เหตุเกิดในรัฐยะไข่ (Rakhine ชื่อเดิม Arakan) ของพม่า เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2555
หญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนแล้วฆ่า หญิงคนนั้นเป็นชาวพุทธ ส่วนฝ่ายที่ข่มขืนนับถือศาสนาอิสลาม ความโกรธแค้นจึงกลายเป็นการปะทะห้ำหั่นกันระหว่างคนสองกลุ่มศาสนาในรัฐเดียวกันในประเทศเดียวกัน
วันที่ 4 มิถุนายน ฝูงชนชาวพุทธบุกฆ่าชาวมุสลิมตายไป 10 คน บนรถบัสโดยสาร ในเขตอำเภอตองกัป (Taungup) โดยนึกเอาเองว่ามุสลิมบนรถคันนั้นเป็นพวกที่เกี่ยวข้องกับเหตุข่มขืน
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน ชาวมุสลิมที่เมืองหม่องดอว์ (Maungdaw) เริ่มชุมนุมกันเพื่อประท้วงเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น
ถึงวันนี้ (13 มิถุนายน 2555) มีชาวมุสลิมถูกจับ 3 คนต้องหาคดีข่มขืนนี้
หลังจากนั้นความรุนแรงก็ตามมา มีการทำลายอาคารสถานที่ เผาบ้านเรือนของชาวพุทธ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยแต่ไม่เป็นผล จึงประกาศห้ามออกนอกบ้านในพื้นที่ ที่กำหนด แต่ก็ไม่ทันการณ์ สถานการณ์ร้ายแรงบานปลายขยายไปอำเภอใกล้เคียงหลายแห่ง
ชาวพุทธก็รวมตัวกันขยายการต่อสู้ทำลายล้างชาวมุสลิม กลายเป็นสงครามศาสนาย่อยๆในพื้นที่ตำบลหมู่บ้าน
เรื่องที่เกิดขึ้นในพม่านี้ให้บทเรียนเป็นกรณีศึกษาสำหรับทั้งพม่าเองและประชาคมอาเซียนได้ชัดเจนดังนี้:
1. พม่ามิได้บรรลุความสงบร่มเย็นด้วยศาสานาพุทธ ทั้งๆที่มีวัด มีเจดีย์ มีพระสงฆ์ มีบรรยากาศของถิ่นสถานแห่งพุทธศาสนาที่ดูจะเจริญรุ่งเรืองไปทั่วแผ่นดิน มีชเวดากองมหาเจดีย์ใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญญลักษณ์แห่งชาติพม่ามาช้านาน ศาสนาพุทธยังสร้างสันติในใจของชาวพม่าไม่ได้
2. ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาแห่งสันติเช่นกัน แต่ชาวมุสลิมในพม่าก็ยังไม่บรรลุถึงสันติ แม้เหตุรุนแรงแบ่งกลุ่มศาสนิกชนครั้งนี้ก่อโดยกลุ่มชนชาวพุทธแต่ชาวมุสลิมก็ตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นกัน ทำให้ไม่มีใครพึ่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือพึ่งโองการแห่งอัลเลาะห์ผ่านศาสดามูฮัมหมัด เพื่อยังสันติให้เกิดแก่ชุมชนทั้งสองของรัฐยะไข่แต่ประการใด
3. ศาสนานั้นมิบังควรที่จะต้องถูกตำหนิ ศาสนิกชนเท่านั้นที่จะต้องถูกตำหนิประณามฐานที่เข้าไม่ถึงพระธรรมคำสอน ผู้สอนศาสนาทั้งสองฝ่ายยิ่งต้องถูกตำหนิหนักว่าสอนอะไรกันในรอบ 2,600-1,400 ปีที่ผ่านมา จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมพม่าได้
ที่มา
https://www.facebook.com/notes/somkiat-onwimon/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2/481197575227538/
ผู้สืบทอดศาสนาทั้งสองศาสนาจะต้องรับผิดชอบในความล้มเลวของตนในการอบรมสั่งสอน ศาสนิกชน ของตน
หญิงสาวคนหนึ่งถูกข่มขืนแล้วฆ่า หญิงคนนั้นเป็นชาวพุทธ ส่วนฝ่ายที่ข่มขืนนับถือศาสนาอิสลาม ความโกรธแค้นจึงกลายเป็นการปะทะห้ำหั่นกันระหว่างคนสองกลุ่มศาสนาในรัฐเดียวกันในประเทศเดียวกัน
วันที่ 4 มิถุนายน ฝูงชนชาวพุทธบุกฆ่าชาวมุสลิมตายไป 10 คน บนรถบัสโดยสาร ในเขตอำเภอตองกัป (Taungup) โดยนึกเอาเองว่ามุสลิมบนรถคันนั้นเป็นพวกที่เกี่ยวข้องกับเหตุข่มขืน
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน ชาวมุสลิมที่เมืองหม่องดอว์ (Maungdaw) เริ่มชุมนุมกันเพื่อประท้วงเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น
ถึงวันนี้ (13 มิถุนายน 2555) มีชาวมุสลิมถูกจับ 3 คนต้องหาคดีข่มขืนนี้
หลังจากนั้นความรุนแรงก็ตามมา มีการทำลายอาคารสถานที่ เผาบ้านเรือนของชาวพุทธ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยแต่ไม่เป็นผล จึงประกาศห้ามออกนอกบ้านในพื้นที่ ที่กำหนด แต่ก็ไม่ทันการณ์ สถานการณ์ร้ายแรงบานปลายขยายไปอำเภอใกล้เคียงหลายแห่ง
ชาวพุทธก็รวมตัวกันขยายการต่อสู้ทำลายล้างชาวมุสลิม กลายเป็นสงครามศาสนาย่อยๆในพื้นที่ตำบลหมู่บ้าน
เรื่องที่เกิดขึ้นในพม่านี้ให้บทเรียนเป็นกรณีศึกษาสำหรับทั้งพม่าเองและประชาคมอาเซียนได้ชัดเจนดังนี้:
1. พม่ามิได้บรรลุความสงบร่มเย็นด้วยศาสานาพุทธ ทั้งๆที่มีวัด มีเจดีย์ มีพระสงฆ์ มีบรรยากาศของถิ่นสถานแห่งพุทธศาสนาที่ดูจะเจริญรุ่งเรืองไปทั่วแผ่นดิน มีชเวดากองมหาเจดีย์ใหญ่อันศักดิ์สิทธิ์เป็นสัญญลักษณ์แห่งชาติพม่ามาช้านาน ศาสนาพุทธยังสร้างสันติในใจของชาวพม่าไม่ได้
2. ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาแห่งสันติเช่นกัน แต่ชาวมุสลิมในพม่าก็ยังไม่บรรลุถึงสันติ แม้เหตุรุนแรงแบ่งกลุ่มศาสนิกชนครั้งนี้ก่อโดยกลุ่มชนชาวพุทธแต่ชาวมุสลิมก็ตอบโต้ด้วยความรุนแรงเช่นกัน ทำให้ไม่มีใครพึ่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือพึ่งโองการแห่งอัลเลาะห์ผ่านศาสดามูฮัมหมัด เพื่อยังสันติให้เกิดแก่ชุมชนทั้งสองของรัฐยะไข่แต่ประการใด
3. ศาสนานั้นมิบังควรที่จะต้องถูกตำหนิ ศาสนิกชนเท่านั้นที่จะต้องถูกตำหนิประณามฐานที่เข้าไม่ถึงพระธรรมคำสอน ผู้สอนศาสนาทั้งสองฝ่ายยิ่งต้องถูกตำหนิหนักว่าสอนอะไรกันในรอบ 2,600-1,400 ปีที่ผ่านมา จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมพม่าได้
ที่มา
https://www.facebook.com/notes/somkiat-onwimon/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2/481197575227538/