เกิดที่บางรัก
บทนำ
ความหนาวเย็นจากลมหนาวในช่วงเดือนมกราคมทำให้ชายหนุ่มต้องขยับปกเสื้อเพื่อปิดลมที่พัดผ่าน มาจากทางเหนือ ธรทร เดินไปที่แกรนด์เปียโนสีดำ ชายหนุ่มมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะนั่งลงที่ตำแหน่งหน้า เปียโนหลังนั้น คำพูดหนึ่งลอยเข้ามาในห้วงความคิด
"หลานรัก ในโลกไม่อะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์ ถ้าเราตั้งใจจริง ปรารถนาในสิ่งที่ดี เพื่อส่งต่อให้คนได้พบหนทาง เราต้องทำมันสำเร็จแน่นอน อย่าดูแคลนสติปัญญาของตนเอง"
ชายหนุ่มหลับตาแล้ว ปล่อยให้ดนตรีจากเสียงกระทบของสายโลหะหลั่งไหลไหววนเป็นเพลงที่เหมือนดั่งว่า เพลงนี้มันจะไม่จบลง
คุณย่า...
หลี่ถิงถิง ธิดาคนสุดท้องของ หลี่ซันนายธนาคารแห่งหนึ่งในกวางเจา หญิงสาวอายุยังไม่ครบ 15 ปี แต่ต้องมาเป็นคุณนายโจว สามีของ เธอคือ โจวเหยียนเหว่ย อายุมากกว่าเธอ 11 ปี เป็นวิศวกรเครื่องจักร ชายหนุ่มฐานะมั่นคง สร้างตัวจาก เด็กชาวนายากจน ผลักดันตนเองจากชนชั้นเกือบต่ำสุด มายืนอยู่ในสังคม ชั้นสูง ด้วยความพยายามในการ ที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เขาสามารถพูดได้ทั้ง จีนกลาง กวางตุ้ง แต้จิ๊ว อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รวมทั้งภาษาไทย
ด้วยเขาต้องเป็นผู้ประสานงานทั้งนายช่างใหญ่ที่เป็นชาวต่างชาติ กับคนงานที่เป็นชาวพื้นเมือง และต่างถิ่น เขาจึงจำเป็นต้องเพิ่มทักษะด้านภาษา โจวเหยียนเหว่ยจึงกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอม มีเศรษฐีวงการต่างๆ ต้องการให้ชายหนุ่มไปเป็นลูกเขย แต่เขากลับมาตกล่องปล่องชิ้นกับคุณหนูคนเล็กของตระกูลหลี่
ถึงแม้ หลี่ถิงถิง จะเป็นคุณหนูจากตะกูลหลี่นายธนาคารที่ร่ำรวยในกวางเจา แต่เธอกลับมิได้เล่าเรียน หนังสือเหมือนพี่ชายของเธอ เพราะถ้าเป็นผู้หญิงมีหน้าที่ที่จะเป็นแม่บ้านให้กับคนที่ครอบครัวได้เลือกไว้ เพราะฉะนั้นการร่ำเรียนในวิชาความรู้ จึงเป็นเรื่องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ในตอนแรกหญิงสาวก็รู้สึกแปลกใจที่ทุกคนในบ้านตื่นเต้น ที่โจวเหยียนเหว่ย ยอมรับเธอเพื่อเป็นภรรยา เพราะจะว่าไป นายโจวคนนี้ ไม่มีทางมีเงินมากไปกว่า บิดาเธออย่างแน่นอน ในสายตาของ ถิงถิง จึงมองว่า การแต่งงานครั้งนี้ คือการตอบแทนบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เมื่อท่านสั่งสิ่งใดมา ถ้าเธอทำได้เธอก็จะทำ
งานแต่งงานจัดอย่างสมเกียรติ เป็นไปตามประเพณี โดยมีญาติทั้งฝ่ายเจ้าบ่าว เจ้าสาว รวมทั้งเพื่อนร่วมงาน ดื่มกินอย่างเต็มที่ งานพิธีจบลงด้วยการส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ เป็นเรือนหอที่ทางเถ้าแก่หลี่สร้างให้เป็น ของขวัญแด่คู่บ่าวสาว ส่วนการดื่มกินยังคงดำเนินต่อไป ตราบที่สุราหรือเครื่องดื่มกับอาหารรสเลิศ ยังไม่ หมดสิ้น
คืนเข้าหอวันแรกหญิงสาวใจเต้นจนกายสั่นสะท้าน เธอเคยได้ยินสาวรับใช้เคยเล่าเรื่องการเข้าหอ ว่ามีเรื่อง น่ากลัวเกิดขึ้นมากมาย มันทำให้เธอหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ถิงถิง นั่งอยู่บนเตียงไม้ ใจเต้นแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อ โจวเหยียนเหว่ย เดินเข้ามาหา ในชุดเสื้อชุดเจ้าบ่าวสีแดงสด เมื่อเข้ามาถึงข้างกายเธอ เขาจึงเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันรู้ว่าเธอคงยังไม่คุ้นชินในหน้าที่ภรรยา เอาล่ะเธอไปเปลี่ยนเสื้อก่อนละกัน วันนี้เธอคงเหนื่อยแล้ว"
ถิงถิงเริ่มคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง เพราะตั้งแต่ที่เธอพบโจวเหยียนเหว่ย ในงานเลี้ยงครบรอบ วันก่อ ตั้งธนาคาร โจวเหยียนเหว่ยได้รับเชิญมาร่วมงานในฐานะตัวแทนของลูกค้ารายใหญ่ เขาได้นั่งร่วมโต๊ะกับ บิดากับคนในครอบครัวของเธอ
พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวในเรื่องธุรกิจอสังหาฯ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปของการดำเนินธุรกิจ ในแผ่นดินใหญ่ เขาสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ใกล้เคียงตามความคิดของเถ้าแก่หลี่ ซึ่งนั่งฟังอยู่ข้างๆ เถ้าแก่หลี่คือบิดาของถิงถิง มองชายหนุ่มด้วยสายตาชื่นชม
ส่วนถิงถิงนั้น ถึงได้ร่วมโต๊ะ แต่เธอก็มิได้พูดจาอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว แต่เธอก็รู้สึกใจเต้นแรง เมื่อเขา เหลือบสายตามามองเพียงแวบเดียว นั่นเป็นเพราะโจวเหยียนเหว่ยนั้น มีใบหน้าคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เมื่อแต่งกายด้วยชุดสูทสากล ยิ่งขับบุคลิกให้ดูราวคุณชายในตระกูลใหญ่
หลังจากวันนั้นไม่นาน เธอก็ถูกเรียกเข้าไปพบบิดาในห้องทำงาน แล้วเธอก็ได้รับมอบหมาย ให้แต่งงานกับ โจวเหยียนเหว่ย แน่นอนว่าเธอไม่กล้าปฏิเสธ เพราะคำสั่งของบิดามารดานั้นคือสิ่งที่ลูกต้องปฏิบัติตาม ความจริง เธอรู้อยู่เต็มหัวใจว่าสักวัน คงต้องได้รับคำสั่งแบบนี้ เหมือนพี่สาวทั้ง 3 ก่อนหน้า แต่เธอไม่คิดว่า จะเร็วถึง เพียงนี้ แล้วเวลานี้เธอเพิ่งได้ยินเสียงที่เขาเอ่ยกับเธอเป็นครั้งแรก ถิงถิง จึงตอบกับชายหนุ่ม ที่จะเป็นสามีของเธอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เป็นคำสั้นๆว่า
"ค่ะ"
แล้วเธอก็รีบเดินลงจะลงข้างล่างเพื่อเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเธอกำลังจะออกจากห้อง ชายหนุ่มจึง ร้องห้ามเมื่อเห็น หญิงสาวกำลังจะเปิดประตู เพราะเธอมัวแต่ขวยเขินจนลืมคำเตือนจากฝ่ายพิธี แจ้งมิให้เธอก้าวออกจากห้อง หอในคืนส่งตัวอย่างเด็ดขาด
"ถิงถิง เธอจะออกจากห้องหอไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะโดนผู้ใหญ่ตำหนิ คือฉันเตรียมน้ำอุ่นให้เธอเช็ดตัว กับเสื้อนอนให้เธอ ในห้องแต่งตัว เอ่อจริงด้วยฉันยังไม่ให้เธอรู้จักห้องของเราเลย มาฉันจะพาเธอ ไปที่ห้อง แต่งตัว"
โจวเหยียนเหว่ยเดินไปจูงมือหญิงสาวไปที่ห้องแต่งตัวเป็นห้องที่กั้นด้วยม่านลูกปัดในมุมห้อง ในห้อง แต่งตัว จะมีตู้เสื้อผ้า 2 ตู้คู่กัน แน่นอนว่าตู้หนึ่งเป็นของเขา อีกตู้เป็นของเธอ มุมด้านในมีอ่างน้ำอุ่น มีผ้า ขนหนูสีสะอาด และกระโถน เพื่อทำธุระเบาในมุมนั้น แน่นอนว่ามีไว้เพื่อให้ใช้ เมื่อจำเป็น โจวเหยียนเหว่ย เปิดตู้เสื้อผ้าของเธอให้ทราบ สายตาที่ชายหนุ่มมองมายังเธอนั้น มิได้บ่งบอกว่าเขาจะแสดงความเป็น เจ้าของเธอแม้แต่น้อย มันทำให้เธอวางใจไปได้ส่วนหนึ่ง
เมื่อเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแพรสีชมพูลายดอกเหมย ในขณะที่โจวเหยียนเหว่ย นั่งอ่านหนังสือ บนเตียงนอน โดยหัวเตียงมีไฟจากโคมไฟตั้งพื้นให้ความสว่าง ถิงถิง เดินขึ้นเตียงอย่างช้าๆ ใจเริ่มเต้นแรง อีกครั้ง โจวเหยียนเหว่ย อดหัวเราะเบาๆ มิได้ เพราะเมื่อหญิงสาวนอนก็ดึงผ้าห่มคลุมถึงไหล่ พร้อมทั้งใช้ หมอนข้างกั้น ระหว่างเขากับเธอ
"เธอคิดว่า หมอนข้างแค่นี้จะขวางฉันได้หรือ หึๆ"
หญิงสาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวมากขึ้น เพราะที่เธอกลัวก็คือสิ่งนั้นจริงๆ
"เธอไม่ต้องกลัว ฉันรอเธอจนกว่าเธอจะพร้อม อืมฉันได้ยินว่า เธอชอบฟังคนอ่านหนังสือ เพราะฉัน รู้มาว่าเธอต้อง การเรียนหนังสือแต่คุณพ่อไม่ให้เธอเรียน ถ้าเธอต้องการเรียนฉันจะสอนเธอเอง เธออยาก เรียนไหม"
ถิงถิงค่อยๆ หันมาที่ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงนั้นค่อนข้างเบา
"ฉันมีหน้าที่สำคัญมากกว่าการเรียนหนังสือ นั่นคือการเป็นภรรยาที่ดีให้คุณ..คุณโจว"
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง
"แล้วปกติเธอนอนเปิดไฟ หรือปิดไฟล่ะ เธอบอกมาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ"
"ปกติฉันนอนปิดไฟ แต่วันนี้ฉันขอให้เปิดไฟทิ้งไว้ก่อนดีกว่าค่ะ"
"ได้สิ ฉันก็อยากให้เปิดไฟแบบนี้เหมือนกัน"
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมใช้สายตาที่อ่อนโยนจับจ้องใบหน้าที่งดงามของหญิงสาว เพราะเมื่อถิงถิงเช็ดเครื่อง สำอางออก กลับทำให้หญิงสาวงดงามมากขึ้น ไฟแสงวอร์ม จับต้องแก้มที่แดงปลั่ง ดวงตาของสาวน้อย สะท้อนแสงไฟระยิบดั่งดวงดาวที่สะกาวบนฟากฟ้า แล้วถิงถิงก็ไม่สามารถทานทนต่อสายตาของชายหนุ่ม จึงขยับกายเพื่อหันหลังกลับ แต่เธอกลับทำมิได้ เพราะมือของเขามาจับที่หัวไหล่ที่สั่นไหวนั่นไว้
"ถิงถิงเธออย่าหันกลับไปเลยนะ เพราะฉันต้องการมอง...ภรรยาแสนสวยของฉันตลอดทั้งคืน ได้โปรด"
หญิงสาวแสดงอาการเพียงใบหน้าแดงมากขึ้น ไม่ยิ้ม ไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น เธอได้แต่จ้องมองเขา เท่านั้น แล้วทั้งสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันถึงเช้า มิได้ทำอะไรเลยในค่ำคืนแรกของการส่งตัว
------------------------
หลังจากที่ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ ผ่านไป 8 เดือน อย่างราบรื่น ถิงถิงทำหน้าที่ภรรยาเป็นอย่างดี และเธอ สามารถทำหน้าที่ ลูกสะไภ้จนเป็นที่รักของคนในครอบครัว แม้เธอจะอายุเพียง เข้าสู่ 15 ปีหมาดๆ แม้น้องๆ ของสามีจะอายุ มากกว่า แต่เธอก็ได้รับเกียรติในฐานะอาซ้อ (ภรรยาของพี่ชาย) โจวเหยียนเหว่ย ก็แจ้งข่าว สำคัญกับเธอว่า
"ฉันคิดว่าจะไปเปิดโรงงานที่ บางกอก เธอต้องเตรียมตัวไว้ เพราะเราน่าจะเดินทางใน อีก 3 ถึง 4 เดือนข้างหน้านี้ แล้วพวกเราทุกคน ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น"
ถิงถิง คิ้วขมวดเพราะ 8 เดือนที่ผ่านมา มันทำให้เธอเริ่มคุ้นชินกับบ้านหลังนี้ ถึงเธอจะทราบสถานะการณ์ ในช่วงนี้ ไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่ฮ่องกงที่เธอพำนัก ก็มิได้มีเรื่องวุ่นวายเหมือน ฝั่งแผ่นดินใหญ่ แต่การจาก บ้านอันแสนสุขมัน ไปในที่เธอไม่รู้จักมันทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย แต่เธอไม่เคย สงสัยในการตัดสินใจ ของสามี เพราะใน 8 เดือนที่ผ่านมา มันมากพอที่จะทราบดีว่า สามีของเธอนั้น ตัดสินใจ ด้วยเหตุผลที่ กลั่นกรองเป็นอย่างดี เธอจึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่เธอคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ
"ในเมื่อคุณพี่ตัดสินใจแล้วน้องก็จะทำตาม น้องจะไปเตรียมของใช้จำเป็น แล้วจะให้อาเจินไปกับ พวกเราไหมคะ"
โจวเหว่ยยกชาร้อนขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา
"อืม เธอลองถามความสมัครใจของอาเจินดู เพราะถ้าอาเจินไม่ต้องการติดตามเราไป ก็ให้เงินเธอ ไปก้อนหนึ่ง เธอจะได้ไม่เดือดร้อนเมื่อไม่ได้ทำงานกับเรา หรืออาจจะให้เธอกลับกวางเจา ดีไหม"
ถิงถิง รู้สึกผูกพันกับอาเจินเพราะเป็นสาวใช้ ที่ตามมาจากบ้านของบิดา อาเจินนั้นอายุมากกว่าสองปี จึงเป็น เหมือนพี่สาวของเธอ ถิงถิงจึงสอบถามสามีถึงเมืองบางกอกว่าเป็นสถานที่แบบไหน เพื่อเธอจะไปบอก อาเจิน เพื่อโน้มน้าวใจให้เดินทางไปกับเธอนั่นเอง
"คุณพี่คะ ที่บางกอกเป็นเมืองแบบไหน เหมือนสิงคโปร์ที่เราเคยไปหรือเปล่าคะ"
โจวเหยียนเหว่ยเข้าใจในความคิดของภรรยาดี ชายหนุ่มแย้มยิ้ม ก่อนเดินไปนั่งเคียงข้างภรรยาสาว เอ่ยออกมา อย่างนุ่มนวลพร้อมกุมหลังมือของหญิงสาว
"อาถิง ที่บางกอกนั้นสวยงาม และผู้คนที่นั่นก็แสนดี เท่าที่ฉันได้เคยใช้ชีวิตตอนทำงานในแต่ละพื้นที่ บางกอกเป็นที่ ที่เราจะฝังรากเพื่อใช้ชีวิตของคน
ตระกูลโจวอย่างมีความสุข กว่าทุกเมืองที่เราเคยอาศัย ฉันคิดว่า อาจจะทำให้ฉันใช้ความสามารถในการทำโรงงานของเรา คุณบอกอาเจินได้เลยว่า ไม่มีอะไรต้อง เกรงกลัว"
ถิงถิงแย้มยิ้มเธอคิดว่า ถ้ามีคนที่รู้ใจเธอมากที่สุด ก็สามีของเธอนี่แหละ แม้แต่อาเจิน สาวใช้ที่อยู่กับเธอ มาเกือบครึ่งชีวิตของเธอก็อ่านใจเธอไม่ออกในบางโอกาส แต่กับสามีเธอนั้น แม้เพียง 8 เดือน เขาก็สามารถ เข้าถึงจิตใจเธออย่างลึกซึ้ง
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยหลังจากนั้นอีก 4 เดือนเขาก็ย้ายครอบครัว พร้อมกับลูกน้องคนสนิทอีก 3 คน เดินทางผ่านทางเรือไปขึ้นที่ท่าเรือหวั่งหลี เพื่อไปพำนักในย่านบางรัก ที่โจวเหยียนเหว่ยได้สร้างโรงงาน และบ้านพัก ติดริมฝั่งแม่น้ำ ที่คนในบริเวณนั้นเรียกแม่น้ำนั้นว่า 'แม่น้ำเจ้าพระยา'
______________________
เกิด ที่บางรัก
บทนำ
ความหนาวเย็นจากลมหนาวในช่วงเดือนมกราคมทำให้ชายหนุ่มต้องขยับปกเสื้อเพื่อปิดลมที่พัดผ่าน มาจากทางเหนือ ธรทร เดินไปที่แกรนด์เปียโนสีดำ ชายหนุ่มมองอย่างชั่งใจ ก่อนจะนั่งลงที่ตำแหน่งหน้า เปียโนหลังนั้น คำพูดหนึ่งลอยเข้ามาในห้วงความคิด
"หลานรัก ในโลกไม่อะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์ ถ้าเราตั้งใจจริง ปรารถนาในสิ่งที่ดี เพื่อส่งต่อให้คนได้พบหนทาง เราต้องทำมันสำเร็จแน่นอน อย่าดูแคลนสติปัญญาของตนเอง"
ชายหนุ่มหลับตาแล้ว ปล่อยให้ดนตรีจากเสียงกระทบของสายโลหะหลั่งไหลไหววนเป็นเพลงที่เหมือนดั่งว่า เพลงนี้มันจะไม่จบลง
คุณย่า...
หลี่ถิงถิง ธิดาคนสุดท้องของ หลี่ซันนายธนาคารแห่งหนึ่งในกวางเจา หญิงสาวอายุยังไม่ครบ 15 ปี แต่ต้องมาเป็นคุณนายโจว สามีของ เธอคือ โจวเหยียนเหว่ย อายุมากกว่าเธอ 11 ปี เป็นวิศวกรเครื่องจักร ชายหนุ่มฐานะมั่นคง สร้างตัวจาก เด็กชาวนายากจน ผลักดันตนเองจากชนชั้นเกือบต่ำสุด มายืนอยู่ในสังคม ชั้นสูง ด้วยความพยายามในการ ที่จะเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เขาสามารถพูดได้ทั้ง จีนกลาง กวางตุ้ง แต้จิ๊ว อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น รวมทั้งภาษาไทย
ด้วยเขาต้องเป็นผู้ประสานงานทั้งนายช่างใหญ่ที่เป็นชาวต่างชาติ กับคนงานที่เป็นชาวพื้นเมือง และต่างถิ่น เขาจึงจำเป็นต้องเพิ่มทักษะด้านภาษา โจวเหยียนเหว่ยจึงกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอม มีเศรษฐีวงการต่างๆ ต้องการให้ชายหนุ่มไปเป็นลูกเขย แต่เขากลับมาตกล่องปล่องชิ้นกับคุณหนูคนเล็กของตระกูลหลี่
ถึงแม้ หลี่ถิงถิง จะเป็นคุณหนูจากตะกูลหลี่นายธนาคารที่ร่ำรวยในกวางเจา แต่เธอกลับมิได้เล่าเรียน หนังสือเหมือนพี่ชายของเธอ เพราะถ้าเป็นผู้หญิงมีหน้าที่ที่จะเป็นแม่บ้านให้กับคนที่ครอบครัวได้เลือกไว้ เพราะฉะนั้นการร่ำเรียนในวิชาความรู้ จึงเป็นเรื่องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ในตอนแรกหญิงสาวก็รู้สึกแปลกใจที่ทุกคนในบ้านตื่นเต้น ที่โจวเหยียนเหว่ย ยอมรับเธอเพื่อเป็นภรรยา เพราะจะว่าไป นายโจวคนนี้ ไม่มีทางมีเงินมากไปกว่า บิดาเธออย่างแน่นอน ในสายตาของ ถิงถิง จึงมองว่า การแต่งงานครั้งนี้ คือการตอบแทนบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เมื่อท่านสั่งสิ่งใดมา ถ้าเธอทำได้เธอก็จะทำ
งานแต่งงานจัดอย่างสมเกียรติ เป็นไปตามประเพณี โดยมีญาติทั้งฝ่ายเจ้าบ่าว เจ้าสาว รวมทั้งเพื่อนร่วมงาน ดื่มกินอย่างเต็มที่ งานพิธีจบลงด้วยการส่งตัวบ่าวสาวเข้าห้องหอ เป็นเรือนหอที่ทางเถ้าแก่หลี่สร้างให้เป็น ของขวัญแด่คู่บ่าวสาว ส่วนการดื่มกินยังคงดำเนินต่อไป ตราบที่สุราหรือเครื่องดื่มกับอาหารรสเลิศ ยังไม่ หมดสิ้น
คืนเข้าหอวันแรกหญิงสาวใจเต้นจนกายสั่นสะท้าน เธอเคยได้ยินสาวรับใช้เคยเล่าเรื่องการเข้าหอ ว่ามีเรื่อง น่ากลัวเกิดขึ้นมากมาย มันทำให้เธอหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ถิงถิง นั่งอยู่บนเตียงไม้ ใจเต้นแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อ โจวเหยียนเหว่ย เดินเข้ามาหา ในชุดเสื้อชุดเจ้าบ่าวสีแดงสด เมื่อเข้ามาถึงข้างกายเธอ เขาจึงเอ่ยออกมา ด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันรู้ว่าเธอคงยังไม่คุ้นชินในหน้าที่ภรรยา เอาล่ะเธอไปเปลี่ยนเสื้อก่อนละกัน วันนี้เธอคงเหนื่อยแล้ว"
ถิงถิงเริ่มคลายความหวาดกลัวลงไปบ้าง เพราะตั้งแต่ที่เธอพบโจวเหยียนเหว่ย ในงานเลี้ยงครบรอบ วันก่อ ตั้งธนาคาร โจวเหยียนเหว่ยได้รับเชิญมาร่วมงานในฐานะตัวแทนของลูกค้ารายใหญ่ เขาได้นั่งร่วมโต๊ะกับ บิดากับคนในครอบครัวของเธอ
พี่ชายคนโต ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวในเรื่องธุรกิจอสังหาฯ ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปของการดำเนินธุรกิจ ในแผ่นดินใหญ่ เขาสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ใกล้เคียงตามความคิดของเถ้าแก่หลี่ ซึ่งนั่งฟังอยู่ข้างๆ เถ้าแก่หลี่คือบิดาของถิงถิง มองชายหนุ่มด้วยสายตาชื่นชม
ส่วนถิงถิงนั้น ถึงได้ร่วมโต๊ะ แต่เธอก็มิได้พูดจาอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว แต่เธอก็รู้สึกใจเต้นแรง เมื่อเขา เหลือบสายตามามองเพียงแวบเดียว นั่นเป็นเพราะโจวเหยียนเหว่ยนั้น มีใบหน้าคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ เมื่อแต่งกายด้วยชุดสูทสากล ยิ่งขับบุคลิกให้ดูราวคุณชายในตระกูลใหญ่
หลังจากวันนั้นไม่นาน เธอก็ถูกเรียกเข้าไปพบบิดาในห้องทำงาน แล้วเธอก็ได้รับมอบหมาย ให้แต่งงานกับ โจวเหยียนเหว่ย แน่นอนว่าเธอไม่กล้าปฏิเสธ เพราะคำสั่งของบิดามารดานั้นคือสิ่งที่ลูกต้องปฏิบัติตาม ความจริง เธอรู้อยู่เต็มหัวใจว่าสักวัน คงต้องได้รับคำสั่งแบบนี้ เหมือนพี่สาวทั้ง 3 ก่อนหน้า แต่เธอไม่คิดว่า จะเร็วถึง เพียงนี้ แล้วเวลานี้เธอเพิ่งได้ยินเสียงที่เขาเอ่ยกับเธอเป็นครั้งแรก ถิงถิง จึงตอบกับชายหนุ่ม ที่จะเป็นสามีของเธอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เป็นคำสั้นๆว่า
"ค่ะ"
แล้วเธอก็รีบเดินลงจะลงข้างล่างเพื่อเปลี่ยนเสื้อ เมื่อเธอกำลังจะออกจากห้อง ชายหนุ่มจึง ร้องห้ามเมื่อเห็น หญิงสาวกำลังจะเปิดประตู เพราะเธอมัวแต่ขวยเขินจนลืมคำเตือนจากฝ่ายพิธี แจ้งมิให้เธอก้าวออกจากห้อง หอในคืนส่งตัวอย่างเด็ดขาด
"ถิงถิง เธอจะออกจากห้องหอไม่ได้ เดี๋ยวเธอจะโดนผู้ใหญ่ตำหนิ คือฉันเตรียมน้ำอุ่นให้เธอเช็ดตัว กับเสื้อนอนให้เธอ ในห้องแต่งตัว เอ่อจริงด้วยฉันยังไม่ให้เธอรู้จักห้องของเราเลย มาฉันจะพาเธอ ไปที่ห้อง แต่งตัว"
โจวเหยียนเหว่ยเดินไปจูงมือหญิงสาวไปที่ห้องแต่งตัวเป็นห้องที่กั้นด้วยม่านลูกปัดในมุมห้อง ในห้อง แต่งตัว จะมีตู้เสื้อผ้า 2 ตู้คู่กัน แน่นอนว่าตู้หนึ่งเป็นของเขา อีกตู้เป็นของเธอ มุมด้านในมีอ่างน้ำอุ่น มีผ้า ขนหนูสีสะอาด และกระโถน เพื่อทำธุระเบาในมุมนั้น แน่นอนว่ามีไว้เพื่อให้ใช้ เมื่อจำเป็น โจวเหยียนเหว่ย เปิดตู้เสื้อผ้าของเธอให้ทราบ สายตาที่ชายหนุ่มมองมายังเธอนั้น มิได้บ่งบอกว่าเขาจะแสดงความเป็น เจ้าของเธอแม้แต่น้อย มันทำให้เธอวางใจไปได้ส่วนหนึ่ง
เมื่อเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแพรสีชมพูลายดอกเหมย ในขณะที่โจวเหยียนเหว่ย นั่งอ่านหนังสือ บนเตียงนอน โดยหัวเตียงมีไฟจากโคมไฟตั้งพื้นให้ความสว่าง ถิงถิง เดินขึ้นเตียงอย่างช้าๆ ใจเริ่มเต้นแรง อีกครั้ง โจวเหยียนเหว่ย อดหัวเราะเบาๆ มิได้ เพราะเมื่อหญิงสาวนอนก็ดึงผ้าห่มคลุมถึงไหล่ พร้อมทั้งใช้ หมอนข้างกั้น ระหว่างเขากับเธอ
"เธอคิดว่า หมอนข้างแค่นี้จะขวางฉันได้หรือ หึๆ"
หญิงสาวตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวมากขึ้น เพราะที่เธอกลัวก็คือสิ่งนั้นจริงๆ
"เธอไม่ต้องกลัว ฉันรอเธอจนกว่าเธอจะพร้อม อืมฉันได้ยินว่า เธอชอบฟังคนอ่านหนังสือ เพราะฉัน รู้มาว่าเธอต้อง การเรียนหนังสือแต่คุณพ่อไม่ให้เธอเรียน ถ้าเธอต้องการเรียนฉันจะสอนเธอเอง เธออยาก เรียนไหม"
ถิงถิงค่อยๆ หันมาที่ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงนั้นค่อนข้างเบา
"ฉันมีหน้าที่สำคัญมากกว่าการเรียนหนังสือ นั่นคือการเป็นภรรยาที่ดีให้คุณ..คุณโจว"
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มนวลอีกครั้ง
"แล้วปกติเธอนอนเปิดไฟ หรือปิดไฟล่ะ เธอบอกมาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ"
"ปกติฉันนอนปิดไฟ แต่วันนี้ฉันขอให้เปิดไฟทิ้งไว้ก่อนดีกว่าค่ะ"
"ได้สิ ฉันก็อยากให้เปิดไฟแบบนี้เหมือนกัน"
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมใช้สายตาที่อ่อนโยนจับจ้องใบหน้าที่งดงามของหญิงสาว เพราะเมื่อถิงถิงเช็ดเครื่อง สำอางออก กลับทำให้หญิงสาวงดงามมากขึ้น ไฟแสงวอร์ม จับต้องแก้มที่แดงปลั่ง ดวงตาของสาวน้อย สะท้อนแสงไฟระยิบดั่งดวงดาวที่สะกาวบนฟากฟ้า แล้วถิงถิงก็ไม่สามารถทานทนต่อสายตาของชายหนุ่ม จึงขยับกายเพื่อหันหลังกลับ แต่เธอกลับทำมิได้ เพราะมือของเขามาจับที่หัวไหล่ที่สั่นไหวนั่นไว้
"ถิงถิงเธออย่าหันกลับไปเลยนะ เพราะฉันต้องการมอง...ภรรยาแสนสวยของฉันตลอดทั้งคืน ได้โปรด"
หญิงสาวแสดงอาการเพียงใบหน้าแดงมากขึ้น ไม่ยิ้ม ไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น เธอได้แต่จ้องมองเขา เท่านั้น แล้วทั้งสองสามีภรรยาก็มองหน้ากันถึงเช้า มิได้ทำอะไรเลยในค่ำคืนแรกของการส่งตัว
------------------------
หลังจากที่ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ ผ่านไป 8 เดือน อย่างราบรื่น ถิงถิงทำหน้าที่ภรรยาเป็นอย่างดี และเธอ สามารถทำหน้าที่ ลูกสะไภ้จนเป็นที่รักของคนในครอบครัว แม้เธอจะอายุเพียง เข้าสู่ 15 ปีหมาดๆ แม้น้องๆ ของสามีจะอายุ มากกว่า แต่เธอก็ได้รับเกียรติในฐานะอาซ้อ (ภรรยาของพี่ชาย) โจวเหยียนเหว่ย ก็แจ้งข่าว สำคัญกับเธอว่า
"ฉันคิดว่าจะไปเปิดโรงงานที่ บางกอก เธอต้องเตรียมตัวไว้ เพราะเราน่าจะเดินทางใน อีก 3 ถึง 4 เดือนข้างหน้านี้ แล้วพวกเราทุกคน ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น"
ถิงถิง คิ้วขมวดเพราะ 8 เดือนที่ผ่านมา มันทำให้เธอเริ่มคุ้นชินกับบ้านหลังนี้ ถึงเธอจะทราบสถานะการณ์ ในช่วงนี้ ไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่ฮ่องกงที่เธอพำนัก ก็มิได้มีเรื่องวุ่นวายเหมือน ฝั่งแผ่นดินใหญ่ แต่การจาก บ้านอันแสนสุขมัน ไปในที่เธอไม่รู้จักมันทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย แต่เธอไม่เคย สงสัยในการตัดสินใจ ของสามี เพราะใน 8 เดือนที่ผ่านมา มันมากพอที่จะทราบดีว่า สามีของเธอนั้น ตัดสินใจ ด้วยเหตุผลที่ กลั่นกรองเป็นอย่างดี เธอจึงเอ่ยถามถึงเรื่องที่เธอคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ
"ในเมื่อคุณพี่ตัดสินใจแล้วน้องก็จะทำตาม น้องจะไปเตรียมของใช้จำเป็น แล้วจะให้อาเจินไปกับ พวกเราไหมคะ"
โจวเหว่ยยกชาร้อนขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา
"อืม เธอลองถามความสมัครใจของอาเจินดู เพราะถ้าอาเจินไม่ต้องการติดตามเราไป ก็ให้เงินเธอ ไปก้อนหนึ่ง เธอจะได้ไม่เดือดร้อนเมื่อไม่ได้ทำงานกับเรา หรืออาจจะให้เธอกลับกวางเจา ดีไหม"
ถิงถิง รู้สึกผูกพันกับอาเจินเพราะเป็นสาวใช้ ที่ตามมาจากบ้านของบิดา อาเจินนั้นอายุมากกว่าสองปี จึงเป็น เหมือนพี่สาวของเธอ ถิงถิงจึงสอบถามสามีถึงเมืองบางกอกว่าเป็นสถานที่แบบไหน เพื่อเธอจะไปบอก อาเจิน เพื่อโน้มน้าวใจให้เดินทางไปกับเธอนั่นเอง
"คุณพี่คะ ที่บางกอกเป็นเมืองแบบไหน เหมือนสิงคโปร์ที่เราเคยไปหรือเปล่าคะ"
โจวเหยียนเหว่ยเข้าใจในความคิดของภรรยาดี ชายหนุ่มแย้มยิ้ม ก่อนเดินไปนั่งเคียงข้างภรรยาสาว เอ่ยออกมา อย่างนุ่มนวลพร้อมกุมหลังมือของหญิงสาว
"อาถิง ที่บางกอกนั้นสวยงาม และผู้คนที่นั่นก็แสนดี เท่าที่ฉันได้เคยใช้ชีวิตตอนทำงานในแต่ละพื้นที่ บางกอกเป็นที่ ที่เราจะฝังรากเพื่อใช้ชีวิตของคน
ตระกูลโจวอย่างมีความสุข กว่าทุกเมืองที่เราเคยอาศัย ฉันคิดว่า อาจจะทำให้ฉันใช้ความสามารถในการทำโรงงานของเรา คุณบอกอาเจินได้เลยว่า ไม่มีอะไรต้อง เกรงกลัว"
ถิงถิงแย้มยิ้มเธอคิดว่า ถ้ามีคนที่รู้ใจเธอมากที่สุด ก็สามีของเธอนี่แหละ แม้แต่อาเจิน สาวใช้ที่อยู่กับเธอ มาเกือบครึ่งชีวิตของเธอก็อ่านใจเธอไม่ออกในบางโอกาส แต่กับสามีเธอนั้น แม้เพียง 8 เดือน เขาก็สามารถ เข้าถึงจิตใจเธออย่างลึกซึ้ง
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยหลังจากนั้นอีก 4 เดือนเขาก็ย้ายครอบครัว พร้อมกับลูกน้องคนสนิทอีก 3 คน เดินทางผ่านทางเรือไปขึ้นที่ท่าเรือหวั่งหลี เพื่อไปพำนักในย่านบางรัก ที่โจวเหยียนเหว่ยได้สร้างโรงงาน และบ้านพัก ติดริมฝั่งแม่น้ำ ที่คนในบริเวณนั้นเรียกแม่น้ำนั้นว่า 'แม่น้ำเจ้าพระยา'
______________________