เกิด ที่บางรัก
บทที่ 1 การเดินทาง ไปบางกอก
ในขณะที่ครอบครัวของโจวเหยียนเหว่ยกำลังจะออกเดินทางไปสยาม ก็ได้รับข่าวดีที่ทำให้ต้องเลื่อน การเดินทางออกไปอีกพักหนึ่ง ข่าวดีนั้นคือ โจวถิงถิง ตั้งครรภ์แรกได้สามเดือน ทุกคนภายในบ้าน ต่างยินดี ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะบิดามารดาของ โจวเหยียนเหว่ย เพราะต้องการหลานมาสืบสกุลโจว ในรุ่นต่อไป แต่เนื่องจากโรงงานของโจวเหยียนเหว่ยที่ฮ่องกงได้ตกลงขายให้กับเพื่อนในวงการเดียวกันไปแล้ว เขาจึง พาภรรยา อาเจิน และหัวหน้างานคนสนิท เดินทางไปพักที่กวางเจาก่อน เพื่อรอเวลาเดินทางไปสยาม โดยไปพัก ในละแวกใกล้ๆ กับโรงงานที่กวางเจา
นั่นเป็นเพราะการเดินทางไปสยามนั้น ต้องเดินทางด้วยเรือสำเภา โดยใช้เวลายาวนาน เนื่องจากเรือสำเภา ต้องอาศัยลมที่พัดจากเหนือลงใต้ ซึ่งนั่นก็คือ ช่วงปลายฤดูฝนเข้าต้นฤดูหนาว เรื่อยไปจนถึง ต้นฤดูร้อน ลมจึงย้อนกลับจากใต้ขึ้นเหนือ กำหนดคลอดของ ถิงถิงจะเป็นช่วงหลังเดือน ตุลาคม และเมื่อคลอด ก็ยังเดินทางไม่ได้อยู่ดี เพราะต้องรอให้บุตรที่จะเกิด โตพอที่จะเดินทางไกล ไปกับเรือสำเภา ซึ่งใช้เวลา เดินทางไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
โจวเหยียนเหว่ย กลับมาควบคุมกิจการโรงงานที่กวางเจา ซึ่งจะว่าไป โรงงานนี้เป็นโรงงานแห่งแรกที่เขาเปิด ก่อนที่จะขยายกิจการอีกแห่งที่ฮ่องกง แต่เขาต้องขายโรงงานที่ฮ่องกงก่อน ก็เพื่อเป็นเงินทุนไปเปิดโรงงาน ที่สยาม ส่วนโรงงานนี้เมื่อถึงเวลา เขาก็จะขายกิจการนี้ให้กับเพื่อนสนิท ซึ่งตกลงซื้อขายไว้แล้วโดยได้วาง เงินมัดจำไว้ก่อน เมื่อโจวเหยียนเหว่ยย้ายออกก็จะทำเรื่องโอนกิจการให้ ส่วนโรงงานที่สยามได้สร้างอาคาร เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเครื่องจักรที่จะมาติดตั้งเท่านั้น
หกเดือนต่อมา ถิงถิงก็ถึงกำหนดคลอด ในขณะนี้เธออายุได้ 16 ปี เธอคลอดธิดาหน้าตาน่ารัก น่าชัง สุขภาพแข็งแรง ถึงแม้บิดามารดาของโจวเหยียนเหว่ยจะรู้สึกผิดหวัง เพราะต้องการให้หลานคนแรก เป็นเด็กชาย แน่นอนว่าแม้แต่ถิงถิงเองก็แอบรู้สึกผิดหวัง เพราะเธอต้องการให้ทุกคนสมหวัง แต่สำหรับ โจวเหยียนเหว่ย กลับไม่คิดแบบคนอื่นๆ เขากล่าวปลอบใจภรรยาว่า
"ความจริงคุณมีลูกสาวให้มันก็ไม่เลวนะ โดยแท้แล้วฉันชอบเด็กผู้หญิงมากกว่า เพราะเวลาฉัน กลับมาบ้าน ฉันก็จะมีเทพธิดาตัวน้อยๆ กับแม่เทพธิดามารอต้อนรับมันทำให้ฉันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง"
ถิงถิงมองสามีด้วยความรู้สึกตื้นตัน พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
"คุณพี่ไม่เสียใจจรืงๆหรือคะ ที่ลูกคนแรกของเราเป็นผู้หญิง"
โจวเหยียนเหว่ยลูบศีรษะภรรยาแล้วเลื่อนมาบีบแก้มอย่างแผ่วเบาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"เด็กโง่เธออย่าคิดมากสิ เรายังหนุ่มแน่น ยังมีลูกกันได้อีกเยอะแยะ ฉันไม่เขื่อว่า ฉันจะไม่สามารถ มีลูกชายได้ ถ้าคนที่สองไม่ได้ ฉันก็จะรอคนที่สาม ถ้าคนที่สามไม่ได้ ฉันก็จะรอคนที่สี่ แต่ถ้า ไม่มีจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะลูกของเราไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ฉันก็รักทั้งนั้น จะทำไงได้ล่ะ ก็ฉันรัก แม่ของเด็กคนนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วนี่นา"
ถิงถิงน้ำตาไหลหลั่งด้วยความปลาบปลื้ม เพราะแท้จริงเธอก็รักธิดาที่เพิ่งคลอดออกมา ไม่แตกต่างจากสามี หรืออาจจะมากกว่า ด้วยความเป็นแม่นั่นเอง แล้วประสบการณ์ในการคลอดครั้งนี้ มันทำให้ถิงถิง ได้วิชาใน การทำคลอดอีกด้วย นั่นเป็นเพราะความช่างสังเกต ใฝ่รู้ที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะใจจดจ่อกับการคลอด แต่เธอกลับจดจ่อกับขั้นตอนการทำคลอด เธอเห็นแม้กระทั่ง หมอตำแยใช้ชามกระเบื้องมาทุบแตก แล้วนำมาเผาไฟ ก่อนตัดสายสะดือออกจากรกออก พร้อมทั้ง การตีเด็ก ให้ร้องไห้ออกมา ถิงถิงจดจำกระบวนการได้เป็นลำดับขั้นตอนอย่างแม่นยำ
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2451 หรือปลายรัชกาลที่ ๕ ครอบครัวโจวเหยียนเหว่ยกับถิงถิง อาเจิน พร้อม ด้วยหัวหน้างานอีก 3 คน ก็เดินทางออกจากท่าเรือกวางเจา โดยเรือสำเภาขนาดใหญ่ แต่มิใช่เดินทางเฉพาะ ครอบครัวเขาเท่านั้น ยังมีอีกหลายครอบครัวที่อยู่ในบ้านเกิด เป็นเพราะบิดามารดาของโจวเหยียนเหว่ย ได้ไป ชักชวนเพื่อนบ้าน ให้มาตั้งรกรากที่สยามกันเกือบจะยกหมู่บ้าน ซึ่งโดยมากจะเป็นคนที่แซ่เดียวกันทั้งสิ้น
โดยโจวเหยียนเหว่ยเช็คตารางเดินเรืออย่างละเอียด เพราะตามกำหนดการนั้นเครื่องจักร จะมาถึงโรงงาน ของเขาในอีกสองเดือนข้างหน้า ทำให้เขาตัดสินใจขึ้นเรือสำเภาที่รู้จักกับเจ้าของเรือที่เป็นเพื่อนกับเถ้าแก่หลี่ จึงทำให้ตลอดการ เดินทางครอบครัวของเขาได้รับความสะดวกสบาย ในการเดินทาง 3 เดือน เพื่อถึงสยาม
ตลอดการเดินทางบนเรือสำเภาขนาดใหญ่ ที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แม้กระทั่งร้านอาหาร หรือบ่อน การพนันที่มีให้กับผู้เดินทางได้ผ่อนคลาย ส่วนห้องพยาบาลก็มีไว้บริการให้กับคนที่ป่วยไข้ ถิงถิงนั้นรู้สึก ตื่นเต้น ในการเดินทางครั้งนี้มากกว่าครั้งแรกที่ไปเที่ยวกับโจวเหยียนเหว่ยที่สิงคโปร์เสียอีก ในครั้งนั้น เขามีหน้าที่ต้องไปซ่อมเครื่องจักรที่นั่น และได้พาภรรยาไปด้วย จึงทำให้การท่องเที่ยวครั้งนั้น เหมือนเธอ ติดตามสามีไปทำงานด้วยมากกว่า
เมื่อเข้าสู่เดือนที่สองในระหว่างการเดินทาง มีผู้โดยสารหญิงคนหนึ่ง เกิดเจ็บท้องจะคลอดบนเรือสำเภาขณะ แล่นอยู่กลางมหาสมุทร ทำให้สามีของหญิงผู้นั้น ร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร
"ได้โปรดเถอะครับ มีใครเป็นหมอทำคลอดบ้างไหม เมียผมกำลังจะคลอดอยู่แล้ว"
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ที่ประสานกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงสาวที่ท้องแก่ใกล้คลอด ทำให้ ถิงถิงที่อุ้มบุตรสาววัยขวบเศษไว้ จึงลุกขึ้นให้โจวเหยียนเหว่ยอุ้มแทน และเดินเข้าไปหา
"ฉันเคยผ่านการคลอดมาแล้ว พอที่จะจำวิธีการคลอดมาได้บ้าง เชื่อใจฉันนะ ฉันจะช่วยอย่างสุดความ สามารถนะจะ"
สามีของหญิงท้องแก่ ก้มลงทำเหมือนจะกราบกราน ถิงถิงจะเข้าประคองให้ชายผู้นั้น มิให้ทำเช่นนั้น ชายผู้นั้น เอ่ยขอบคุณอย่างตื้นตัน
"ขอบคุณมากครับคุณหนู คุณหนูช่างจิตใจงดงาม เหมือนนางฟ้าของคนยาก ได้โปรดช่วยเมียผมด้วย นะครับ"
ถิงถิงหันมายังผู้คนที่อยู่ด้านหลัง จึงได้เห็นสายตาของโจวเหยียนเหว่ยนั้นปรากฎแววกังวลอยู่บ้าง ก่อนที่เขา จะถอนลมหายใจแล้วพยักหน้าให้กำลังใจภรรยา ถิงถิงยิ้มตอบ โดยอันดับแรกเธอต้องตั้งสติ มิให้ตื่น ตระหนก แล้วจึงตะโกนเรียกขออุปกรณ์ในการทำคลอด ที่เธอจำได้
"ใครก็ได้ช่วยไปต้มน้ำร้อนมา แล้วหาผ้าสะอาดๆมาให้หลายๆผืน ชามกระเบื้อง เตาไฟ และอ่างน้ำ พร้อมน้ำ ส่วนพี่ชาย คุณต้องกอดอาซ้อไว้ จับมือให้แน่น เอาล่ะทุกคนช่วยออกห่าง จากตรงจุดนี้ด้วยค่ะ"
ทุกคนต่างทำตามที่ถิงถิงบอก ในยามนี้เธอเป็นเหมือนคนที่มีอำนาจสูงสุด แม้ใบหน้าของเธอยังเยาว์วัยยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะ เธอเป็นผู้เดียวที่จะช่วยให้ แม่และเด็กรอดพ้นกับเหตุคับขันนี้ไปได้นั่นเอง ทุกคนในบริเวณนั้น ยืนลุ้นกันจนมือเย็น สามีของหญิงตั้งครรภ์หน้าซีดเมื่อเห็นการคลอดอย่างใกล้ชิด ถิงถิงเองถึงแม้จะมือสั่น ด้วยความตื่นเต้น แต่เธอกลับมีสติและทำตามขั้นตอน จนสามารถทำคลอดเด็กออกมาได้อย่างปลอดภัย
ผู้โดยสารที่ยืนอยู่ใกล้เคียง ต่างตบมือโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เด็กชายในอ้อมกอดถิงถิงร้องไห้เสียงดัง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ยินคำขอบคุณจากเด็กชาย เธอรู้สึกสุขใจ พร้อมประคองเด็กไปให้แม่ที่มี น้ำตา ไหลนองหน้า ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งสองสามีภรรยาน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน แล้วกล่าวออกมา
"ขอบคุณมากครับคุณหนู คุณหนูคือนางฟ้าของพวกเรา ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก ผมจะไม่มีวันลืม พระคุณของคุณหนู รวมทั้งทุกๆคน ตลอดชีวิต"
โจวเหยียนเหว่ย ยืนอุ้มบุตรสาวในอ้อมแขนจับจ้องด้านหลังภรรยาอย่างชื่นชม เขากระซิบให้ธิดาฟังว่า
"ตอนนี้แม่ของหนู ไม่ใช่นางฟ้าของเราสองคนแล้วนะ"
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ถิงถิงกลายเป็นที่รู้จักบนเรือสำเภา ทุกคนต่างพร้อมใจกันเรียกเธอว่า 'ท่านหมอน้อย' ถิงถิง รู้สึกเขินจนแก้มแดงในคำกล่าวยกย่อง แต่มิใช่เกิดจากความยินดีในคำยกย่องนั้น แต่เธอไม่รู้จะ ปฏิบัติตนอย่างไรเท่านั้น
อีกไม่เกินสามราตรีก็จะถึงท่าเรือหวั่งหลี บนเรือมีการเลี้ยงอาหารเย็น จากการรวบรวมเงินของผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะมาสังสรรค์ในวันนี้ แน่นอนว่าโจวเหยียนเหว่ยยอมจ่าย ลงขันด้วยเพื่อให้คนในครอบครัวรวมทั้งลูกน้องทั้งสามมาดื่มกินด้วย
---------------------
เกิด ที่บางรัก
บทที่ 1 การเดินทาง ไปบางกอก
ในขณะที่ครอบครัวของโจวเหยียนเหว่ยกำลังจะออกเดินทางไปสยาม ก็ได้รับข่าวดีที่ทำให้ต้องเลื่อน การเดินทางออกไปอีกพักหนึ่ง ข่าวดีนั้นคือ โจวถิงถิง ตั้งครรภ์แรกได้สามเดือน ทุกคนภายในบ้าน ต่างยินดี ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะบิดามารดาของ โจวเหยียนเหว่ย เพราะต้องการหลานมาสืบสกุลโจว ในรุ่นต่อไป แต่เนื่องจากโรงงานของโจวเหยียนเหว่ยที่ฮ่องกงได้ตกลงขายให้กับเพื่อนในวงการเดียวกันไปแล้ว เขาจึง พาภรรยา อาเจิน และหัวหน้างานคนสนิท เดินทางไปพักที่กวางเจาก่อน เพื่อรอเวลาเดินทางไปสยาม โดยไปพัก ในละแวกใกล้ๆ กับโรงงานที่กวางเจา
นั่นเป็นเพราะการเดินทางไปสยามนั้น ต้องเดินทางด้วยเรือสำเภา โดยใช้เวลายาวนาน เนื่องจากเรือสำเภา ต้องอาศัยลมที่พัดจากเหนือลงใต้ ซึ่งนั่นก็คือ ช่วงปลายฤดูฝนเข้าต้นฤดูหนาว เรื่อยไปจนถึง ต้นฤดูร้อน ลมจึงย้อนกลับจากใต้ขึ้นเหนือ กำหนดคลอดของ ถิงถิงจะเป็นช่วงหลังเดือน ตุลาคม และเมื่อคลอด ก็ยังเดินทางไม่ได้อยู่ดี เพราะต้องรอให้บุตรที่จะเกิด โตพอที่จะเดินทางไกล ไปกับเรือสำเภา ซึ่งใช้เวลา เดินทางไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
โจวเหยียนเหว่ย กลับมาควบคุมกิจการโรงงานที่กวางเจา ซึ่งจะว่าไป โรงงานนี้เป็นโรงงานแห่งแรกที่เขาเปิด ก่อนที่จะขยายกิจการอีกแห่งที่ฮ่องกง แต่เขาต้องขายโรงงานที่ฮ่องกงก่อน ก็เพื่อเป็นเงินทุนไปเปิดโรงงาน ที่สยาม ส่วนโรงงานนี้เมื่อถึงเวลา เขาก็จะขายกิจการนี้ให้กับเพื่อนสนิท ซึ่งตกลงซื้อขายไว้แล้วโดยได้วาง เงินมัดจำไว้ก่อน เมื่อโจวเหยียนเหว่ยย้ายออกก็จะทำเรื่องโอนกิจการให้ ส่วนโรงงานที่สยามได้สร้างอาคาร เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเครื่องจักรที่จะมาติดตั้งเท่านั้น
หกเดือนต่อมา ถิงถิงก็ถึงกำหนดคลอด ในขณะนี้เธออายุได้ 16 ปี เธอคลอดธิดาหน้าตาน่ารัก น่าชัง สุขภาพแข็งแรง ถึงแม้บิดามารดาของโจวเหยียนเหว่ยจะรู้สึกผิดหวัง เพราะต้องการให้หลานคนแรก เป็นเด็กชาย แน่นอนว่าแม้แต่ถิงถิงเองก็แอบรู้สึกผิดหวัง เพราะเธอต้องการให้ทุกคนสมหวัง แต่สำหรับ โจวเหยียนเหว่ย กลับไม่คิดแบบคนอื่นๆ เขากล่าวปลอบใจภรรยาว่า
"ความจริงคุณมีลูกสาวให้มันก็ไม่เลวนะ โดยแท้แล้วฉันชอบเด็กผู้หญิงมากกว่า เพราะเวลาฉัน กลับมาบ้าน ฉันก็จะมีเทพธิดาตัวน้อยๆ กับแม่เทพธิดามารอต้อนรับมันทำให้ฉันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง"
ถิงถิงมองสามีด้วยความรู้สึกตื้นตัน พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
"คุณพี่ไม่เสียใจจรืงๆหรือคะ ที่ลูกคนแรกของเราเป็นผู้หญิง"
โจวเหยียนเหว่ยลูบศีรษะภรรยาแล้วเลื่อนมาบีบแก้มอย่างแผ่วเบาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
"เด็กโง่เธออย่าคิดมากสิ เรายังหนุ่มแน่น ยังมีลูกกันได้อีกเยอะแยะ ฉันไม่เขื่อว่า ฉันจะไม่สามารถ มีลูกชายได้ ถ้าคนที่สองไม่ได้ ฉันก็จะรอคนที่สาม ถ้าคนที่สามไม่ได้ ฉันก็จะรอคนที่สี่ แต่ถ้า ไม่มีจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะลูกของเราไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ฉันก็รักทั้งนั้น จะทำไงได้ล่ะ ก็ฉันรัก แม่ของเด็กคนนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้วนี่นา"
ถิงถิงน้ำตาไหลหลั่งด้วยความปลาบปลื้ม เพราะแท้จริงเธอก็รักธิดาที่เพิ่งคลอดออกมา ไม่แตกต่างจากสามี หรืออาจจะมากกว่า ด้วยความเป็นแม่นั่นเอง แล้วประสบการณ์ในการคลอดครั้งนี้ มันทำให้ถิงถิง ได้วิชาใน การทำคลอดอีกด้วย นั่นเป็นเพราะความช่างสังเกต ใฝ่รู้ที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงจะใจจดจ่อกับการคลอด แต่เธอกลับจดจ่อกับขั้นตอนการทำคลอด เธอเห็นแม้กระทั่ง หมอตำแยใช้ชามกระเบื้องมาทุบแตก แล้วนำมาเผาไฟ ก่อนตัดสายสะดือออกจากรกออก พร้อมทั้ง การตีเด็ก ให้ร้องไห้ออกมา ถิงถิงจดจำกระบวนการได้เป็นลำดับขั้นตอนอย่างแม่นยำ
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2451 หรือปลายรัชกาลที่ ๕ ครอบครัวโจวเหยียนเหว่ยกับถิงถิง อาเจิน พร้อม ด้วยหัวหน้างานอีก 3 คน ก็เดินทางออกจากท่าเรือกวางเจา โดยเรือสำเภาขนาดใหญ่ แต่มิใช่เดินทางเฉพาะ ครอบครัวเขาเท่านั้น ยังมีอีกหลายครอบครัวที่อยู่ในบ้านเกิด เป็นเพราะบิดามารดาของโจวเหยียนเหว่ย ได้ไป ชักชวนเพื่อนบ้าน ให้มาตั้งรกรากที่สยามกันเกือบจะยกหมู่บ้าน ซึ่งโดยมากจะเป็นคนที่แซ่เดียวกันทั้งสิ้น
โดยโจวเหยียนเหว่ยเช็คตารางเดินเรืออย่างละเอียด เพราะตามกำหนดการนั้นเครื่องจักร จะมาถึงโรงงาน ของเขาในอีกสองเดือนข้างหน้า ทำให้เขาตัดสินใจขึ้นเรือสำเภาที่รู้จักกับเจ้าของเรือที่เป็นเพื่อนกับเถ้าแก่หลี่ จึงทำให้ตลอดการ เดินทางครอบครัวของเขาได้รับความสะดวกสบาย ในการเดินทาง 3 เดือน เพื่อถึงสยาม
ตลอดการเดินทางบนเรือสำเภาขนาดใหญ่ ที่พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แม้กระทั่งร้านอาหาร หรือบ่อน การพนันที่มีให้กับผู้เดินทางได้ผ่อนคลาย ส่วนห้องพยาบาลก็มีไว้บริการให้กับคนที่ป่วยไข้ ถิงถิงนั้นรู้สึก ตื่นเต้น ในการเดินทางครั้งนี้มากกว่าครั้งแรกที่ไปเที่ยวกับโจวเหยียนเหว่ยที่สิงคโปร์เสียอีก ในครั้งนั้น เขามีหน้าที่ต้องไปซ่อมเครื่องจักรที่นั่น และได้พาภรรยาไปด้วย จึงทำให้การท่องเที่ยวครั้งนั้น เหมือนเธอ ติดตามสามีไปทำงานด้วยมากกว่า
เมื่อเข้าสู่เดือนที่สองในระหว่างการเดินทาง มีผู้โดยสารหญิงคนหนึ่ง เกิดเจ็บท้องจะคลอดบนเรือสำเภาขณะ แล่นอยู่กลางมหาสมุทร ทำให้สามีของหญิงผู้นั้น ร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสาร
"ได้โปรดเถอะครับ มีใครเป็นหมอทำคลอดบ้างไหม เมียผมกำลังจะคลอดอยู่แล้ว"
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ที่ประสานกับเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงสาวที่ท้องแก่ใกล้คลอด ทำให้ ถิงถิงที่อุ้มบุตรสาววัยขวบเศษไว้ จึงลุกขึ้นให้โจวเหยียนเหว่ยอุ้มแทน และเดินเข้าไปหา
"ฉันเคยผ่านการคลอดมาแล้ว พอที่จะจำวิธีการคลอดมาได้บ้าง เชื่อใจฉันนะ ฉันจะช่วยอย่างสุดความ สามารถนะจะ"
สามีของหญิงท้องแก่ ก้มลงทำเหมือนจะกราบกราน ถิงถิงจะเข้าประคองให้ชายผู้นั้น มิให้ทำเช่นนั้น ชายผู้นั้น เอ่ยขอบคุณอย่างตื้นตัน
"ขอบคุณมากครับคุณหนู คุณหนูช่างจิตใจงดงาม เหมือนนางฟ้าของคนยาก ได้โปรดช่วยเมียผมด้วย นะครับ"
ถิงถิงหันมายังผู้คนที่อยู่ด้านหลัง จึงได้เห็นสายตาของโจวเหยียนเหว่ยนั้นปรากฎแววกังวลอยู่บ้าง ก่อนที่เขา จะถอนลมหายใจแล้วพยักหน้าให้กำลังใจภรรยา ถิงถิงยิ้มตอบ โดยอันดับแรกเธอต้องตั้งสติ มิให้ตื่น ตระหนก แล้วจึงตะโกนเรียกขออุปกรณ์ในการทำคลอด ที่เธอจำได้
"ใครก็ได้ช่วยไปต้มน้ำร้อนมา แล้วหาผ้าสะอาดๆมาให้หลายๆผืน ชามกระเบื้อง เตาไฟ และอ่างน้ำ พร้อมน้ำ ส่วนพี่ชาย คุณต้องกอดอาซ้อไว้ จับมือให้แน่น เอาล่ะทุกคนช่วยออกห่าง จากตรงจุดนี้ด้วยค่ะ"
ทุกคนต่างทำตามที่ถิงถิงบอก ในยามนี้เธอเป็นเหมือนคนที่มีอำนาจสูงสุด แม้ใบหน้าของเธอยังเยาว์วัยยิ่งนัก นั่นเป็นเพราะ เธอเป็นผู้เดียวที่จะช่วยให้ แม่และเด็กรอดพ้นกับเหตุคับขันนี้ไปได้นั่นเอง ทุกคนในบริเวณนั้น ยืนลุ้นกันจนมือเย็น สามีของหญิงตั้งครรภ์หน้าซีดเมื่อเห็นการคลอดอย่างใกล้ชิด ถิงถิงเองถึงแม้จะมือสั่น ด้วยความตื่นเต้น แต่เธอกลับมีสติและทำตามขั้นตอน จนสามารถทำคลอดเด็กออกมาได้อย่างปลอดภัย
ผู้โดยสารที่ยืนอยู่ใกล้เคียง ต่างตบมือโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เด็กชายในอ้อมกอดถิงถิงร้องไห้เสียงดัง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ยินคำขอบคุณจากเด็กชาย เธอรู้สึกสุขใจ พร้อมประคองเด็กไปให้แม่ที่มี น้ำตา ไหลนองหน้า ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งสองสามีภรรยาน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน แล้วกล่าวออกมา
"ขอบคุณมากครับคุณหนู คุณหนูคือนางฟ้าของพวกเรา ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก ผมจะไม่มีวันลืม พระคุณของคุณหนู รวมทั้งทุกๆคน ตลอดชีวิต"
โจวเหยียนเหว่ย ยืนอุ้มบุตรสาวในอ้อมแขนจับจ้องด้านหลังภรรยาอย่างชื่นชม เขากระซิบให้ธิดาฟังว่า
"ตอนนี้แม่ของหนู ไม่ใช่นางฟ้าของเราสองคนแล้วนะ"
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ถิงถิงกลายเป็นที่รู้จักบนเรือสำเภา ทุกคนต่างพร้อมใจกันเรียกเธอว่า 'ท่านหมอน้อย' ถิงถิง รู้สึกเขินจนแก้มแดงในคำกล่าวยกย่อง แต่มิใช่เกิดจากความยินดีในคำยกย่องนั้น แต่เธอไม่รู้จะ ปฏิบัติตนอย่างไรเท่านั้น
อีกไม่เกินสามราตรีก็จะถึงท่าเรือหวั่งหลี บนเรือมีการเลี้ยงอาหารเย็น จากการรวบรวมเงินของผู้โดยสารที่มีความประสงค์จะมาสังสรรค์ในวันนี้ แน่นอนว่าโจวเหยียนเหว่ยยอมจ่าย ลงขันด้วยเพื่อให้คนในครอบครัวรวมทั้งลูกน้องทั้งสามมาดื่มกินด้วย
---------------------