ถ้าหากมีการแข่งขันด้านการทหารของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ประเทศใดกันแน่ที่จะเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้?
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ากองกำลังของประเทศใดที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก จึงต้องเปรียบเทียบความสามารถในแต่ละด้านให้เห็นกันแบบจะจะไม่ว่าจะเป็นกองทัพอากาศ กองทัพบก และกองทัพเรือ
เครื่องบินรบ Stealth
เครื่องบินรบล่องหนหรือ Stealth เป็นเครื่องบินที่ไม่ได้ล่องหนหายไปจากสายตา แต่ถูกพัฒนามาเพื่อลดโอกาสในการถูกตรวจจับจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเรดาร์ คลื่นความร้อน เสียง และอื่นๆ
ปัจจุบันสหรัฐฯ ได้พัฒนาเครื่องบิน Stealth ได้แก่ F-22 และ F-35 ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบเพื่อนำมาใช้งานจริง ส่วนจีนกำลังพัฒนา Stealth fighter 4 รุ่นด้วยกัน โดยเปิดตัว J-31 ในปี 2014 และต่อมาคือ J-20 ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่า F-35 หรืออาจ F-22 นอกจากนี้ได้เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อว่ากำลังมุ่งหน้าผลิต J-23 และ J-25
ส่วนกองทัพอากาศรัสเซียก็กำลังพัฒนา PAK FA T-50 ที่เชื่อว่าจะมีการใช้งานจริงในช่วงปลายปี 2016 หรือต้นปี 2017 โดยหลายฝ่ายให้ความสนใจและเปรียบเทียบสมรรถภาพของ T-50 กับ F-22 แต่อย่างไรก็ตาม F-22 ของกองทัพสหรัฐฯ ยังถือได้ว่าเป็น Stealth fighter ที่ดีที่สุดซึ่งเป็นต้นแบบของเครื่องบินล่องหนรุ่นอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนา
รถถัง
M-1 Abrams เป็นรถถังของสหรัฐฯ ที่ถูกใช้งานครั้งแรกในปี 1980 จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาความแข็งแกร่งและสมรรถภาพให้ดีขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีทั้งปืนขนาด 120 มม. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบควบคุมด้วยรีโมต และตัวถังที่แข็งแกร่งซึ่งผลิตจากยูเรเนียมผสมกับเคฟลาร์
ส่วนกองทัพรัสเซียมีรถถัง T-14 จากนั้นจึงปรับเปลี่ยนมาเป็น T-90A ที่มีระบบโหลดกระสุนอัตโนมัติ เกราะ Reactive Armor หรือเกราะที่จะมีปฏิกิริยาเมื่อถูกยิงด้วยจรวดต่อต้านรถถัง ระบบควบคุมด้วยรีโมต และปืนขนาด 125 มม.
ทางด้านกองทัพจีนกำลังพัฒนารถถังรุ่น Type 99 ที่มีปืนขนาด 125 มม. โหลดกระสุนได้อัตโนมัติ และยังสามารถยิงขีปนาวุธได้อีกด้วย
แม้ว่ารถถังของกองทัพจีนและรัสเซียนั้นดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่ารถถังของกองทัพสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯเองมีประสบการณ์ที่ยาวนานกว่าจึงยากที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
เรือผิวน้ำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสหรัฐอเมริกามีกองทัพที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดเมื่อพูดถึงการสู้รบในมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือจอดเฮลิคอปเตอร์ หรือเทคโนโลยีต่างๆ
แต่ก็คงไม่อาจยืนยันได้ว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ จะสามารถต้านทานความสามารถของจีนและรัสเซียได้ นอกจากนี้ล่าสุดที่กองทัพเรือรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธถล่มซีเรียก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัสเซียสามารถเปลี่ยนเรือลำเล็กให้กลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรงได้อย่างน่าเกรงขาม รวมทั้งขีปนาวุธ Club-K ที่สามารถโจมตีกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ทางด้านกองทัพเรือจีนได้มีการจัดตั้ง Coast Guard หรือหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่งที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในโลก และ Liberation Army Navy ที่มีเรือรบหลายร้อยลำพร้อมขีปนาวุธ อาวุธครบมือ และระบบเซนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงเป็นกองทัพเรือสหรัฐฯ แต่ถ้าหากประมาทหรือไม่มีการวางแผนที่ละเอียดรอบคอบ ก็อาจพ่ายให้กับขีปนาวุธของจีนและรัสเซียได้อย่างง่ายดาย
เรือดำน้ำ
กองทัพเรือสหรัฐฯ มีเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดา 14 ลำพร้อมขีปนาวุธระยะไกล 280 ลูก เรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมขีปนาวุธโจมตีต่อเป้าหมายเหนือผิวน้ำ 4 ลำ ที่สามารถยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กได้ 154 ลูก และเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมตอร์ปิโดอีก 54 ลำ
ส่วนรัสเซียมีเรือดำน้ำทั้งสิ้นเพียง 60 ลำเท่านั้น แต่ก็มีทั้งขีปนาวุธและตอร์ปิโด 100 เมกกะตัน
ทางด้านจีนนั้นมีเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมตอร์ปิโดเพียง 53 ลำ และเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมขีปนาวุธระยะไกล 4 ลำ แต่ก็ได้วางโครงการสร้างเรือดำน้ำที่มีประสิทธิภาพอีกหลายลำด้วยกัน
แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบด้านเรือดำน้ำคงต้องยกให้กับสหรัฐฯ แต่ทั้งจีนและรัสเซียเองก็ตามมาติดๆ ซึ่งในอนาคตอาจไล่ตามกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ทันอย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
บทสรุป
เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งในทุกด้าน จะเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ที่เหนือกว่าคือกองทัพสหรัฐฯ แต่จีนและรัสเซียเองก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่าสหรัฐฯ เลย และถ้าหากมีการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งอีกครั้งในไม่กี่ปีข้างหน้า เชื่อว่ามีโอกาสที่ผลการวิเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ที่มา: BusinessInsider,businessinsider
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.meekhao.com/news/us-china-russia-military
เปรียบเทียบศักยภาพความแข็งแกร่งทางการทหาร หากสหรัฐฯ VS จีน VS รัสเซียเริ่มรบกัน!!
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่ากองกำลังของประเทศใดที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก จึงต้องเปรียบเทียบความสามารถในแต่ละด้านให้เห็นกันแบบจะจะไม่ว่าจะเป็นกองทัพอากาศ กองทัพบก และกองทัพเรือ
เครื่องบินรบ Stealth
เครื่องบินรบล่องหนหรือ Stealth เป็นเครื่องบินที่ไม่ได้ล่องหนหายไปจากสายตา แต่ถูกพัฒนามาเพื่อลดโอกาสในการถูกตรวจจับจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเรดาร์ คลื่นความร้อน เสียง และอื่นๆ
ปัจจุบันสหรัฐฯ ได้พัฒนาเครื่องบิน Stealth ได้แก่ F-22 และ F-35 ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบเพื่อนำมาใช้งานจริง ส่วนจีนกำลังพัฒนา Stealth fighter 4 รุ่นด้วยกัน โดยเปิดตัว J-31 ในปี 2014 และต่อมาคือ J-20 ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่า F-35 หรืออาจ F-22 นอกจากนี้ได้เผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อว่ากำลังมุ่งหน้าผลิต J-23 และ J-25
ส่วนกองทัพอากาศรัสเซียก็กำลังพัฒนา PAK FA T-50 ที่เชื่อว่าจะมีการใช้งานจริงในช่วงปลายปี 2016 หรือต้นปี 2017 โดยหลายฝ่ายให้ความสนใจและเปรียบเทียบสมรรถภาพของ T-50 กับ F-22 แต่อย่างไรก็ตาม F-22 ของกองทัพสหรัฐฯ ยังถือได้ว่าเป็น Stealth fighter ที่ดีที่สุดซึ่งเป็นต้นแบบของเครื่องบินล่องหนรุ่นอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพัฒนา
รถถัง
M-1 Abrams เป็นรถถังของสหรัฐฯ ที่ถูกใช้งานครั้งแรกในปี 1980 จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาความแข็งแกร่งและสมรรถภาพให้ดีขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีทั้งปืนขนาด 120 มม. ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบควบคุมด้วยรีโมต และตัวถังที่แข็งแกร่งซึ่งผลิตจากยูเรเนียมผสมกับเคฟลาร์
ส่วนกองทัพรัสเซียมีรถถัง T-14 จากนั้นจึงปรับเปลี่ยนมาเป็น T-90A ที่มีระบบโหลดกระสุนอัตโนมัติ เกราะ Reactive Armor หรือเกราะที่จะมีปฏิกิริยาเมื่อถูกยิงด้วยจรวดต่อต้านรถถัง ระบบควบคุมด้วยรีโมต และปืนขนาด 125 มม.
ทางด้านกองทัพจีนกำลังพัฒนารถถังรุ่น Type 99 ที่มีปืนขนาด 125 มม. โหลดกระสุนได้อัตโนมัติ และยังสามารถยิงขีปนาวุธได้อีกด้วย
แม้ว่ารถถังของกองทัพจีนและรัสเซียนั้นดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพมากกว่ารถถังของกองทัพสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯเองมีประสบการณ์ที่ยาวนานกว่าจึงยากที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
เรือผิวน้ำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสหรัฐอเมริกามีกองทัพที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดเมื่อพูดถึงการสู้รบในมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือจอดเฮลิคอปเตอร์ หรือเทคโนโลยีต่างๆ
แต่ก็คงไม่อาจยืนยันได้ว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ จะสามารถต้านทานความสามารถของจีนและรัสเซียได้ นอกจากนี้ล่าสุดที่กองทัพเรือรัสเซียได้ยิงขีปนาวุธถล่มซีเรียก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัสเซียสามารถเปลี่ยนเรือลำเล็กให้กลายเป็นอาวุธที่ร้ายแรงได้อย่างน่าเกรงขาม รวมทั้งขีปนาวุธ Club-K ที่สามารถโจมตีกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
ทางด้านกองทัพเรือจีนได้มีการจัดตั้ง Coast Guard หรือหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่งที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในโลก และ Liberation Army Navy ที่มีเรือรบหลายร้อยลำพร้อมขีปนาวุธ อาวุธครบมือ และระบบเซนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงเป็นกองทัพเรือสหรัฐฯ แต่ถ้าหากประมาทหรือไม่มีการวางแผนที่ละเอียดรอบคอบ ก็อาจพ่ายให้กับขีปนาวุธของจีนและรัสเซียได้อย่างง่ายดาย
เรือดำน้ำ
กองทัพเรือสหรัฐฯ มีเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดา 14 ลำพร้อมขีปนาวุธระยะไกล 280 ลูก เรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมขีปนาวุธโจมตีต่อเป้าหมายเหนือผิวน้ำ 4 ลำ ที่สามารถยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กได้ 154 ลูก และเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมตอร์ปิโดอีก 54 ลำ
ส่วนรัสเซียมีเรือดำน้ำทั้งสิ้นเพียง 60 ลำเท่านั้น แต่ก็มีทั้งขีปนาวุธและตอร์ปิโด 100 เมกกะตัน
ทางด้านจีนนั้นมีเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมตอร์ปิโดเพียง 53 ลำ และเรือดำน้ำขับเคลื่อนแบบธรรมดาพร้อมขีปนาวุธระยะไกล 4 ลำ แต่ก็ได้วางโครงการสร้างเรือดำน้ำที่มีประสิทธิภาพอีกหลายลำด้วยกัน
แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบด้านเรือดำน้ำคงต้องยกให้กับสหรัฐฯ แต่ทั้งจีนและรัสเซียเองก็ตามมาติดๆ ซึ่งในอนาคตอาจไล่ตามกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ทันอย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก
บทสรุป
เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งในทุกด้าน จะเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ที่เหนือกว่าคือกองทัพสหรัฐฯ แต่จีนและรัสเซียเองก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่าสหรัฐฯ เลย และถ้าหากมีการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งอีกครั้งในไม่กี่ปีข้างหน้า เชื่อว่ามีโอกาสที่ผลการวิเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ที่มา: BusinessInsider,businessinsider [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้