รีวิวนี้ได้ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน จึงขอมาปรับปรุงเพิ่มเติม
เดี๋ยวนี้ได้ยินบ่อยๆทั้งจาก ผู้รับเหมา, ช่างสี, ร้านค้าสี, พนักงานขาย/PC, เจ้าของบ้าน รวมทั้ง post ใน pantip ที่พูดถึงอยู่เสมอว่า "
สีตระกูลชิลด์" >> แล้วมันหมายถึง "สีอะไร" ?
ความหมายของคำว่า "ชิลด์ / shield"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https:dict.longdo/search/shield
จึงอยากมาเล่าเรื่องที่มา / ที่ไป ของชื่อสีที่มักมีการลงท้ายว่า "Shield" เหล่านี้กัน >> สมัยเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน สีสำหรับงานทาผิวปูน-คอนกรีตนั้น จะเป็น "สีน้ำพลาสติก" หรือ สีน้ำโพลีไวนิลอะซิเตต (
Polyvinyl Acetate Emulsion / PVAc) โดยบางครั้งช่างก็เรียกกันย่อๆว่า "สีน้ำ" บ้าง "สีพลาสติก" บ้าง
ซึ่งส่วนประกอบของเนื้อกาว / ฟิล์มสี (Resin) จะประกอบด้วยสารอะครีลิค (
Acrylic) กับ ไวนิล (
Vinyl) ร่วมกัน สีชนิดนี้ทนต่อสภาวะอากาศเขตร้อนชื้นอย่างประเทศเราได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ยาวนานนัก เพราะโซนบ้านเราประกอบทั้งรังสี UV ที่รุนแรง และมีฝน & ความชื้นสูงมาก จะมีอายุงานสีประมาณ 3-6 ปี (
แล้วแต่เกรด / ยี่ห้อ), โดยผู้นำตลาดบนสมัยนั้นก็จะเป็นสียี่ห้อต่างประเทศเป็นหลัก (
และเป็นค่านิยมคนยุคนั้น) อาทิ ICI, Sissons, Sinclair, Sherwin Williams, Pammastic, Sigma และ จะมีสีคนไทยอยู่บ้างก็ยี่ห้อ > Captain (
แต่ก็ต้องแฝงเนียนเป็นสี ตปท.ไปในสื่อโฆษณา & บน Catalog) เป็นต้น
หมายเหตุ : บทความ / รีวิวนี้ จะเน้นเฉพาะสีภายนอกเป็นหลัก
ต่อมาราว 35-40 ปีก่อน สถาปนิกได้พยายามถามหา / คัดเลือกหาสีที่มีคุณภาพคงทนมากขึ้น ก็มีบริษัทผู้ผลิตจำหน่ายสีบางราย อาทิ ICI (Dulux), Jotun และ TOA ก็แนะนำให้มาเลือกใช้ "สีน้ำมันคลอรีเนเต็ดรับเบอร์" หรือ Chlorinated Rubber ที่เนื้อกาว / ฟิล์มสีทำมาจาก คลอรีน กับ สารโพลีโอลิฟิน ฟิล์มสีมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย ทนต่อสภาพความเป็นด่างของปูนได้ดี ทนทานต่อสารเคมีได้ดี โดยนิยมใช้ในงานสุอุตสาหกกรรม แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในสีทาอาคาร >> แต่ด้วยมีราคาสูง ประกอบทั้งเป็นสีสูตรน้ำมัน (
Solvent Based) จึงไม่ค่อยนิยมแพร่หลายนัก รวมทั้งมีข้อจำกัดบางอย่าง >> สีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีขาวหม่น (
สีงาช้าง) และสีสดหรือสีเข้มจะเพี้ยน/ซีดจางเร็ว
หมายเหตุ : ปัจจุบันสีประเภทนี้ ก็ยังคงมีนิยมใช้ในงานสีอุตสาหกรรมอยู่บ้าง
ต่อมาก็มาสู่ยุค "
สีน้ำอะครีลิค" >> ด้วยความก้าวหน้าของวงการปิโตรเลี่ยม ที่สามารถสกัดเคมีภัณฑ์ต่างๆออกมาได้มากขึ้น นำไปใช้การออกแบบผลิตวัสดุต่างๆ รวมทั้ง "สารอะครีลิค 100%" ทำให้มีการเปลี่ยนโฉมวัสดุต่างๆมากมาย อาทิ เลนซ์แว่นตา สมัยก่อนเป็นกระจก ซึ่งตกแล้วแตกต้องไปทำใหม่เสมอๆ หรือโคมไฟหน้า/ไฟท้ายรถยนต์สมัยก่อนก็ล้วนแต่เป็นแก้วทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันก็เป็นอะครีลิคกันหมดแล้ว
รวมทั้งวงการสีก็เช่นเดียวกัน ที่สามารถใช้เนื้อกาว / ฟิล์มสี (Resin) ที่ทำมาจากสารอะครีลิค 100% ได้ ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการป้องกันด่างในปูน-คอนกรีตได้ดี ให้ยึดเกาะได้ดี และทนรังสี UV ได้ดีกว่าสีน้ำพลาสติกยุคก่อนค่อนข้างมาก รวมทั้งมีการพัฒนาสาร "ผงสี" หรือ Pigment ก็พัฒนาดีตามมาด้วย จึงเกิด "
สีน้ำอะครีลิค 100%" (
Pure Acrylic Emulsion) ขึ้นมา
ในประเทศไทย ผู้ผลิตจำหน่ายสีที่พัฒนาและทำการตลาดสีน้ำอะคริลิคอย่างจริงจัง คือ TOA ที่เป็นสีเกรดกลางๆในยุคนั้น (
ขณะที่ ICI และ Sherwin Williams มีสินค้าชนิดนี้แต่ก็ไม่ทำตลาด คงยังไปทำตลาดสี Chlorinated Rubber อยู่)
TOA : ใช้ชื่อ Supershield Acrylsilk 10 >> ที่รับประกันคุณภาพ 10 ปีเป็นรายแรก (
เลข 10) มีฟิล์มสีเนียนประดุลไหม (silk)
ICI : ใช้ชื่อ Dulux Weathershield
Sherwin Williams : ใช้ชื่อ Kem Latex
และต่อมาอีก 1-2 ปี ก็มียี่ห้อ Captain ออกผลิตภัณฑ์ Parashield (
ปัจจุบันคือ Parashield CoolMax) และ ยี่ห้อ Pammastic :
Pammacrylic Shield ตามออกมา >> จะเห็นได้ว่าแต่ละรายก็มีคำว่า "
Shield" ลงท้ายชื่อผลิตภัณฑ์ของตนเองพ่วงด้วยเสมอ (
แต่ยี่ห้อ ตปท. คงใช้ชื่อตามบริษัทแม่อยู่ อาทิ Sherwin Williams : Kem Latex)
ซึ่ง "
สีทีโอเอ ซุปเปอร์ชิลด์" ถือเป็นเรือธงที่ทำให้ยี่ห้อ TOA ของคนไทยก้าวขึ้นสู่สีเกรดบน และเริ่มได้รับการยอมรับและยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของไทย จนทิ้งห่างจากอันดับ 2, 3, 4 และ 5 ค่อนข้างมาก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ด้วยบทพิสูจน์ของอาคารนับร้อย / นับพันโครงการ อาทิ Centeral Plaza และ Hyatt Central Plaza Hotel (
ชื่อสมัยนั้น) ห้าแยกลาดพร้าว ที่สีทนทานมานานร่วม 30 ปี จนหมดสัมปทานกับ รฟท. (
ประมาณปี 2557) ก็ไม่เคยมีการ Renovate เลย >> จนเมื่อมีการต่อสัมปทานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว จึงมีการปรับปรุงทาสีกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็เลือกใช้ TOA Supershield เช่นเดิม (
รวมทั้งงานโครงการต่างๆของ Central Pattana)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.toagroup.com/reference
"เส้นทางหลากสี" เถ้าแก่ TOA >>
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://books.google.co.th/books?id=KuDiBAAAQBAJ&pg=PT12&lpg=PT12&dq=สีตระกูล+ชิลด์&source=bl&ots=oA9cOR__PM&sig=8mKIY_nxc_6WY7Gzgp3Mw8wuB-s&hl=th&sa=X&ved=0ahUKEwjVh9bN8qrKAhWLjo4KHROqBEQQ6AEILDAH#v=onepage&q=สีตระกูล%20ชิลด์&f=false
ดังนั้น จึงเป็นความเชื่อว่า หากสีรุ่นใดมีชื่อ "
ชิลด์ /
Shield" คือสีอะครีลิค 100% จะมีคุณภาพสูงกว่าสีน้ำพลาสติกรุ่นเดิมๆ >> คล้ายๆสมัยก่อนในวงการรถยนต์ ที่รถรุ่นใดมีระบบ กระจกไฟฟ้า, Central Lock, ABS, Air Bag ถือว่าเป็นรถเกรดดี (
เริ่มแรกมีแต่ในรถยุโรป) แต่หลักคิดนี้คงมาใช้ในปัจจุบันไม่ได้เสียแล้ว เพราะ City, Jazz, Vios หรือ Yaris ก็มีสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามรถยุโรปหรือญี่ปุ่นรุ่น Top ก็จะต้องเสริมสร้างประสิทธิภาพพิเศษต่างๆเพื่มขึ้นมาตลอดเวลา
ตั้งแต่นั้นมา บริษัทผู้ผลิตสีต่างๆก็ออกผลิตภัณฑ์สีน้ำอะครีลิค โดยมีพ่วงชื่อ "
Shield" กับสินค้าตัวเองเสมอ
(แม้แต่สี Jotun ที่ออกผลิตภัณฑ์เกรดนี้ภายหลัง ถึงจะเป็นสี ตปท. ก็มาเล่นชื่อแบบนี้ คือ "Jotashield") อาทิ CIC : Homeshield, Delta : Delta Shield, Nippon Paint : Color Shield, Beger : Synotex Shield เป็นต้น เพื่อที่จะสร้างภาพพจน์สินค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับในตลาดบนๆ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวก็เยอะ >> จนปัจจุบันมีสีที่ลงท้ายด้วย "ชิลด์ / Shield" มากมายหลายสิบหลายร้อยยี่ห้อ อาทิ Hybrid Shield, Turbo Shield, Future Shield, Beauty Shield, Smart Shield, Power Shield, NanoPro Shield, Lobster Shield (
กุ้งล็อบสเตอร์ ก็มากับเขาด้วย) และอื่นๆอีกมากมาย >> จึงมีสีอะครีลิคภายนอก "ตระกูลชิลด์" ราคาตั้งแต่ 1,000 ต้นๆจนถึง 4,000 กว่าบาท / ถังใหญ่
(
ปัจจุบันแทบไม่มีสีน้ำพลาสติกหลงเหลืออยู่ในตลาดแล้ว ล้วนเป็นสีอะครีลิค 100% ทั้งสิ้น)
ดังนั้นปัจจุบันจะใช้ความเชื่อที่ว่า สีที่มีคำว่า "ชิลด์" พ่วงท้าย จะเป็นสีพรีเมี่ยมเกรด คงจะไม่ได้เสียแล้ว
รวมทั้งในยี่ห้อเดียวกัน ก็อาจจะมีสีที่ลงท้ายชื่อด้วย "ชิลด์" หลายรุ่นด้วย ดังนั้นอย่าได้เพียงบอกช่างสีหรือร้านค้าขายสีว่าต้องการ "สีตระกูลชิลด์" เพราะอาจจะไม่ได้สีพรีเมี่ยมเกรดตามที่ต้องการครับ อาทิ
TOA : Supershield >> Extra Shield >> Shield 1 Nano
ICI : Dulux Weathershield Flexx >> Dulux Weathershield Ultima >> Dulux Pentalite Shield
Captain : Parashield CoolMax >> Shield Plus >> Repaint TriShield >> Waxy Shield
Pammastic : Dirt Shield >> Pammacrylic Shield >> Permoshield
Nippon Paint : Colorshield >> Triple Shield >> NeoShield >> Vinilex HybridShield
Beger : Begershield >> Synotex Shield >> Begercool UV Shield >> NanoPro Shield
หวังว่า สมาชิก pantip คงเข้าใจที่มาที่ไปของ "สีตระกูลชิลด์" และเข้าใจการเลือกซื้อ / เลือกใช้สีกันมากขึ้นนะครับ
หากไม่แน่ใจว่า "สียี่ห้อต่างประเทศ น่าจะดีกว่าสียี่ห้อคนไทย" จริงหรือไม่? แนะนำอ่านกระทู้ที่
http://ppantip.com/topic/34465357
หรือต้องการความรู้ "เกร็ดความรู้ สีทาบ้าน" แนะนำอ่านที่
https://ppantip.com/topic/36068171
[SR] สีที่มีชื่อลงท้ายว่า "ชิลด์" เป็นสีเกรดดีจริงหรือ ?
รีวิวนี้ได้ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน จึงขอมาปรับปรุงเพิ่มเติม
เดี๋ยวนี้ได้ยินบ่อยๆทั้งจาก ผู้รับเหมา, ช่างสี, ร้านค้าสี, พนักงานขาย/PC, เจ้าของบ้าน รวมทั้ง post ใน pantip ที่พูดถึงอยู่เสมอว่า "สีตระกูลชิลด์" >> แล้วมันหมายถึง "สีอะไร" ?
ความหมายของคำว่า "ชิลด์ / shield" [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จึงอยากมาเล่าเรื่องที่มา / ที่ไป ของชื่อสีที่มักมีการลงท้ายว่า "Shield" เหล่านี้กัน >> สมัยเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน สีสำหรับงานทาผิวปูน-คอนกรีตนั้น จะเป็น "สีน้ำพลาสติก" หรือ สีน้ำโพลีไวนิลอะซิเตต (Polyvinyl Acetate Emulsion / PVAc) โดยบางครั้งช่างก็เรียกกันย่อๆว่า "สีน้ำ" บ้าง "สีพลาสติก" บ้าง
ซึ่งส่วนประกอบของเนื้อกาว / ฟิล์มสี (Resin) จะประกอบด้วยสารอะครีลิค (Acrylic) กับ ไวนิล (Vinyl) ร่วมกัน สีชนิดนี้ทนต่อสภาวะอากาศเขตร้อนชื้นอย่างประเทศเราได้ดีพอสมควร แต่ก็ไม่ยาวนานนัก เพราะโซนบ้านเราประกอบทั้งรังสี UV ที่รุนแรง และมีฝน & ความชื้นสูงมาก จะมีอายุงานสีประมาณ 3-6 ปี (แล้วแต่เกรด / ยี่ห้อ), โดยผู้นำตลาดบนสมัยนั้นก็จะเป็นสียี่ห้อต่างประเทศเป็นหลัก (และเป็นค่านิยมคนยุคนั้น) อาทิ ICI, Sissons, Sinclair, Sherwin Williams, Pammastic, Sigma และ จะมีสีคนไทยอยู่บ้างก็ยี่ห้อ > Captain (แต่ก็ต้องแฝงเนียนเป็นสี ตปท.ไปในสื่อโฆษณา & บน Catalog) เป็นต้น
หมายเหตุ : บทความ / รีวิวนี้ จะเน้นเฉพาะสีภายนอกเป็นหลัก
ต่อมาราว 35-40 ปีก่อน สถาปนิกได้พยายามถามหา / คัดเลือกหาสีที่มีคุณภาพคงทนมากขึ้น ก็มีบริษัทผู้ผลิตจำหน่ายสีบางราย อาทิ ICI (Dulux), Jotun และ TOA ก็แนะนำให้มาเลือกใช้ "สีน้ำมันคลอรีเนเต็ดรับเบอร์" หรือ Chlorinated Rubber ที่เนื้อกาว / ฟิล์มสีทำมาจาก คลอรีน กับ สารโพลีโอลิฟิน ฟิล์มสีมีความยืดหยุ่นเล็กน้อย ทนต่อสภาพความเป็นด่างของปูนได้ดี ทนทานต่อสารเคมีได้ดี โดยนิยมใช้ในงานสุอุตสาหกกรรม แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในสีทาอาคาร >> แต่ด้วยมีราคาสูง ประกอบทั้งเป็นสีสูตรน้ำมัน (Solvent Based) จึงไม่ค่อยนิยมแพร่หลายนัก รวมทั้งมีข้อจำกัดบางอย่าง >> สีขาวจะเปลี่ยนเป็นสีขาวหม่น (สีงาช้าง) และสีสดหรือสีเข้มจะเพี้ยน/ซีดจางเร็ว
หมายเหตุ : ปัจจุบันสีประเภทนี้ ก็ยังคงมีนิยมใช้ในงานสีอุตสาหกรรมอยู่บ้าง
ต่อมาก็มาสู่ยุค "สีน้ำอะครีลิค" >> ด้วยความก้าวหน้าของวงการปิโตรเลี่ยม ที่สามารถสกัดเคมีภัณฑ์ต่างๆออกมาได้มากขึ้น นำไปใช้การออกแบบผลิตวัสดุต่างๆ รวมทั้ง "สารอะครีลิค 100%" ทำให้มีการเปลี่ยนโฉมวัสดุต่างๆมากมาย อาทิ เลนซ์แว่นตา สมัยก่อนเป็นกระจก ซึ่งตกแล้วแตกต้องไปทำใหม่เสมอๆ หรือโคมไฟหน้า/ไฟท้ายรถยนต์สมัยก่อนก็ล้วนแต่เป็นแก้วทั้งสิ้น แต่ปัจจุบันก็เป็นอะครีลิคกันหมดแล้ว
รวมทั้งวงการสีก็เช่นเดียวกัน ที่สามารถใช้เนื้อกาว / ฟิล์มสี (Resin) ที่ทำมาจากสารอะครีลิค 100% ได้ ซึ่งจะมีคุณสมบัติในการป้องกันด่างในปูน-คอนกรีตได้ดี ให้ยึดเกาะได้ดี และทนรังสี UV ได้ดีกว่าสีน้ำพลาสติกยุคก่อนค่อนข้างมาก รวมทั้งมีการพัฒนาสาร "ผงสี" หรือ Pigment ก็พัฒนาดีตามมาด้วย จึงเกิด "สีน้ำอะครีลิค 100%" (Pure Acrylic Emulsion) ขึ้นมา
ในประเทศไทย ผู้ผลิตจำหน่ายสีที่พัฒนาและทำการตลาดสีน้ำอะคริลิคอย่างจริงจัง คือ TOA ที่เป็นสีเกรดกลางๆในยุคนั้น (ขณะที่ ICI และ Sherwin Williams มีสินค้าชนิดนี้แต่ก็ไม่ทำตลาด คงยังไปทำตลาดสี Chlorinated Rubber อยู่)
TOA : ใช้ชื่อ Supershield Acrylsilk 10 >> ที่รับประกันคุณภาพ 10 ปีเป็นรายแรก (เลข 10) มีฟิล์มสีเนียนประดุลไหม (silk)
ICI : ใช้ชื่อ Dulux Weathershield
Sherwin Williams : ใช้ชื่อ Kem Latex
และต่อมาอีก 1-2 ปี ก็มียี่ห้อ Captain ออกผลิตภัณฑ์ Parashield (ปัจจุบันคือ Parashield CoolMax) และ ยี่ห้อ Pammastic : Pammacrylic Shield ตามออกมา >> จะเห็นได้ว่าแต่ละรายก็มีคำว่า "Shield" ลงท้ายชื่อผลิตภัณฑ์ของตนเองพ่วงด้วยเสมอ (แต่ยี่ห้อ ตปท. คงใช้ชื่อตามบริษัทแม่อยู่ อาทิ Sherwin Williams : Kem Latex)
ซึ่ง "สีทีโอเอ ซุปเปอร์ชิลด์" ถือเป็นเรือธงที่ทำให้ยี่ห้อ TOA ของคนไทยก้าวขึ้นสู่สีเกรดบน และเริ่มได้รับการยอมรับและยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของไทย จนทิ้งห่างจากอันดับ 2, 3, 4 และ 5 ค่อนข้างมาก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ด้วยบทพิสูจน์ของอาคารนับร้อย / นับพันโครงการ อาทิ Centeral Plaza และ Hyatt Central Plaza Hotel (ชื่อสมัยนั้น) ห้าแยกลาดพร้าว ที่สีทนทานมานานร่วม 30 ปี จนหมดสัมปทานกับ รฟท. (ประมาณปี 2557) ก็ไม่เคยมีการ Renovate เลย >> จนเมื่อมีการต่อสัมปทานเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว จึงมีการปรับปรุงทาสีกันใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็เลือกใช้ TOA Supershield เช่นเดิม (รวมทั้งงานโครงการต่างๆของ Central Pattana) [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"เส้นทางหลากสี" เถ้าแก่ TOA >> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้น จึงเป็นความเชื่อว่า หากสีรุ่นใดมีชื่อ "ชิลด์ / Shield" คือสีอะครีลิค 100% จะมีคุณภาพสูงกว่าสีน้ำพลาสติกรุ่นเดิมๆ >> คล้ายๆสมัยก่อนในวงการรถยนต์ ที่รถรุ่นใดมีระบบ กระจกไฟฟ้า, Central Lock, ABS, Air Bag ถือว่าเป็นรถเกรดดี (เริ่มแรกมีแต่ในรถยุโรป) แต่หลักคิดนี้คงมาใช้ในปัจจุบันไม่ได้เสียแล้ว เพราะ City, Jazz, Vios หรือ Yaris ก็มีสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามรถยุโรปหรือญี่ปุ่นรุ่น Top ก็จะต้องเสริมสร้างประสิทธิภาพพิเศษต่างๆเพื่มขึ้นมาตลอดเวลา
ตั้งแต่นั้นมา บริษัทผู้ผลิตสีต่างๆก็ออกผลิตภัณฑ์สีน้ำอะครีลิค โดยมีพ่วงชื่อ "Shield" กับสินค้าตัวเองเสมอ (แม้แต่สี Jotun ที่ออกผลิตภัณฑ์เกรดนี้ภายหลัง ถึงจะเป็นสี ตปท. ก็มาเล่นชื่อแบบนี้ คือ "Jotashield") อาทิ CIC : Homeshield, Delta : Delta Shield, Nippon Paint : Color Shield, Beger : Synotex Shield เป็นต้น เพื่อที่จะสร้างภาพพจน์สินค้าของตนเองให้เป็นที่ยอมรับในตลาดบนๆ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวก็เยอะ >> จนปัจจุบันมีสีที่ลงท้ายด้วย "ชิลด์ / Shield" มากมายหลายสิบหลายร้อยยี่ห้อ อาทิ Hybrid Shield, Turbo Shield, Future Shield, Beauty Shield, Smart Shield, Power Shield, NanoPro Shield, Lobster Shield (กุ้งล็อบสเตอร์ ก็มากับเขาด้วย) และอื่นๆอีกมากมาย >> จึงมีสีอะครีลิคภายนอก "ตระกูลชิลด์" ราคาตั้งแต่ 1,000 ต้นๆจนถึง 4,000 กว่าบาท / ถังใหญ่
(ปัจจุบันแทบไม่มีสีน้ำพลาสติกหลงเหลืออยู่ในตลาดแล้ว ล้วนเป็นสีอะครีลิค 100% ทั้งสิ้น)
รวมทั้งในยี่ห้อเดียวกัน ก็อาจจะมีสีที่ลงท้ายชื่อด้วย "ชิลด์" หลายรุ่นด้วย ดังนั้นอย่าได้เพียงบอกช่างสีหรือร้านค้าขายสีว่าต้องการ "สีตระกูลชิลด์" เพราะอาจจะไม่ได้สีพรีเมี่ยมเกรดตามที่ต้องการครับ อาทิ
TOA : Supershield >> Extra Shield >> Shield 1 Nano
ICI : Dulux Weathershield Flexx >> Dulux Weathershield Ultima >> Dulux Pentalite Shield
Captain : Parashield CoolMax >> Shield Plus >> Repaint TriShield >> Waxy Shield
Pammastic : Dirt Shield >> Pammacrylic Shield >> Permoshield
Nippon Paint : Colorshield >> Triple Shield >> NeoShield >> Vinilex HybridShield
Beger : Begershield >> Synotex Shield >> Begercool UV Shield >> NanoPro Shield
หวังว่า สมาชิก pantip คงเข้าใจที่มาที่ไปของ "สีตระกูลชิลด์" และเข้าใจการเลือกซื้อ / เลือกใช้สีกันมากขึ้นนะครับ
หากไม่แน่ใจว่า "สียี่ห้อต่างประเทศ น่าจะดีกว่าสียี่ห้อคนไทย" จริงหรือไม่? แนะนำอ่านกระทู้ที่ http://ppantip.com/topic/34465357
หรือต้องการความรู้ "เกร็ดความรู้ สีทาบ้าน" แนะนำอ่านที่ https://ppantip.com/topic/36068171