สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
คุยในเชิงไหน วรรณกรรม หรือ จะวิเคราะห์ในแง่ประวัติศาสตร์ ต้องคุยตรงนี้ก่อนครับ
เพราะข้อมูลหลายอย่างที่ลงไว้ในวรรณกรรม เป็นเรื่องเสริมแต่งขึ้นมาภายหลัง หรือบางอันมันก็มีตำนานเรื่องเล่าหรือบันทึกอื่นๆอยู่จริงๆ ซึ่งก็ต้องว่าไปตามเรื่อง ซึ่งถ้าเอาตามวรรณกรรม ต้องบอกว่า ลักษณะขนบการเขียนวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของจีน เกือบทุกเรื่อง มันมีการแฝงมายาคติหรืออะไรอื่นๆลงไปด้วย
จริงๆแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ หรือจดหมายเหตุที่เป็นทางการของราชสำนักในยุคนั้นๆ จะบันทึกพื้นเพปูมหลังของบุคคลไว้ไม่ละเอียดมากครับ เอาแค่พอคร่าวๆ ทีนี้ถ้าเรามาดูข้อมูลกันบ้างจะพบว่า ขุนนางจีนจำนวนมากในแต่ละยุค ต้องศึกษาศาสตร์ครบทั้งบุ๋นและบู๊ ขี่ม้า รำกระบี่รำมวน ยิงธนู คือพวกนี้เป็นเรื่องปกติมากสำหรับลูกหลานขุนนางครับ ส่วนพวกขุนนางบุ๋นเรานี่มาจากสายอ่านตำรา หรือเป็นข้าราชการท้องถิ่นได้เลื่อนขั้น หรือเป็นพวกที่เข้ามาสอบ และอีกกลุ่มคือพวกที่ได้เสนอชื่อเป็นบุตรกตัญูญจากท้องถิ่นครับ พวกนี้จะได้เป็นนักเรียนทุนของทางการเข้ามาในเมือง
สำหรับพวกขุนพลเก่งๆในจีนุคโบราณ หลายคนก็มาจาก จอมยุทธ์ยอดฝีมือ หรือกระทั่งพวกนักเลงท้องถิ่นครับ อย่างในสามก๊ก พวกที่มาจากกลุ่มนี้ชัดๆมี กวนอู จูล่ง เตียนอุย เคาทู กำเหลง แล้วสังคมจีนโบราณ ระบบหมู่บ้าน กลุ่มวงศ์ตระกูล (Clan) มันทำให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นจากแต่ละหมู่บ้านมีความใกล้ชิดกัน หรือเติบโตร่ำเรียนอะไรๆของหมู่บ้านหรือท้องถิ่นนั้นๆ เกิดมีเป็นพวกหัวโจกที่แค่พูดไม่กี่คำ พรรคพวกในถิ่นเดียวกันก็พร้อมตามๆกันมาแล้ว อย่างในชีวประวัติจูล่งนี่ระบุเลยว่า จูล่งสมัยหนุ่มๆเป็นหัวหน้าพวกคนหนุ่มที่เสียงสาน แล้วในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย คนหนุ่มพวกนี้มีอุดมการณ์อยากทำงานให้เจ้านายผู้ทรงธรรมสักคน จูล่งก็เลยนำพรรคพวกไปเข้ากอบกองซุนจ้านในตอนแรก ก่อนจะไปอยุ่กับเล่าปี่ที่หลัง หรืออย่างเตียนอุยนี่พื้นเพมาจากนักเลงและมือสังหาร ทีทำงานให้ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นอีกที กำเหลงเดิมเป็นโจร รวบรวมพรรคพวกออกปล้น ตอนหลังหันมาสนในเรื่องบ้านเมืองก็เลยหันมาอ่านตำรา แล้วพาพรรคพวกไปเข้ากับหองจอ ฯลฯ มีอีกเยอะครับ เคสแบบนี้
เพราะข้อมูลหลายอย่างที่ลงไว้ในวรรณกรรม เป็นเรื่องเสริมแต่งขึ้นมาภายหลัง หรือบางอันมันก็มีตำนานเรื่องเล่าหรือบันทึกอื่นๆอยู่จริงๆ ซึ่งก็ต้องว่าไปตามเรื่อง ซึ่งถ้าเอาตามวรรณกรรม ต้องบอกว่า ลักษณะขนบการเขียนวรรณกรรมอิงประวัติศาสตร์ของจีน เกือบทุกเรื่อง มันมีการแฝงมายาคติหรืออะไรอื่นๆลงไปด้วย
จริงๆแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ หรือจดหมายเหตุที่เป็นทางการของราชสำนักในยุคนั้นๆ จะบันทึกพื้นเพปูมหลังของบุคคลไว้ไม่ละเอียดมากครับ เอาแค่พอคร่าวๆ ทีนี้ถ้าเรามาดูข้อมูลกันบ้างจะพบว่า ขุนนางจีนจำนวนมากในแต่ละยุค ต้องศึกษาศาสตร์ครบทั้งบุ๋นและบู๊ ขี่ม้า รำกระบี่รำมวน ยิงธนู คือพวกนี้เป็นเรื่องปกติมากสำหรับลูกหลานขุนนางครับ ส่วนพวกขุนนางบุ๋นเรานี่มาจากสายอ่านตำรา หรือเป็นข้าราชการท้องถิ่นได้เลื่อนขั้น หรือเป็นพวกที่เข้ามาสอบ และอีกกลุ่มคือพวกที่ได้เสนอชื่อเป็นบุตรกตัญูญจากท้องถิ่นครับ พวกนี้จะได้เป็นนักเรียนทุนของทางการเข้ามาในเมือง
สำหรับพวกขุนพลเก่งๆในจีนุคโบราณ หลายคนก็มาจาก จอมยุทธ์ยอดฝีมือ หรือกระทั่งพวกนักเลงท้องถิ่นครับ อย่างในสามก๊ก พวกที่มาจากกลุ่มนี้ชัดๆมี กวนอู จูล่ง เตียนอุย เคาทู กำเหลง แล้วสังคมจีนโบราณ ระบบหมู่บ้าน กลุ่มวงศ์ตระกูล (Clan) มันทำให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นจากแต่ละหมู่บ้านมีความใกล้ชิดกัน หรือเติบโตร่ำเรียนอะไรๆของหมู่บ้านหรือท้องถิ่นนั้นๆ เกิดมีเป็นพวกหัวโจกที่แค่พูดไม่กี่คำ พรรคพวกในถิ่นเดียวกันก็พร้อมตามๆกันมาแล้ว อย่างในชีวประวัติจูล่งนี่ระบุเลยว่า จูล่งสมัยหนุ่มๆเป็นหัวหน้าพวกคนหนุ่มที่เสียงสาน แล้วในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย คนหนุ่มพวกนี้มีอุดมการณ์อยากทำงานให้เจ้านายผู้ทรงธรรมสักคน จูล่งก็เลยนำพรรคพวกไปเข้ากอบกองซุนจ้านในตอนแรก ก่อนจะไปอยุ่กับเล่าปี่ที่หลัง หรืออย่างเตียนอุยนี่พื้นเพมาจากนักเลงและมือสังหาร ทีทำงานให้ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นอีกที กำเหลงเดิมเป็นโจร รวบรวมพรรคพวกออกปล้น ตอนหลังหันมาสนในเรื่องบ้านเมืองก็เลยหันมาอ่านตำรา แล้วพาพรรคพวกไปเข้ากับหองจอ ฯลฯ มีอีกเยอะครับ เคสแบบนี้
แสดงความคิดเห็น
เตียวหุยเป็นแค่พ่อค้าขายหมู ไฉนเลยฝีมือรบเทียบชั้นแม่ทัพได้ ..กวนอูก็เป็นแต่เพียงทหารยาม แล้วจริงไหมที่สมัยก่อน ขุนพลแม่
ถ้าสามก๊กมีเค้าเรื่องจริง เตียวหุยพ่อค้าหมู กับกวนอูทหารยามธรรมดาๆ เหตุใดฝีมือจึงเก่งกาจเทียบแม่ทัพ ขุนพล
ที่ฝึกเรียนวิชาการรบมาแต่เด็ก แถมมีประสบการณ์รบมากกว่าหลายสิบปี