รัฐบาลปลื้มประชาชนตอบรับพร้อมเพย์ดี ระบบรักษาความปลอดภัยรัดกุม
วันจันทร์ 30 มกราคม 2017 2:52 pm
พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลได้เปิดให้บริการ
พร้อมเพย์หรือการโอนและรับเงินแบบใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. พบว่า ประชาชน
ให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เช่น
โอนเงินได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา เพียงใส่หมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือเลขประจำตัวประชาชนที่ลงทะเบียน
กับพร้อมเพย์ไว้
"ข้อดีของพร้อมเพย์คือ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับการทำธุรกรรมตามปกติ
แม้จะโอนต่างธนาคาร เช่น โอนเงินครั้งละไม่เกิน 5,000 บาท จะไม่เสียค่าธรรมเนียม โอนเงิน 5,000 บาท
ไม่เกิน 30,000 บาท เสีย 2 บาท โอนเงิน 30,000 บาท ไม่เกิน 100,000 บาท เสีย 5 บาท โอนเงิน
100,000 บาทขึ้นไป เสีย 10 บาท โดยธนาคารอาจมีการแข่งขันให้ค่าธรรมเนียมถูกลงได้อีก จึงอยากให้
ประชาชนไปลงทะเบียนพร้อมเพย์ที่ธนาคารที่ตนเองมีบัญชีอยู่หรือผ่านระบบออนไลน์ก็ได้"
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อกังวลในเรื่องความปลอดภัยนั้น ธนาคารจะมีการตรวจสอบตัวตน
ของลูกค้าและความเป็นเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์อย่างรัดกุมตามแนวทางปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ระบบกลางยังมีความปลอดภัยเพราะพัฒนาจากระบบโอนเงินที่เป็นระบบปิด คนทั่วไป
ไม่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลผู้ลงทะเบียนได้ เพราะไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสู่ภายนอก และยังถูกออกแบบ
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบชำระเงินจากต่างประเทศที่มีแผนรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งผู้โอนเงินต้อง
มี Username และ Password ส่วนผู้รับเงินจะนำเงินออกมาใช้ได้ก็ต้องทำธุรกรรมตามปกติ
"พร้อมเพย์ยังมีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะ SMEs และ e-commerce เพราะผู้ซื้อ
เพียงรู้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ขายก็สามารถโอนเงินได้ทันที ไม่ต้องถือเงินสดมากๆ ไม่ต้องจำเลขบัญชี
ธนาคาร และประหยัดค่าธรรมเนียม ช่วยลดต้นทุนการบริหารเงินสดของธนาคาร ลดต้นทุนของประเทศ
ในการโอนเงินได้ปีละ 1.8 แสนลบ. ง่ายต่อการจัดเก็บภาษี ลดปัญหาคอร์รัปชัน และช่วยให้รัฐมีฐานข้อมูล
สำหรับใช้ติดต่อประชาชนทุกกลุ่มจากการเชื่อมโยงหมายเลขโทรศัพท์ เลขบัญชีธนาคาร และเลขประจำตัว
ประชาชน เพื่อจัดสวัสดิการให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร คนชรา ฯลฯ"
สำหรับในวันที่ 1 มี.ค.60 จะเริ่มเปิดให้นิติบุคคลลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ และเริ่มให้บริการโอนเงินได้ทันที
รวมทั้งจะเริ่มให้มีการใช้ใบกำกับภาษี (e-Tax Invoice) ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งใน
โครงการตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการเงินและขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศให้เข้มแข็ง และประชาชนได้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
http://www.springnews.co.th/th/2017/01/20792/
ปักหมุด! พลโทไก่อู การันตี ระบบการเงิน"พร้อมเพย์"ปลอดภัยสุดยอด รัดกุม!
วันจันทร์ 30 มกราคม 2017 2:52 pm
พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลได้เปิดให้บริการ
พร้อมเพย์หรือการโอนและรับเงินแบบใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. พบว่า ประชาชน
ให้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เช่น
โอนเงินได้ทันทีทุกที่ทุกเวลา เพียงใส่หมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือเลขประจำตัวประชาชนที่ลงทะเบียน
กับพร้อมเพย์ไว้
"ข้อดีของพร้อมเพย์คือ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือเสียน้อยมากเมื่อเทียบกับการทำธุรกรรมตามปกติ
แม้จะโอนต่างธนาคาร เช่น โอนเงินครั้งละไม่เกิน 5,000 บาท จะไม่เสียค่าธรรมเนียม โอนเงิน 5,000 บาท
ไม่เกิน 30,000 บาท เสีย 2 บาท โอนเงิน 30,000 บาท ไม่เกิน 100,000 บาท เสีย 5 บาท โอนเงิน
100,000 บาทขึ้นไป เสีย 10 บาท โดยธนาคารอาจมีการแข่งขันให้ค่าธรรมเนียมถูกลงได้อีก จึงอยากให้
ประชาชนไปลงทะเบียนพร้อมเพย์ที่ธนาคารที่ตนเองมีบัญชีอยู่หรือผ่านระบบออนไลน์ก็ได้"
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า สำหรับข้อกังวลในเรื่องความปลอดภัยนั้น ธนาคารจะมีการตรวจสอบตัวตน
ของลูกค้าและความเป็นเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์อย่างรัดกุมตามแนวทางปฏิบัติของธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ระบบกลางยังมีความปลอดภัยเพราะพัฒนาจากระบบโอนเงินที่เป็นระบบปิด คนทั่วไป
ไม่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลผู้ลงทะเบียนได้ เพราะไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสู่ภายนอก และยังถูกออกแบบ
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านระบบชำระเงินจากต่างประเทศที่มีแผนรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งผู้โอนเงินต้อง
มี Username และ Password ส่วนผู้รับเงินจะนำเงินออกมาใช้ได้ก็ต้องทำธุรกรรมตามปกติ
"พร้อมเพย์ยังมีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะ SMEs และ e-commerce เพราะผู้ซื้อ
เพียงรู้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ขายก็สามารถโอนเงินได้ทันที ไม่ต้องถือเงินสดมากๆ ไม่ต้องจำเลขบัญชี
ธนาคาร และประหยัดค่าธรรมเนียม ช่วยลดต้นทุนการบริหารเงินสดของธนาคาร ลดต้นทุนของประเทศ
ในการโอนเงินได้ปีละ 1.8 แสนลบ. ง่ายต่อการจัดเก็บภาษี ลดปัญหาคอร์รัปชัน และช่วยให้รัฐมีฐานข้อมูล
สำหรับใช้ติดต่อประชาชนทุกกลุ่มจากการเชื่อมโยงหมายเลขโทรศัพท์ เลขบัญชีธนาคาร และเลขประจำตัว
ประชาชน เพื่อจัดสวัสดิการให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร คนชรา ฯลฯ"
สำหรับในวันที่ 1 มี.ค.60 จะเริ่มเปิดให้นิติบุคคลลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ และเริ่มให้บริการโอนเงินได้ทันที
รวมทั้งจะเริ่มให้มีการใช้ใบกำกับภาษี (e-Tax Invoice) ทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งใน
โครงการตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางการเงินและขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศให้เข้มแข็ง และประชาชนได้รับบริการอย่างมีประสิทธิภาพ
http://www.springnews.co.th/th/2017/01/20792/