"อย่ามาเรียกผมว่าก๋ง ผมไม่ใช่ก๋งคุณ"

พอดีมีเหตุการณ์ที่เจอมาเมื่อเช้า  และคิดว่าไม่อยากจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเฉยๆ  จึงมาเล่าสู่กันฟังครับ

เมื่อเช้าผมนั่งอยู่บนรถเมล์สาย  5...2  โดยนั่งครึ่งหน้าใกล้ๆ ประตู  ด้วยความที่ผู้โดยสารก็ไม่ได้เยอะมาก จึงพอที่จะเห็นคนขับได้สะดวกพอสมควร  

ผมนั่งอ่านวิทยานิพนธ์ไปเรื่อย  กระทั่งคนขับรถก็เปิดวิทยุขึ้นมาฟังเพลง  เสียงก็ไม่ได้ดังอะไรมากหรอกครับ  แต่ก็พอทำให้ผมต้องพาลหยิบหูฟังส่วนตัวมาใส่เพื่อให้สมาธิในการอ่านของผมกลับมาดังเดิม   "นั่นคือวิธีจัดการของผม"  

ส่วนตัวผมรู้สึกว่าการที่คนขับรถสาธารณะจะเปิดเพลงฟังขณะขับ  มันเป็นเรื่องที่ผมควรจะปล่อยผ่าน  หากผมเดือดร้อนรำคาญใจก็หาวิธีจัดการของตัวเองไป  เพื่อแลกกับความปลอดภัยจากความรีแลกซ์ของคนขับ  ให้เขาไม่เครียด  ให้เขาขับรถอย่างสบายใจที่สุด  ท้ายที่สุดก็ผมนั่นแหละที่พลอยได้นั่งรถอย่างสบายใจไปด้วย

แต่ถึงกระนั้น  ก็ยังมีเสียงช้งเช้งช้งเช้งจากชายมีอายุรูปร่างค่อนข้างใหญ่แต่งตัวดูภูมิฐานที่ผมจำได้ว่าปลายทางเขาคือสามย่าน   เขาพูดว่าอะไรผมฟังไม่ถนัดนักหรอก  แต่ที่รู้คือเสียงค่อนข้างดังจนทำให้ผมผละจากวิทยานิพนธ์ที่อ่านอีกครั้ง  

แรกก็หยุดอ่านด้วยความหงุดหงิดใจ  แต่ต่อมาก็ปลดหูฟังลงข้างหนึ่งด้วยความอยากที่จะได้สาระ (แน) จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  จึงได้ความเบื้องต้นว่า  ชายคนดังกล่าวตะโกนจากเบาะหลังคนขับที่เขานั่งอยู่  ไปยังกระเป๋ารถเมล์ที่ยืนจับเจ่าเก็บค่าโดยสารอยู่หลังรถ  ให้มาหยิบวิทยุไปฟังที่ตัวเอง  จะฟังก็เอาไปถือไว้ด้วย  อย่าเอามาเปิดตรงนี้  ให้คนขับเขาขับรถ!!  (น้ำเสียงตาลุงไม่สู้ดีนัก)

มีหรือที่ผมจะใส่หูฟังกลับไป  กลับกันผมปิดแอปพลิเคชันจุกซ์ลงเสียด้วยซ้ำ  

กระเป๋านางก็ตอบกลับไปด้วยความใจเย็นประมาณหนึ่งว่าเป็นวิทยุคนขับค่ะ  เขาเปิดฟังเพลงของเขา

แต่ก็ยังไม่วาย ตาลุงค่อนข้างที่จะแสดงความรู้ พร้อมด้วยความคิดเห็นต่างๆ ออกมาสารพัด  แถลงว่าการเปิดวิทยุฟังนั้นทำให้ไม่มีสมาธิในการขับรถ  รบกวนคนขับ  อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ  กฎหมายเขาห้ามเปิด  (เอาจริงๆ ออกตัวก่อนว่าไม่รู้กฎหมายนะครับ  แค่เลาๆ ว่าห้ามใส่หูฟังขณะขับรถ  ส่วนรถบริการสาธารณะยิ่งไม่รู้ใหญ่เลยว่าห้ามหรือไม่ห้าม  ผิดถูกอย่างไรแนะนำด้วยครับ อย่าด่าว่ากันเลย)

คุณพี่กระเป๋านางก็อธิบายของนางไป  ด้วยความใจเย็นทำนองว่าฟังได้ถ้าเปิดวิทยุ  แต่เขาห้ามใส่หูฟังก็เท่านั้น  ซึ่งในขณะเดียวกันคนขับรถเมล์ก็คงจะอยากให้เรื่องราวมันยุติอยู่  จึงปิดวิทยุลงไป  โดยเอ่ยๆ ออกมาทำนองว่าไม่เป็นไร  ไม่ได้สร้างความรำคาญให้คนขับเลยแม้แต่น้อย "ด้วยความสุภาพ"

เหมือนลุงจะยังไม่ยอม   จริงๆ ไม่ใช่แค่เหมือนหรอกครับ  ไม่ยอมเลยล่ะ  ลุงสู้สุดจริงๆ  ลุงก็ยังคงอธิบายเหตุผลของลุงไป ซึ่งขั้นนี้ผมมองว่าเป็นการ "เถียง" มากกว่า  เนื่องด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่ลุงใช้มันไม่ใช่น้ำเสียงแบบคนพูดกันแบบปกติ  หากแต่สิ่งที่เหมือนเดิมคือเหตุผลที่คุณลุงกล่าวอ้างก็คือเหตุผลชุดเดิมที่กล่าวไปแล้ว  เพิ่มเติมคือการเปิดเพลงในรถจะ "สร้างความรำคาญให้ผู้โดยสารเขา  เขาจะนั่งรถมาเปิดเพลงให้เขารำคาญได้ไง"  น่าน  เหตุผลลุงเปลี่ยนไปหน่อยนึงนะครับ

สถานการณ์เริ่มคุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ  จนถึงขณะนี้ผมว่าสิ่งที่จะสร้างความรำคาญให้กับคนขับจะกลายเป็นลุงผู้โดยสารคนนั้นเสียมากกว่า  ซึ่งผมเชื่อว่าผู้โดยสารท่านอื่นก็คิดเหมือนผม  ทั้งกระเป๋าและคนขับจึงพยายามตัดบทการสนทนาว่าให้จบเพียงแค่นั้น  เขาอบรมมาแบบนั้น  เขาคิดแบบนั้น  จะให้ลุงมาพูดเพื่อให้เปลี่ยนความคิดมันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร  เพราะลุงก็ไม่ได้ฟังเหตุผลของเขาเลยเหมือนกัน  ซึ่งฝั่งลุงเองก็ยังคงไปได้เรื่อยๆ โดยมีประโยคติดปากว่า "มันไม่ได้นะอย่างเงี้ย  ผมเลยพูดให้ฟัง"

ทั้งคนขับและกระเป๋าอาจคิดว่าไม่มีประโยชน์ในการสนทนาต่อ  จึงหยุดเงียบทั้งคู่  ปล่อยให้ลุงพูดต่ออีกสองสามประโยค   และมันก็ได้ผลครับ  เมื่อไม่มีคนคุยด้วยลุงก็หยุดเงียบตามไปแต่โดยดี   ผู้โดยสารอุ่นใจ  ผมอุ่นใจ  เตรียมใส่หูฟังกลับดังเดิม   แต่หาได้ทำอย่างนั้นไม่ครับ  ลุงโพล่งขึ้นมาอีก  ประโยค  อะไรก็ไม่รู้   ผมก็ฟังต่อสิครับ

ถ้าผมเป็นกระเป๋าและคนขับสิ่งที่ผมจะทำคือกรอกตามองบนหนึ่งครั้งและถอนหายใจแรงๆ  หนึ่งที  
ลุงสู้ไม่หยุดจริงๆ  สู้เพื่อผดุงความถูกต้อง  สู้เพื่อผู้โดยสารทุกคน  ปรบมือครับ!
ยกนี้กระเป๋ารถเมล์ตอบกลับมาว่า  "เห็นไหม พอหนูหยุดกันแล้วก๋งก็ไม่หยุดอ่ะค่ะ"  (ผมได้ยินคำว่าก๋งครั้งแรกอย่างถนัดก็รอบนี้แหละครับ  ก่อนหน้านั้นไม่ได้ยินว่าเขาใช้สรรพนามกันว่ายังไงบ้าง แต่คิดว่าน่าจะใช้มาตั้งแต่ต้น)

"คุณไม่ต้องมาเรียกผมว่าก๋ง  ผมไม่ใช่ก๋งคุณ!!!"   OMG  ลุงตะคอกเบอร์ใหญ่มาก
"ค่ะ งั้นหนูว่าปู่หยุดก่อนเถอะค่ะ"  
"อย่ามาเรียกผมว่าปู่  ผมไม่ได้เป็นปู่คุณ"
"หนูก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วค่ะ  หนูเรียกอย่างงี้เพราะหนูคิดว่าหนูให้เกียรติอยู่"   (ใจอยากตะโกนบอกพี่เขาเหลือเกิน "พี่เรียกเขาว่า  สิครับ" แต่ทำไมได้  เดี๋ยวจะเสียภาพ)
"คุณอย่ามาเสียงแข็งกับผม!!"
"ตอนนี้คนที่เสียงแข็งมากๆ คือปู่นะคะ"

(ใจความประมาณนี้ครับ  แต่คำพูดลุงถึงแม้จะไม่ครบทุกคำ แต่ประโยคที่จำได้คือพูดตามนี้จริงๆ เพราะพูดเสียงดังมาก )

พี่กระเป๋าจึงเลี่ยงโดยการเดินไปโซนหลังรถเสีย   พอดีกับรถโคจรมาถึงสามย่าน  ลุงจึงได้ลงอย่างสวัสดิภาพ โดยไร้ซึ่งการปะทะกันเป็นระลอกที่สาม

จากเรื่องราวที่เกิดนี้  ส่วนตัวผมค่อนข้างเอนเอียงไปทางฝั่งรถเมล์เลยแหละ  เพราะรู้ตั้งแต่ต้นว่าจุดเริ่มเรื่องมาจากตรงไหน  และความเห็นผมก็ไม่ได้มองว่าการเปิดเพลงมันผิด  ขณะเดียวกันก็เห็นว่าสิ่งที่ลุงพยายามทำนั่นเป็นการรบกวนคนขับมากกว่าการเปิดเพลง  อีกประการที่สำคัญมากที่ทำให้ผมประทับใจคือ  กระเป๋ารถเมล์ค่อนข้างใจเย็นทีเดียว  แต่ที่เย็นยิ่งกว่าคือคนขับรถ  มองอีกมุมคือเป็นคนที่ยอมผู้โดยสารเสียด้วยซ้ำ  ยอมปิดเพลง ยอมเงียบ ยอมไม่พูด ยอมไม่รักษาหน้าของตัวเอง  ซึ่งผมชื่นชมจากใจ

เรื่องราว + ความเห็นของผมก็มีประมาณนี้ครับ
หมายเหตุ  
1. ใจจริงอยากบอกสายรถเมล์เต็มๆ  อยากให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความดีงาม แต่ไม่มั่นใจว่าเปิดเพลงในรถมันผิดกฎไหม  กลัวเขาจะได้รับผลกระทบครับ
2. ขออภัยล่วงหน้าหากความคิดผมไม่ตรงกับความเห็นของท่านอื่น  
3. ขอโทษไปถึงลุงด้วยที่ผมเรียกลุงทั้งๆ ที่ไม่ใช่หลานแต่อย่างใด  ผมไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วจริงๆ
4. ผมแท็กถูกห้องไหมเนี่ย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่