สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
เราอยู่สวีเดนไม่รู้สึกเป็นพลเมืองชั้นไหน
ที่นี่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน
ไม่ว่าจะทำงานราชการเอกชนสวัสดิ์การตัวเดียวกันและเท่ากันหมด
อยู่ที่ไทยเราไม่ร่ำรวยก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นชนชั้นไหน รู้แค่ว่าเป็นมนุษย์มีหน้าที่ความรับผิดชอบเหมือนคนอื่นๆ ทั่วๆไป
คำว่ารัฐสวัสดิ์การ = ความไม่แน่นอน
คุณจะหวังอะไรแน่นอนไม่ได้หรอกค่ะ
ความชอบการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากคุณมาอยู่รัฐสวัสดิ์การ เงินเดือนมาตราฐานทั่วไปแต่คุณยังติดใช้กินหรูฟุ่มเฟือยคุณก็ไม่พอใช้ไม่มีเก็บค่ะ
สวีเดนเสียภาษี30-50% ทุกคนที่ทำงาน
ไทยเสียกันนิดหน่อยบางส่วนก็บ่นกันแล้ว
หาหมอที่ไทยช้าบ้างแต่ได้ตรวจก็ยังไปบ่นลงเฟสกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ที่สวีเดนได้คิวได้รอใช่ว่าจะได้ตรวจกับหมอเสมอไป
โรงพยาบาลไทยแบ่งแยกสวัสดิ์การข้าราชการกับ30บาท และประกันสังคม
สวีเดนไม่แบ่งแยกทุกคนใช้สิทธิ์เดียวกันเสียเงินคล้าย30บาทของไทย แต่ที่สวีเดนเสีย 200-300 โครน (800-1200 บาท)ต่อการพบหมอ1ครั้ง
เงินคนแก่ที่ไทยได้ตอนอายุ60
ที่สวีเดนเงินคนแก่คนไม่ทำงานได้ตอนอายุ65 อนาคตอันใกล้อาจจะได้กันตอน70 ไม่แน่อาจจะไม่ได้เลยถ้าไม่ทำงาน เงินตัวนี้แปลงเป็นค่าเงินไทยอาจจะเยอะ แต่สำหรับใช้อาศัยได้ในสวีเดนเท่านั้นบางคนค่าเช่าห้องก็ไม่พอ
เงินเกษียณคนทำงานที่ไทยมีแยกราชการเอกชน ปนะกันสังคมก็กำลังริเริ่มโครงการนี้ได้กันตอนอายุ60
ที่สวีเดนไม่มีแยกข้าราชการหรือเอกชน แต่จะได้มากน้อยก็อยู่ที่ว่าทำงานมากน้อยจ่ายเข้าระบบเกษียณเยอะเพียงใด ได้กันตอนอายุ65 ตอนนี้กำลังพยายามปรับให้เกษียณตอนอายุ67-70
ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน ถ้าไม่รู้จักเก็บเกษียณมาก็ลำบากเหมือนกัน ทำงานที่นี่แปลงค่าเงินเป็นไทยเหมือนจะเยอะ แต่หากไม่ประหยัดใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ไม่เหลือเป็นหนี้สินไม่ต่างกับอยู่เมืองไทย
ทุกประเทศมีดีมีไม่ดี ปัญหาต่างๆที่คุณพูดมาฆ่ากันตาย เด็กท้องก่อนวัย มันก็มีอยู่ทุกที่ทั่วโลก อยู่ที่ว่าคุณจะปรับตัวอยู่ไปกับมันได้ไหมแค่นั้นเอง
มองดูสิไทยจากไม่มีอะไรก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นมาตั้งหลายอย่าง ใครจะรู้อนาคตทุกๆอย่างคือความไม่แน่นอน
ที่นี่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน
ไม่ว่าจะทำงานราชการเอกชนสวัสดิ์การตัวเดียวกันและเท่ากันหมด
อยู่ที่ไทยเราไม่ร่ำรวยก็ไม่เคยรู้สึกว่าเราเป็นชนชั้นไหน รู้แค่ว่าเป็นมนุษย์มีหน้าที่ความรับผิดชอบเหมือนคนอื่นๆ ทั่วๆไป
คำว่ารัฐสวัสดิ์การ = ความไม่แน่นอน
คุณจะหวังอะไรแน่นอนไม่ได้หรอกค่ะ
ความชอบการดำเนินชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากคุณมาอยู่รัฐสวัสดิ์การ เงินเดือนมาตราฐานทั่วไปแต่คุณยังติดใช้กินหรูฟุ่มเฟือยคุณก็ไม่พอใช้ไม่มีเก็บค่ะ
สวีเดนเสียภาษี30-50% ทุกคนที่ทำงาน
ไทยเสียกันนิดหน่อยบางส่วนก็บ่นกันแล้ว
หาหมอที่ไทยช้าบ้างแต่ได้ตรวจก็ยังไปบ่นลงเฟสกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ
ที่สวีเดนได้คิวได้รอใช่ว่าจะได้ตรวจกับหมอเสมอไป
โรงพยาบาลไทยแบ่งแยกสวัสดิ์การข้าราชการกับ30บาท และประกันสังคม
สวีเดนไม่แบ่งแยกทุกคนใช้สิทธิ์เดียวกันเสียเงินคล้าย30บาทของไทย แต่ที่สวีเดนเสีย 200-300 โครน (800-1200 บาท)ต่อการพบหมอ1ครั้ง
เงินคนแก่ที่ไทยได้ตอนอายุ60
ที่สวีเดนเงินคนแก่คนไม่ทำงานได้ตอนอายุ65 อนาคตอันใกล้อาจจะได้กันตอน70 ไม่แน่อาจจะไม่ได้เลยถ้าไม่ทำงาน เงินตัวนี้แปลงเป็นค่าเงินไทยอาจจะเยอะ แต่สำหรับใช้อาศัยได้ในสวีเดนเท่านั้นบางคนค่าเช่าห้องก็ไม่พอ
เงินเกษียณคนทำงานที่ไทยมีแยกราชการเอกชน ปนะกันสังคมก็กำลังริเริ่มโครงการนี้ได้กันตอนอายุ60
ที่สวีเดนไม่มีแยกข้าราชการหรือเอกชน แต่จะได้มากน้อยก็อยู่ที่ว่าทำงานมากน้อยจ่ายเข้าระบบเกษียณเยอะเพียงใด ได้กันตอนอายุ65 ตอนนี้กำลังพยายามปรับให้เกษียณตอนอายุ67-70
ทุกอย่างคือความไม่แน่นอน ถ้าไม่รู้จักเก็บเกษียณมาก็ลำบากเหมือนกัน ทำงานที่นี่แปลงค่าเงินเป็นไทยเหมือนจะเยอะ แต่หากไม่ประหยัดใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ไม่เหลือเป็นหนี้สินไม่ต่างกับอยู่เมืองไทย
ทุกประเทศมีดีมีไม่ดี ปัญหาต่างๆที่คุณพูดมาฆ่ากันตาย เด็กท้องก่อนวัย มันก็มีอยู่ทุกที่ทั่วโลก อยู่ที่ว่าคุณจะปรับตัวอยู่ไปกับมันได้ไหมแค่นั้นเอง
มองดูสิไทยจากไม่มีอะไรก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นมาตั้งหลายอย่าง ใครจะรู้อนาคตทุกๆอย่างคือความไม่แน่นอน
ความคิดเห็นที่ 26
"อยู่เมืองนอกเป็นพลเมืองชั้นสอง" เป็นคำพูดที่ตกยุคนะเราว่า เพราะเอาเข้าจริงๆ เขาปฏิบัติกับเราเท่าเทียมกับคนของเขานั่นแหละ มันอยู่ที่เราทำตัวยังไง ถ้าเขาเห็นว่าเรามุ่งมั่นที่จะปรับตัวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับประเทศเขา เขาช่วยเราทุกทางจริงๆนะ เพราะเขาเองก็อยากให้เราเลี้ยงตัวเองได้ จ่ายภาษี มีงานทำ (และคุณไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติของเขา ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับฝรั่งด้วย)
คือต่อให้คุณไม่ได้สัญชาติเขา คุณก็ได้สิทธิ์เท่าเทียมกับคนของเขา(แทบจะ)ทุกอย่าง ถ้าคุณจ่ายภาษี
เราพยายามนึก ว่าอะไรบ้างที่คุณจะได้ไม่เท่าเขา กรณีที่เป็น Resident แต่ไม่ได้ถือสัญชาติของเขา คิดออกเรื่องเดียวคือ "ค่าเทอม" ระดับอุดมศึกษา ถ้าคุณมาจากประเทศสมาชิกอียู ค่าเทอมจะถูก แต่ถ้าเป็นนักศึกษาต่างชาติมาเรียน จ่ายแพงกว่าน่าจะเกือบ 10 เท่า มั้ง ซึ่งมันก็มีเหตุผลนะ เพราะประชากรอียู พ่อแม่นักศึกษาก็จ่ายภาษีมาตลอดชีวิตของเขา นักศึกษาจบไปก็เข้าสู่ตลาดแรงงานบ้านเขา เขาถือเป็นสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนอย่างหนึ่ง
มาถึงเรียนภาษาก็ฟรี งานหาไม่ได้? ไปลงชื่อที่จัดหางาน (โดยรัฐบาล) ถ้า skill ไม่ถึงจะหางานได้ เขาให้เลือกอบรมอาชีพ (ฟรีอีก), เจ็บป่วยไปโรงพยาบาล ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง รักษาก่อน บิลส่งไปเก็บทีหลัง บิลเอาไปเบิกกองทุนประกันสุขภาพได้ 80-90% (ทำฟันด้วย) ทั้งหมดนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติของเขาแต่อย่างใด ขอแค่อยู่อย่างถูกกฎหมายและมีงานมีการทำ
อย่างคุณอยู่ไป 5-6 หรืออย่างมาก 10 ปีอย่างถูกกฎหมาย สามารถไปขอสัญชาติได้เลย ถ้าพูดภาษาเขาได้และมีงานทำ ไม่เหมือนเมืองไทย ต้องหอบเงินไปเป็นล้านๆ สัญชาติก็ไม่ให้ ขออยู่ถูกกฎหมายนี่ยากเย็นเหลือเกิน นี่คือเหตุผลนึงที่คนไทยที่มีแฟนต่างชาติไม่สามารถอยู่ไทยได้ เพราะเอกสารมันยุ่งยาก เจ้าหน้าที่ก็ไร้กฎระเบียบ ต้องมีจ่ายใต้โต๊ะเสมอ
กฎเป็นกฎ ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย ส่วนเมืองไทย ถ้าจนคุณติดคุก ถ้ารวยขับรถคนตายเป็นสิบยังรอดคุกเลย
อยู่ไทย พวกข้าราชการ,นักการเมืองอยู่เหนือหัวประชาชน คนต้องยืนกุมเป้า ครับท่าน ครับท่าน ...ที่นี่ไม่...
แต่อยู่เมืองนอกชีวิตมันไม่ได้สวยหรู ต้องใช้จ่ายประหยัดมาก ข้าวปลาอาหารต้องทำเอง
อ่อ แล้วเกษียณอายุ 67 นะ ที่นี่ ไม่ใช่ 60
แต่จะไม่มีคนแก่โดนเอาไปทิ้งวัด, คนป่วยถูกปล่อยให้ตายเพราะ "ไม่มีเงินค่าหมอ" หรือ คนพิการถูกจัดเป็นพลเมืองชั้นสองเหมือนที่ไทย เราเคยขาหักต้องนั่งรถเข็นอยู่หลายเดือน ต่อมาใช้ไม้เท้าพยุงอีก กว่าจะเดินได้เกือบปี ช่วงนั้นหดหู่มากเพราะไปไหนไม่ได้เลย รู้ซึ้งเลยว่าถ้า "เกิดมาพิการ" ในเมืองไทย คุณคือ"พลเมืองชั้นสอง"อย่างแท้จริง เพราะไม่มีใครเห็นหัวคุณหรอก รถเมล์ก็ขึ้นไม่ได้ (ที่นี่รถเมล์เตี้ย คนแก่ คนพิการ ขึ้นได้ หากใช้รถเข็น มี platform ยื่นออกมาพาดกับถนนให้ด้วย)
ถ้าอยู่เมืองไทยเป็นชนชั้นหนึ่งแล้วอยู่นอกเป็นชนชั้นสอง เราขอเป็นชนชั้นสองดีกว่าอ่ะ รู้สึกว่าชีวิตมีค่า"เท่ากับ" คนอื่น
คือต่อให้คุณไม่ได้สัญชาติเขา คุณก็ได้สิทธิ์เท่าเทียมกับคนของเขา(แทบจะ)ทุกอย่าง ถ้าคุณจ่ายภาษี
เราพยายามนึก ว่าอะไรบ้างที่คุณจะได้ไม่เท่าเขา กรณีที่เป็น Resident แต่ไม่ได้ถือสัญชาติของเขา คิดออกเรื่องเดียวคือ "ค่าเทอม" ระดับอุดมศึกษา ถ้าคุณมาจากประเทศสมาชิกอียู ค่าเทอมจะถูก แต่ถ้าเป็นนักศึกษาต่างชาติมาเรียน จ่ายแพงกว่าน่าจะเกือบ 10 เท่า มั้ง ซึ่งมันก็มีเหตุผลนะ เพราะประชากรอียู พ่อแม่นักศึกษาก็จ่ายภาษีมาตลอดชีวิตของเขา นักศึกษาจบไปก็เข้าสู่ตลาดแรงงานบ้านเขา เขาถือเป็นสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนอย่างหนึ่ง
มาถึงเรียนภาษาก็ฟรี งานหาไม่ได้? ไปลงชื่อที่จัดหางาน (โดยรัฐบาล) ถ้า skill ไม่ถึงจะหางานได้ เขาให้เลือกอบรมอาชีพ (ฟรีอีก), เจ็บป่วยไปโรงพยาบาล ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง รักษาก่อน บิลส่งไปเก็บทีหลัง บิลเอาไปเบิกกองทุนประกันสุขภาพได้ 80-90% (ทำฟันด้วย) ทั้งหมดนี้ คุณไม่จำเป็นต้องมีสัญชาติของเขาแต่อย่างใด ขอแค่อยู่อย่างถูกกฎหมายและมีงานมีการทำ
อย่างคุณอยู่ไป 5-6 หรืออย่างมาก 10 ปีอย่างถูกกฎหมาย สามารถไปขอสัญชาติได้เลย ถ้าพูดภาษาเขาได้และมีงานทำ ไม่เหมือนเมืองไทย ต้องหอบเงินไปเป็นล้านๆ สัญชาติก็ไม่ให้ ขออยู่ถูกกฎหมายนี่ยากเย็นเหลือเกิน นี่คือเหตุผลนึงที่คนไทยที่มีแฟนต่างชาติไม่สามารถอยู่ไทยได้ เพราะเอกสารมันยุ่งยาก เจ้าหน้าที่ก็ไร้กฎระเบียบ ต้องมีจ่ายใต้โต๊ะเสมอ
กฎเป็นกฎ ทุกคนอยู่ใต้กฎหมาย ส่วนเมืองไทย ถ้าจนคุณติดคุก ถ้ารวยขับรถคนตายเป็นสิบยังรอดคุกเลย
อยู่ไทย พวกข้าราชการ,นักการเมืองอยู่เหนือหัวประชาชน คนต้องยืนกุมเป้า ครับท่าน ครับท่าน ...ที่นี่ไม่...
แต่อยู่เมืองนอกชีวิตมันไม่ได้สวยหรู ต้องใช้จ่ายประหยัดมาก ข้าวปลาอาหารต้องทำเอง
อ่อ แล้วเกษียณอายุ 67 นะ ที่นี่ ไม่ใช่ 60
แต่จะไม่มีคนแก่โดนเอาไปทิ้งวัด, คนป่วยถูกปล่อยให้ตายเพราะ "ไม่มีเงินค่าหมอ" หรือ คนพิการถูกจัดเป็นพลเมืองชั้นสองเหมือนที่ไทย เราเคยขาหักต้องนั่งรถเข็นอยู่หลายเดือน ต่อมาใช้ไม้เท้าพยุงอีก กว่าจะเดินได้เกือบปี ช่วงนั้นหดหู่มากเพราะไปไหนไม่ได้เลย รู้ซึ้งเลยว่าถ้า "เกิดมาพิการ" ในเมืองไทย คุณคือ"พลเมืองชั้นสอง"อย่างแท้จริง เพราะไม่มีใครเห็นหัวคุณหรอก รถเมล์ก็ขึ้นไม่ได้ (ที่นี่รถเมล์เตี้ย คนแก่ คนพิการ ขึ้นได้ หากใช้รถเข็น มี platform ยื่นออกมาพาดกับถนนให้ด้วย)
ถ้าอยู่เมืองไทยเป็นชนชั้นหนึ่งแล้วอยู่นอกเป็นชนชั้นสอง เราขอเป็นชนชั้นสองดีกว่าอ่ะ รู้สึกว่าชีวิตมีค่า"เท่ากับ" คนอื่น
ความคิดเห็นที่ 33
ความคิดเห็นจริงๆนะคะ. เราอยู่นิวยอร์คมีคนหลายเชื้อชาติ มันก็ยังมีอยู่บ้างที่เหยียดกัน โดยเฉพาะเอเชียแต่ถามว่ามันมีผลกระทบมั้ย. มันไม่ค่อยมีเท่าไหร่ คนที่นี่เค้าจะไม่ก้าวก่ายกัน. ถึงจะเหยียดแต่ก็มีมารยาท ไม่มีแบบคนรวยข่มคนจน หรือเพราะรวยถึงได้การยอมรับ ทำอะไรไม่ผิด แบบนี้ไม่มี. เคยคิดตัดสินใจเลือกว่าจะอยู่ที่ไหน ที่ไทยหรือที่อเมริกา. ลังเลมาหลายปี สุดท้ายเลือกกลับมาอยู่อเมริกา ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ว่าเราจะถูกเหยียด ไม่ว่าเราจะรวยคือจน แต่เราก็คือคนๆหนึ่งที่มีสิทธิ์และเสียงเท่ากับคนทุกคน. ตราบใดที่เราอยู่อย่างเคารพกฎ ไม่ก้าวก่ายสิทธิ์ของใคร ถูกและผิดก็ว่าไปตามกฎหมาย มีสิทธิ์ที่จะสู้ถ้าไม่ผิด ทำอะไรทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีวินัย เราก็จะอยู่ได้อย่างมีความสุข และอยู่ง่ายกว่าที่ไทยเยอะเลยค่ะ. ยกตัวอย่างนะคะ. วันนั้นเราขับรถอยู่ ตำรวจเปิดไฟกระพริบให้จอดรถ(เวลาเราขับรถเร็วกว่ากำหนด หรือขับรถผิดกฎมักจะถูกเปิดไฟให้จอด). นึกในใจว่าทำอะไรผิด ได้ทิคเกตแน่ๆ). ตอนนั้นหยิบโทรสัพเพื่อที่จะสั่ง siri ใน iPhone ให้ส่งข้อความหาเพื่อน โดยที่ไม่ได้ใช้คุยหรือส่งข้อความอะไรเลย. เราก็คิดว่าต้องโดนแน่ๆเพราะจับโทรศัพท์. พอจอดรถเราก็นั่งรอในรถ เพราะกฎที่นี่ห้ามออกนอกรถเวลาถูกเรียก ตำรวจจะเดินมาที่รถเอง. พอมาถึงเค้าถามหาใบประกันรถ ใบลงทะเบียน แบะใบขับขี่. และก็ถามว่ารู้มั้ยว่าทำไมให้หยุด. ก็บอกไม่รู้. เค้าบอกว่ารถไฟเราเสียไปดวงนึงนะ ฝั่งคนนั่งข้าง. เราก็บอกไม่รู้เลย. เค้าก็เดินไปเขียนทิคเกต. ให้ไปเปลี่ยนไฟภายใน 48 ชม ให้ช่างเซ็นยืนยัน. แล้วนำไปสถานีตำรวจ และจากนั้นไปยื่นที่ศาลเพื่อแคนเซิลทิตเกต. อ่านดูแล้วยุ่งยากมั้ย. ถามว่าเราต้องบ่นตำรวจมั้ยที่ทำให้มันยุ่งยาก. ตอบว่าไม่เลยค่ะ. เราเลือกที่จะเข้าใจ เพราะเราเห็นถึงเหตุและผลที่มีกฎแบบนี้. เพื่อป้องกันอุบัติเหตุสำหรัวเราเองและคนอื่น ซื่งมันอาจะเกิดขึ้นได้. และเราเคารพตำรวจที่นี่ทุกคนที่ทำงานแบบนี้. มันเทียบกันไม่ได้ โรงพักที่นี่แทบจะไม่ทีตำรวจประจำเพราะ ทำงานออกนอกพื้นที่หมด ขับรถ จอดรถคอยตรวจดู เคยเห็นข่าวที่ไทยจะออกกฎห้ามนั่งขอบรถกระบะ. เห็นมีแต่ออกมาบ่น โวยกัน สงกรานต์จะเล่นน้ำสนุกได้ไงถ้าไม่ให้นั่ง.แค่ทัศนคติก็ต่างกันแล้ว. ถ้าเป็นคุณจะเลือกอยู่ที่ไหนคะ. ที่คุณรู้สึกปลอกภัยมากกว่ากัน. เอามาเล่าสู่กันฟังให้เห็นอีกมุมมองนึงค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อยากทราบว่าคนที่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เป็นพลเมืองชั้นสองของฝรั่ง ชีวิตดีกว่าอยู่เมืองไทยอย่างไร
คุณภาพชีวิตเทียบกับเมืองไทยแล้วเป็นอย่างไรครับ
เมืองนอกมีดีอะไรหลายคนจึงเลือกที่จะอยู่ยาว ไม่ครับไทย
อยากได้ตัวอย่างให้พอนึกภาพออกครับ
บ้านเราเห็นหลายคนบอก
ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ภัยธรรมชาติน้อย
ผู้คนจิตใจเป็นมิตรต่อกัน สยามเมืองยิ้ม
ถึงขับรถปาดหน้าจะฆ่ากันตายบ้าง
อุบัติเหตุบนท้องถนนตายเป็นอันดับสองรองลิเบียบ้าง
เด็กท้องก่อนวัยติดอันดับโลกบ้าง
แต่เราก็มีสามสิบบาทรักษาทุกโรค
เบี้ยคนชราเดือนละแปดร้อย ประกันสังคม
บลาๆๆๆ ภาษีก็เสียน้อยกว่าเมืองนอก
เลยอยากรู้ว่าการอยู่บ้านเกิดเมืองนอน
กับเป็นพลเมืองชั้นสองประเทศอื่น
คุณภาพชีวิตต่างกันมากขนาดไหน