ความผิดฐาน กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ไม่ได้ให้คำนิยามความหมายคำว่า ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงไว้ จึงเป็นดุลพินิจของฝ่ายปกครองที่จะพิจารณาว่าพฤติการณ์อย่างไรที่เข้าข่ายเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งฝ่ายปกครองจะต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเมื่อพิจารณาจากมาตรา 98 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 เห็นได้ว่า มาตราดังกล่าวได้บัญญัติถึงพฤติการณ์ที่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงไว้ว่า เป็นการกระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือรับโทษที่หนักกว่าจำคุก การกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงควรเป็นการกระทำที่มีระดับความรุนแรงของพฤติการณ์เทียบเคียงได้กับการกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก ดังนั้น การพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงที่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงนั้น โดยพิจารณาจากองค์ประกอบ 3 ประการ ร่วมกันดังนี้
(1) ตำแหน่งหน้าที่ราชการ หน้าที่ความรับผิดชอบ
(2) ความรู้สึกหรือเจตนาในการกระทำนั้นเป็นสำคัญ และ
(3) พิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไป ว่ามีผลกระทบต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งข้าราชการ และความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไป หรือความรู้สึกของสังคมว่ารู้สึกรังเกียจต่อการกระทำนั้นๆ ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือไม่ ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 354/2551, อ.63/2549, อ.360/2549
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้นแล้วก็ต้องเปรียบเทียบว่า พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวมีความใกล้เคียงเทียบที่เป็นลักษณะการกระทำที่มีระดับความรุนแรงของพฤติการณ์เทียบเคียงได้กับการกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 151/2554)
มองแล้วมีครบทั้งสามประการจะเก็บข้าราชการชั่วๆคนนี้ไว้ทำอะไรกันครับท่านสมคิด??
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.132/2553
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 เวลาประมาณ 02.20 น. ผู้ฟ้องคดี ถูกจับกุมและส่งตรวจปัสสาวะที่ร้านกรีนฟิวผับ และแจ้งชื่อของตนเองอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมว่าชื่อนาย น. ผลการตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง พนักงานสอบสวน จึงดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดี แต่พนักงานอัยการจังหวัดประจำศาลจังหวัดพัทยามีคำสั่ง ไม่ฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แจ้งชื่อและสกุล อันเป็นเท็จและได้ให้การรับสารภาพไว้ในบันทึกการจับกุม จึงเป็นพิรุธว่าหากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำความผิดก็ไม่จำต้องให้การรับสารภาพ การกระทำของผู้ฟ้องคดีเห็นได้ว่า มีเจตนาเสพยาเสพติดให้โทษ อันมีลักษณะเป็นการไม่รักษาชื่อเสียงตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดหลักเกณฑ์การ ลงทัณฑ์ข้าราชการตำรวจผู้กระทำผิดวินัยฐานมี (มีไว้เพื่อเสพ) หรือเสพหรือติดยาเสพติดให้โทษ กำหนดระดับทัณฑ์คือปลดออกก็ตาม แต่การเสพยาเสพติด ในสถานที่ชุมชนท่ามกลางคนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแจ้งชื่อตัวและชื่อสกุลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน เป็นพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรกระทำ ทั้งยังละเว้นไม่จับกุม ผู้เสพยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดตามมาตรา 152 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่ง ลงโทษไล่ออกจากราชการและคำสั่งยกอุทธรณ์ของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คนที่เป็นข้าราชการต้องเป็นคนดี เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แต่ไม่รู้จักอะไรควรมิควร ถ้าไปปกป้องกันก็จะเห็นว่าบ้านเมืองเราไม่รู้ผิดรู้ถูก
เรื่องอย่างนี้ ท่านสมคิดออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องบอกเป็นเรื่องส่วนตัวได้อย่างไรกันครับ อย่างนี้เสียหายข้าราชการทั้งแผ่นดิน ทำชั่วลักขโมย
มันผิดกฏหมายอาญา จริงๆแล้วต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพราะจะได้แสดงให้นานาประเทศเค้าเห็นว่า การลักขโมย ไม่ใช่เรื่องเล็กในบ้าน
เมืองของเรา โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นข้าราชการระดับสูงการกระทำผิดแบบนี้สมควรให้ออกจากราชการไว้ก่อนนะครับ เพราะเป็นที่เสื่อมเสียของ
องค์กรและประเทศชาติ สว ปี้เด็กยังโดนจำคุกเลยครับ คนอายุปูนนี้ต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรควรไม่ควร
เอาออกจากราชการไว้ก่อนเลยครับ ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และทำให้ประเทศชาติและชื่อเสียงของราชการเสียหาย มันเป็นเรื่องของกระทรวงฯ
เพราะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวง ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง คิดให้ดีนะครับ ปลาเน่าก็เอาออกจากข้องซะ ไม่อย่างนั้นเหม็นหมดทั้งกระทรวง
และทั้งประเทศ จะกลายเป็นว่าคนไทยขี้ขโมย ขนาดผู้ใหญ่ในบ้านเมืองขโมยของจนกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก (เพราะไม่มีผู้ใหญ่ของประเทศไหน
ในโลกเค้าทำเรื่อง เฮ้ เฮ้ แบบนี้) รองนายกยังมาให้ข่าวปกป้องอีกว่าเป็นเรี่องส่วนตัว ผมว่าสมควรจะให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรักษา
ศักดิ์ศรีของคนในกระทรวงและของประเทศไทยนะครับ
คามผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต้องออกจากราชการ โดยเฉพาะการประพฤติชั่วในต่างแดนทำให้คนไทยอับอายทั้งแผ่นดิน
เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ไม่ได้ให้คำนิยามความหมายคำว่า ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงไว้ จึงเป็นดุลพินิจของฝ่ายปกครองที่จะพิจารณาว่าพฤติการณ์อย่างไรที่เข้าข่ายเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งฝ่ายปกครองจะต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเมื่อพิจารณาจากมาตรา 98 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 เห็นได้ว่า มาตราดังกล่าวได้บัญญัติถึงพฤติการณ์ที่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงไว้ว่า เป็นการกระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือรับโทษที่หนักกว่าจำคุก การกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงควรเป็นการกระทำที่มีระดับความรุนแรงของพฤติการณ์เทียบเคียงได้กับการกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก ดังนั้น การพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงที่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงนั้น โดยพิจารณาจากองค์ประกอบ 3 ประการ ร่วมกันดังนี้
(1) ตำแหน่งหน้าที่ราชการ หน้าที่ความรับผิดชอบ
(2) ความรู้สึกหรือเจตนาในการกระทำนั้นเป็นสำคัญ และ
(3) พิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไป ว่ามีผลกระทบต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งข้าราชการ และความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไป หรือความรู้สึกของสังคมว่ารู้สึกรังเกียจต่อการกระทำนั้นๆ ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือไม่ ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 354/2551, อ.63/2549, อ.360/2549
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้นแล้วก็ต้องเปรียบเทียบว่า พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวมีความใกล้เคียงเทียบที่เป็นลักษณะการกระทำที่มีระดับความรุนแรงของพฤติการณ์เทียบเคียงได้กับการกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 151/2554)
มองแล้วมีครบทั้งสามประการจะเก็บข้าราชการชั่วๆคนนี้ไว้ทำอะไรกันครับท่านสมคิด??
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.132/2553
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 เวลาประมาณ 02.20 น. ผู้ฟ้องคดี ถูกจับกุมและส่งตรวจปัสสาวะที่ร้านกรีนฟิวผับ และแจ้งชื่อของตนเองอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมว่าชื่อนาย น. ผลการตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง พนักงานสอบสวน จึงดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดี แต่พนักงานอัยการจังหวัดประจำศาลจังหวัดพัทยามีคำสั่ง ไม่ฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แจ้งชื่อและสกุล อันเป็นเท็จและได้ให้การรับสารภาพไว้ในบันทึกการจับกุม จึงเป็นพิรุธว่าหากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำความผิดก็ไม่จำต้องให้การรับสารภาพ การกระทำของผู้ฟ้องคดีเห็นได้ว่า มีเจตนาเสพยาเสพติดให้โทษ อันมีลักษณะเป็นการไม่รักษาชื่อเสียงตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดหลักเกณฑ์การ ลงทัณฑ์ข้าราชการตำรวจผู้กระทำผิดวินัยฐานมี (มีไว้เพื่อเสพ) หรือเสพหรือติดยาเสพติดให้โทษ กำหนดระดับทัณฑ์คือปลดออกก็ตาม แต่การเสพยาเสพติด ในสถานที่ชุมชนท่ามกลางคนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแจ้งชื่อตัวและชื่อสกุลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน เป็นพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรกระทำ ทั้งยังละเว้นไม่จับกุม ผู้เสพยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดตามมาตรา 152 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่ง ลงโทษไล่ออกจากราชการและคำสั่งยกอุทธรณ์ของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คนที่เป็นข้าราชการต้องเป็นคนดี เป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แต่ไม่รู้จักอะไรควรมิควร ถ้าไปปกป้องกันก็จะเห็นว่าบ้านเมืองเราไม่รู้ผิดรู้ถูก
เรื่องอย่างนี้ ท่านสมคิดออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องบอกเป็นเรื่องส่วนตัวได้อย่างไรกันครับ อย่างนี้เสียหายข้าราชการทั้งแผ่นดิน ทำชั่วลักขโมย
มันผิดกฏหมายอาญา จริงๆแล้วต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพราะจะได้แสดงให้นานาประเทศเค้าเห็นว่า การลักขโมย ไม่ใช่เรื่องเล็กในบ้าน
เมืองของเรา โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นข้าราชการระดับสูงการกระทำผิดแบบนี้สมควรให้ออกจากราชการไว้ก่อนนะครับ เพราะเป็นที่เสื่อมเสียของ
องค์กรและประเทศชาติ สว ปี้เด็กยังโดนจำคุกเลยครับ คนอายุปูนนี้ต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรควรไม่ควร
เอาออกจากราชการไว้ก่อนเลยครับ ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และทำให้ประเทศชาติและชื่อเสียงของราชการเสียหาย มันเป็นเรื่องของกระทรวงฯ
เพราะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวง ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง คิดให้ดีนะครับ ปลาเน่าก็เอาออกจากข้องซะ ไม่อย่างนั้นเหม็นหมดทั้งกระทรวง
และทั้งประเทศ จะกลายเป็นว่าคนไทยขี้ขโมย ขนาดผู้ใหญ่ในบ้านเมืองขโมยของจนกลายเป็นข่าวไปทั่วโลก (เพราะไม่มีผู้ใหญ่ของประเทศไหน
ในโลกเค้าทำเรื่อง เฮ้ เฮ้ แบบนี้) รองนายกยังมาให้ข่าวปกป้องอีกว่าเป็นเรี่องส่วนตัว ผมว่าสมควรจะให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรักษา
ศักดิ์ศรีของคนในกระทรวงและของประเทศไทยนะครับ