนให้เต็มที่ ทำตัวให้เบาที่สุด เลือกเฉพาะสิ่งที่จำเป็น เราแบกน้ำดื่มสองขวด ข้าวห่อ และช็อกโกแลตของโปรด
จากบ้านอิต่อง ถึงทางขึ้นเขา ได้ยินเสียงจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัยในวันตรุษจีนอยู่ไกลๆ....เราเริ่มต้นเดินในช่วงเช้า ประมาณ 9.00 น. อากาศเย็นนิดๆ มีแดดอ่อนๆ ช่วงแรกจะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ใหญ่พอได้บังแดดบ้าง
เริ่มเข้าสู่ดินแดนแห่งทุ่งหญ้า...ทุ่งหญ้าล้วนๆอากาศเริ่มร้อนขึ้น ผ้าปิดหน้าและหมวกจึงเป็นอีกสิ่งที่จำเป็น
จุดพักแต่ละจุดไม่ห่างกันมากนัก ทำให้นักเดินทางไม่เหนื่อยจนเกินไป เราว่ามันเหมาะกับการเดินป่าระยะไกลที่ร้อนมากแบบนี้
วิวด้านข้างเริ่มเห็นเป็นเนินเขาเตี้ยและสูงสลับกันไปมา
นักเดินป่ารุ่นพี่คนนึงเคยแนะเราตอนยังเป็นมือใหม่ ถ้าเดินไปสักครึ่งชั่วโมง แล้วหยุดพักสองสามนาที.....ทำให้เหนื่อยน้อยกว่าการเดินนานแล้วพักยาวๆทีเดียว... เราเชื่อและทำอย่างนั้นมาตลอด อาจจะถึงช้ากว่า แต่เหลือแรงที่จะไปต่อได้อีกสบายๆ
สันเขาเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการเดินต้องคอยหลบขยับพื้นที่ให้ลูกหาบที่แบกสัมภาระหนัก ได้ยินเสียงเพลงจากลำโพงเล็กของลูกหาบ พอได้คึกคักบ้าง
ธรรมชาติสอนเราอยู่อย่างนึง เวลาที่ใช้ความพยายามในการเดินขึ้นจนบางทีเหนื่อยแทบจะไม่ไหว แต่พอเงยมองไปด้านหน้า กลับเห็นทางราบและทางเดินลง ให้พอไปต่อได้อีก....และไม่ว่าจะเดินขึ้นเขาไหน เราก็จะเจออารมณ์นี้อยู่บ่อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีนะ
จุดพักตรงนี้จะร่มรื่นร่มเย็น พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าในฤดูฝนดงไผ่ก็คือดงทากนั่นเอง....เรานั่งพักแล้วหยิบห่อข้าวผัดกุนเชียงมากินรองท้อง มีลมเย็นๆผ่านช่องต้นไผ่สูงสีเขียว เป็นมื้อกลางวันที่เงียบสงบ ชาร์ตแบตก่อนลุยเขาสูงอีกสองลูก
ภาพทุ่งหญ้าสีทองตัดกับท้องฟ้าสว่างด้านบน ทำให้นึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน เจ้าชายน้อยบนดวงดาว บี 612...แต่แค่ดาวดวงนี้ แดดแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง
ช่วงที่เราเดินคนเดียว ทิ้งระยะห่างจากคนด้านหน้าและด้านหลัง...จิบน้ำ...มองเท้าที่ค่อยๆก้าวไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ......
สิ่งที่เมื่อเราหันหลังกลับไปมอง และสิ่งเบื้องหน้าที่กำลังจะเดินต่อ ช่วยคลายความเหนื่อยลงได้มากทีเดียว
นี้ชื่อ "เขาลูกช้าง" เขาลูกสุดท้ายก่อนถึงลานกางเต็นท์ เราว่าเสน่ห์ของที่นี่ไม่ใช่การเดินอ้อมเขาในแต่ละลูก แต่มันคือการขึ้นสุดลงสุดบนเขานั้นๆ คือเมื่อยืนบนยอดเขานึง สามารถเห็นเพื่อนอยู่บนอีกยอดเขานึงได้
ความสูงของสันเขาที่เรียงราย สลับซ้อนกันไปมา ทำให้มองเห็นความสมบูรณ์ของป่าไม้จากบนยอดเขา กลุ่มที่เห็นด้านล่างคือ ลานกางเต็นท์ ที่ลูกหาบกางรอเราพักใหญ่แล้ว
12.30 น. เรานอนเล่น กินคุ้กกี้ พักกำลังขาอยู่ที่ลานกางเต็นท์ รอเจ้าหน้าที่เรียกให้รวมตัวเพื่อปีนสันคมมีด เพราะเป็นเขาที่ร้อนมาก การพักก่อนปีนช่วงที่ต้องระมัดระวังที่สุดจึงสำคัญ
15.30 น. ทุกคนมารอที่ทางขึ้นสันคมมีด เข้าแถวและค่อยๆเดินขึ้นสันเขาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
"สันคมมีด" จุดที่นักเดินทางทุกคนอยากจะสัมผัส จากจุดนี้ไปจนถึงสันด้านบนจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี จูงมือเราเดินไปส่งจนถึงจุดที่เป็นทางเดิน ถึงตรงนี้เราเข้าใจเจ้าหน้าที่เลยว่าทำไมเมื่อสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจึงประกาศปิดเขา เพราะหินที่ลื่นและสองข้างทางเป็นเหวลึก ความปลอดภัยของนักเดินทางจึงสำคัญที่สุด
เดินลัดเลาะตามสันเขาและหญ้าสีทอง เป็นเอกลักษณ์ของเขาช้างเผือก ยอดเขาใหญ่ที่มีลักษณะเป็นภูเขาหญ้า มีหินบ้างตามสันเขา เทียบกับเขาแล้วผู้หญิงตัวเล็กอย่างเรายิ่งตัวเล็กลงไปอีก
และแล้ว......ความตั้งใจก็สำเร็จ เราหันไปยิ้มกับเพื่อน ไม่ได้พูดอะไรกันแต่เห็นแววตาแห่งความภูมิใจของเพื่อน เรายิ่งยิ้มกว้างไปอีก เพราะเหนือการพิชิตยอดเขา พวกเรายังได้พิชิตความกลัวลึกๆในใจอีกด้วย
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการรัวภาพบนยอด กับวิวเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือ เขื่อนเขาแหลม ด้านล่าง และบรรยากาศรอบเขา แล้วเดินกลับลานกางเต็นท์ก่อนพระอาทิตย์ตก
ลานกางเต็นท์ อากาศต่างจากตอนบ่ายลิบลับ บนนี้ไม่มีน้ำอาบ ต้องใช้ทิชชูเปียกเช็ดตัว เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ...ก็เริ่มเข้าครัวทำอาหาร แต่ก่อนจะเป็นลูกไกด์ทัวร์ตลอด ทริปนี้เป็นทริปแรกที่จัดกันเอง อาหารครั้งนี้ค่อนข้างพร้อม มีเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนข้างเต็นท์หม้อนึงและเต็นท์ลูกหาบอีกหม้อนึง....ท้องก็อิ่มใจก็อิ่ม
ยิ่งดึก ลมยิ่งแรง แมลงที่อยู่บนนี้ได้คงเป็นเผ่าพันธุ์ที่สตรองมาก....ฟ้าคืนนี้เปิดหมดไม่มีเมฆบังดาวค่อยๆชัดเจนขึ้น.....ไม่มีพระจันทร์ ภาพที่ได้มาจึงมืดสนิท แต่มองตาเปล่าสว่างชัดมาก...พวกเรานอนดูดาวกันอย่างเงียบๆ เปิดเพลงคลอเบาๆให้อินไปอีก
...♫ But are we all lost stars, trying to light up the dark...♫
ดาวสวยลอยเต็มฟ้า อากาศกลางคืนเรียกว่าหนาวเลยทีเดียว เกือบเที่ยงคืนแล้ว พวกเรารีบมุดเข้าเต็นท์แล้วนอน เก็บแรงไว้เดินพรุ่งนี้ต่อ
เสียงที่ปลุกเราตอนเช้า เป็นเสียงลมพัดเต็นท์อยู่ด้านนอก เราเดินไปผิงไฟกับลูกหาบ รอเก็บภาพยามเช้าเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง...พอพระอาทิตย์ขึ้นปุ๊บ อากาศร้อนเลยทันที
8.00 น. ทานอาหารเช้าเสร็จ เจ้าหน้าที่รีบเคลียนักเดินทางออกจากลานกางเต็นท์ พวกเราออกเป็นกลุ่มสุดท้าย
ขากลับในเส้นทางเดียวกับเมื่อวาน มีพี่เจ้าหน้าที่เดินปิดท้าย เดินไปก็เล่าเรื่องราวของเขาช้างเผือกให้ฟังตลอดทาง....ว่านอกเส้นทางที่เราเดินนี้มีน้ำตกสวย มีสัตว์ป่ามากมาย เล่าถึงชีวิตการทำงาน 11 ปีที่ต้องลาดตระเวนไปตามป่า อนุรักษ์ป่า และปกป้องป่า เล่าถึงการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ใกล้สัตว์ป่า.....เปิดอีกมุมมองป่าใหญ่ให้เราได้ฟังจนสุดทาง
ขอบคุณระยะทาง 22 กิโลเมตร กับยอดเขาสูง 1,249 เมตร ที่มอบอีกมุมมองการเดินทางของเราในวันหยุด.....ให้เราได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม ให้เข้าใจ เข้าถึง และเห็นคุณค่าของป่าไม้มากขึ้นไปกว่าเดิม
ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่และลูกหาบ ที่คอยช่วยเหลือ ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
ขอบคุณมิตรภาพจากเพื่อนในกลุ่มและเพื่อนใหม่แสนน่ารัก
***ข้อมูลการจองขึ้นเขาช้างเผือก ในเพจ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
***อ่านรายละเอียดให้เข้าใจ...รวมกลุ่มกัน แล้วช่วยกันโทรจองเหมือนที่กลุ่มเราทำนะ
**บัตรเข้าอุทยานสามารถนำไปยื่นเข้าน้ำตกจ้อกกระดิ่น ฟรี
Trekking to Khao Chang Phueak [ เ ข า ช้ า ง เ ผื อ ก ]
ทริปแรกของปีนี้ "เขาช้างเผือก" ดินแดนที่นักเดินทางหลายคนอยากจะไปสัมผัส...ว่ากันว่าอะไรที่ยาก มักจะดึงดูดผู้คนที่ชอบท้าทายมากกว่าปกติ เราเองก็เช่นกัน
เพราะเป็นเขาที่จองยากอันดับต้นๆของไทย จึงมีเรื่องราวก่อนเดินทางมากมาย เริ่มเปิดอุทยานเดือนธันวาคม พวกเราเป็นลูกทัวร์ที่ฝากความหวังไว้ที่ไกด์ กำหนดเป็นช่วง 13-14 มกราคม....แต่ก่อนเดินทาง 10 วัน ไกด์แจ้งว่าไม่สามารถจองให้กลุ่มไหนขึ้นได้เลย...
เมื่อแพลน A ล่ม แพลน B ของพวกเราคือลุ้นโทรจองกันเอง แล้วก็ทำสำเร็จ
แต่ก็นะ....การจองได้นั้นยากแล้ว การจะได้ขึ้นเขานั้นยากกว่า ก่อนเดินทางคืนนั้นมีประกาศปิดอุทยานเนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
...แต่หลังจากนั้นสองอาทิตย์ พวกเราก็ได้โอกาสขึ้นเขาอีกครั้ง
เมื่อมาถึงนักเดินทางต้องมาติดต่อที่นี่เป็นที่แรก บางคนกางเต็นท์รอซื้อตั๋วอุทยานตั้งแต่เมื่อคืน นอกจากจะเป็นจุดขายตั๋ว เราต้องมาลงทะเบียน เช่าเต็นท์และถุงนอนด้วย (นำบัตรประชาชนมาลงทะเบียนด้วยตัวเอง ราคาเช่าเต็นท์ 3 คน 330 บาท , 2 คน 180 บาท)
มีนกเงือกชื่อ "...แจ๋วแหวว..." มาคอยต้อนรับด้านหน้าอุทยาน
ขับรถต่อไปบ้านอิต่อง เพื่อติดต่อลูกหาบ และรับข้าวห่อสำหรับมื้อกลางวัน (ติดต่อ ร้านน้องหน่อย 080-7885919 ห่อละ 40 บาท)
ตลอดการเดินทางขึ้นพิชิตเขาช้างเผือก แดดจะแรงมาก ควรเตรียมตัวนอนพักผ่อนให้เต็มที่ ทำตัวให้เบาที่สุด เลือกเฉพาะสิ่งที่จำเป็น เราแบกน้ำดื่มสองขวด ข้าวห่อ และช็อกโกแลตของโปรด
จากบ้านอิต่อง ถึงทางขึ้นเขา ได้ยินเสียงจุดประทัดเอาฤกษ์เอาชัยในวันตรุษจีนอยู่ไกลๆ....เราเริ่มต้นเดินในช่วงเช้า ประมาณ 9.00 น. อากาศเย็นนิดๆ มีแดดอ่อนๆ ช่วงแรกจะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้ใหญ่พอได้บังแดดบ้าง
เริ่มเข้าสู่ดินแดนแห่งทุ่งหญ้า...ทุ่งหญ้าล้วนๆอากาศเริ่มร้อนขึ้น ผ้าปิดหน้าและหมวกจึงเป็นอีกสิ่งที่จำเป็น
จุดพักแต่ละจุดไม่ห่างกันมากนัก ทำให้นักเดินทางไม่เหนื่อยจนเกินไป เราว่ามันเหมาะกับการเดินป่าระยะไกลที่ร้อนมากแบบนี้
วิวด้านข้างเริ่มเห็นเป็นเนินเขาเตี้ยและสูงสลับกันไปมา
นักเดินป่ารุ่นพี่คนนึงเคยแนะเราตอนยังเป็นมือใหม่ ถ้าเดินไปสักครึ่งชั่วโมง แล้วหยุดพักสองสามนาที.....ทำให้เหนื่อยน้อยกว่าการเดินนานแล้วพักยาวๆทีเดียว... เราเชื่อและทำอย่างนั้นมาตลอด อาจจะถึงช้ากว่า แต่เหลือแรงที่จะไปต่อได้อีกสบายๆ
สันเขาเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการเดินต้องคอยหลบขยับพื้นที่ให้ลูกหาบที่แบกสัมภาระหนัก ได้ยินเสียงเพลงจากลำโพงเล็กของลูกหาบ พอได้คึกคักบ้าง
ธรรมชาติสอนเราอยู่อย่างนึง เวลาที่ใช้ความพยายามในการเดินขึ้นจนบางทีเหนื่อยแทบจะไม่ไหว แต่พอเงยมองไปด้านหน้า กลับเห็นทางราบและทางเดินลง ให้พอไปต่อได้อีก....และไม่ว่าจะเดินขึ้นเขาไหน เราก็จะเจออารมณ์นี้อยู่บ่อยๆ ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีนะ
จุดพักตรงนี้จะร่มรื่นร่มเย็น พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าในฤดูฝนดงไผ่ก็คือดงทากนั่นเอง....เรานั่งพักแล้วหยิบห่อข้าวผัดกุนเชียงมากินรองท้อง มีลมเย็นๆผ่านช่องต้นไผ่สูงสีเขียว เป็นมื้อกลางวันที่เงียบสงบ ชาร์ตแบตก่อนลุยเขาสูงอีกสองลูก
ภาพทุ่งหญ้าสีทองตัดกับท้องฟ้าสว่างด้านบน ทำให้นึกถึงหนังสือที่เคยอ่าน เจ้าชายน้อยบนดวงดาว บี 612...แต่แค่ดาวดวงนี้ แดดแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง
ช่วงที่เราเดินคนเดียว ทิ้งระยะห่างจากคนด้านหน้าและด้านหลัง...จิบน้ำ...มองเท้าที่ค่อยๆก้าวไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ......
สิ่งที่เมื่อเราหันหลังกลับไปมอง และสิ่งเบื้องหน้าที่กำลังจะเดินต่อ ช่วยคลายความเหนื่อยลงได้มากทีเดียว
นี้ชื่อ "เขาลูกช้าง" เขาลูกสุดท้ายก่อนถึงลานกางเต็นท์ เราว่าเสน่ห์ของที่นี่ไม่ใช่การเดินอ้อมเขาในแต่ละลูก แต่มันคือการขึ้นสุดลงสุดบนเขานั้นๆ คือเมื่อยืนบนยอดเขานึง สามารถเห็นเพื่อนอยู่บนอีกยอดเขานึงได้
ความสูงของสันเขาที่เรียงราย สลับซ้อนกันไปมา ทำให้มองเห็นความสมบูรณ์ของป่าไม้จากบนยอดเขา กลุ่มที่เห็นด้านล่างคือ ลานกางเต็นท์ ที่ลูกหาบกางรอเราพักใหญ่แล้ว
12.30 น. เรานอนเล่น กินคุ้กกี้ พักกำลังขาอยู่ที่ลานกางเต็นท์ รอเจ้าหน้าที่เรียกให้รวมตัวเพื่อปีนสันคมมีด เพราะเป็นเขาที่ร้อนมาก การพักก่อนปีนช่วงที่ต้องระมัดระวังที่สุดจึงสำคัญ
15.30 น. ทุกคนมารอที่ทางขึ้นสันคมมีด เข้าแถวและค่อยๆเดินขึ้นสันเขาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
"สันคมมีด" จุดที่นักเดินทางทุกคนอยากจะสัมผัส จากจุดนี้ไปจนถึงสันด้านบนจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี จูงมือเราเดินไปส่งจนถึงจุดที่เป็นทางเดิน ถึงตรงนี้เราเข้าใจเจ้าหน้าที่เลยว่าทำไมเมื่อสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจึงประกาศปิดเขา เพราะหินที่ลื่นและสองข้างทางเป็นเหวลึก ความปลอดภัยของนักเดินทางจึงสำคัญที่สุด
เดินลัดเลาะตามสันเขาและหญ้าสีทอง เป็นเอกลักษณ์ของเขาช้างเผือก ยอดเขาใหญ่ที่มีลักษณะเป็นภูเขาหญ้า มีหินบ้างตามสันเขา เทียบกับเขาแล้วผู้หญิงตัวเล็กอย่างเรายิ่งตัวเล็กลงไปอีก
และแล้ว......ความตั้งใจก็สำเร็จ เราหันไปยิ้มกับเพื่อน ไม่ได้พูดอะไรกันแต่เห็นแววตาแห่งความภูมิใจของเพื่อน เรายิ่งยิ้มกว้างไปอีก เพราะเหนือการพิชิตยอดเขา พวกเรายังได้พิชิตความกลัวลึกๆในใจอีกด้วย
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการรัวภาพบนยอด กับวิวเขื่อนวชิราลงกรณ์ หรือ เขื่อนเขาแหลม ด้านล่าง และบรรยากาศรอบเขา แล้วเดินกลับลานกางเต็นท์ก่อนพระอาทิตย์ตก
ลานกางเต็นท์ อากาศต่างจากตอนบ่ายลิบลับ บนนี้ไม่มีน้ำอาบ ต้องใช้ทิชชูเปียกเช็ดตัว เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ...ก็เริ่มเข้าครัวทำอาหาร แต่ก่อนจะเป็นลูกไกด์ทัวร์ตลอด ทริปนี้เป็นทริปแรกที่จัดกันเอง อาหารครั้งนี้ค่อนข้างพร้อม มีเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนข้างเต็นท์หม้อนึงและเต็นท์ลูกหาบอีกหม้อนึง....ท้องก็อิ่มใจก็อิ่ม
ยิ่งดึก ลมยิ่งแรง แมลงที่อยู่บนนี้ได้คงเป็นเผ่าพันธุ์ที่สตรองมาก....ฟ้าคืนนี้เปิดหมดไม่มีเมฆบังดาวค่อยๆชัดเจนขึ้น.....ไม่มีพระจันทร์ ภาพที่ได้มาจึงมืดสนิท แต่มองตาเปล่าสว่างชัดมาก...พวกเรานอนดูดาวกันอย่างเงียบๆ เปิดเพลงคลอเบาๆให้อินไปอีก
...♫ But are we all lost stars, trying to light up the dark...♫
ดาวสวยลอยเต็มฟ้า อากาศกลางคืนเรียกว่าหนาวเลยทีเดียว เกือบเที่ยงคืนแล้ว พวกเรารีบมุดเข้าเต็นท์แล้วนอน เก็บแรงไว้เดินพรุ่งนี้ต่อ
เสียงที่ปลุกเราตอนเช้า เป็นเสียงลมพัดเต็นท์อยู่ด้านนอก เราเดินไปผิงไฟกับลูกหาบ รอเก็บภาพยามเช้าเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง...พอพระอาทิตย์ขึ้นปุ๊บ อากาศร้อนเลยทันที
8.00 น. ทานอาหารเช้าเสร็จ เจ้าหน้าที่รีบเคลียนักเดินทางออกจากลานกางเต็นท์ พวกเราออกเป็นกลุ่มสุดท้าย
ขากลับในเส้นทางเดียวกับเมื่อวาน มีพี่เจ้าหน้าที่เดินปิดท้าย เดินไปก็เล่าเรื่องราวของเขาช้างเผือกให้ฟังตลอดทาง....ว่านอกเส้นทางที่เราเดินนี้มีน้ำตกสวย มีสัตว์ป่ามากมาย เล่าถึงชีวิตการทำงาน 11 ปีที่ต้องลาดตระเวนไปตามป่า อนุรักษ์ป่า และปกป้องป่า เล่าถึงการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ใกล้สัตว์ป่า.....เปิดอีกมุมมองป่าใหญ่ให้เราได้ฟังจนสุดทาง
ขอบคุณระยะทาง 22 กิโลเมตร กับยอดเขาสูง 1,249 เมตร ที่มอบอีกมุมมองการเดินทางของเราในวันหยุด.....ให้เราได้สัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม ให้เข้าใจ เข้าถึง และเห็นคุณค่าของป่าไม้มากขึ้นไปกว่าเดิม
ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่และลูกหาบ ที่คอยช่วยเหลือ ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
ขอบคุณมิตรภาพจากเพื่อนในกลุ่มและเพื่อนใหม่แสนน่ารัก
***ข้อมูลการจองขึ้นเขาช้างเผือก ในเพจ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
***อ่านรายละเอียดให้เข้าใจ...รวมกลุ่มกัน แล้วช่วยกันโทรจองเหมือนที่กลุ่มเราทำนะ
**บัตรเข้าอุทยานสามารถนำไปยื่นเข้าน้ำตกจ้อกกระดิ่น ฟรี