วางหมาก
“วันนี้โจชัวร์ได้ออกไปไหนไหมครับ” ผมสอบถามพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ เพื่อความแน่ใจว่าเพื่อนของผมยังอยู่ที่ห้อง
“คุณหมายถึงเพื่อนที่พักกับคุณเหรอคะ ยังไม่เห็นค่ะ...ฉันเพิ่งทำงานได้สามอาทิตย์ ยังไม่เคยเห็นเขาออกมาจากห้องเลยค่ะ อันที่จริงฉันไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง” เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ทำให้ผมเดาว่าโจชัวร์คงกำลังยุ่งกับการเขียนนิยายจนไม่ได้ออกไปไหนเลยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็ดี...เพราะผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขาอยู่
ผมชื่อ อีธาน สมิธ เป็นตำรวจแผนกสืบสวน เกิดวันที่สิบเดือนสิบปีหกศูนย์ อายุสามสิบห้าปี หน้าที่คือตามแกะรอยและจับไอ้ชั่วสักคนหรือสักพวกที่...ทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีฆ่าคนตาย ถ้ามีศพถูกฆาตกรรมในเมืองนี้นอกจากเจ้าหน้าที่นิติเวช...ก็คงจะเป็นผมนี่แหละที่ใครต่อใครจะต้องเห็นในที่เกิดเหตุอยู่บ่อยครั้ง
แน่นอนว่าผมไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของอาชญากรในเมืองนี้สักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะชอบออกลูกบู๊ควงปืนทะลายรังคนร้าย ตอนที่พวกมันสูดโคเคน และเล่นไพ่โป๊กเกอร์บนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเปลือกถั่วที่ใช้แกล้มเบียร์ เหมือนอย่างในหนังหรอกนะ
แต่เพราะหากพวกมันคนไหนทำผิดในคดีที่ผมรับผิดชอบ จะไม่มีใครรอดพ้นและลอยนวลจากมือผมไปได้
ซองเอกสารสามซองที่ผมถืออยู่ในขณะขึ้นลิฟต์ไปห้องพัก มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมซึ่งกำลังถูกกล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้...ฆาตกรเอ๊กซ์...
…
“อีธานเหรอ เปิดเข้ามาเลย” หลังจากเคาะประตูไปสามครั้ง “โจชัวร์” เพื่อนร่วมห้องของผมก็ให้เสียง
“วันนี้นายกลับเร็วนะ” หมอนี่กล่าวทักทายผมขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ คงเป็นนิยายเรื่องใหม่กระมัง
“เปล่าหรอก...ฉันอยากสรุปคดีนี้กับนาย แล้วกลับไปทำงานต่อ” ผมดึงเก้าอี้มานั่งที่หน้าโต๊ะทำงานของโจชัวร์พร้อมวางซองเอกสารลงเบื้องหน้า “นายกำลังเขียนนิยายอย่างนั้นเหรอ”
เขาถอดแว่นละสายตาออกจากสิ่งที่ทำและเงยหน้ามามองที่ผม “ให้เดาไหมว่าคดีไหน”
“ก็ลองดู...”
เพื่อนร่วมห้องผมคนนี้ชื่อเต็มว่า โจชัวร์ พาร์เลอร์ เป็นนักเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ผลงานเรียกได้ว่าหาตัวจับยาก ในหลายๆ คดีความเห็นของเขานำผมไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ หมอนี่จึงเป็นที่ปรึกษาผมเสมอในหลายๆ คดีที่เจอเข้ากับทางตัน
“เจ้าฆาตกรเอ๊กซ์สินะ”
ผมพยักหน้า “เอาล่ะเรามาเริ่มใหม่กันอีกครั้ง”
...
“ใครเป็นโทรแจ้ง” ผมถามหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาถึงจุดเกิดเหตุก่อนหน้า ในขณะที่เดินเข้าไปในห้องนอนเหยื่อ
“เพื่อนบ้านชื่อแมรี่ครับ เธอบอกตื่นเช้ามาก็พบจดหมายเขียนด้วยเลือดเหน็บไว้ที่ประตูบ้านของเธอ”
“จดหมายเขียนว่าไง” ในใจผมมีลางสังหรณ์ว่ากำลังเจอกับฆาตกรที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เพราะภาพเบื้องหน้าคือ คริสติน เฮิร์บ ผิวขาว อายุยี่สิบแปด ห้าฟุตเจ็ด นอนอยู่บนเตียงคล้ายกับคนกำลังนอนหลับทั่วไป และที่สำคัญเธอสวมชุดนอนด้วยความเรียบร้อย...เกินกว่าจะเป็นศพในคดีฆาตกรรม
“จดหมายเขียนชื่อเหยื่อ และเบอร์โทรสถานีตำรวจครับ”
“แค่นั้นเหรอ” หลังจากสวมถุงมือยาง ผมก็เริ่มสำรวจศพเพื่อหาสาเหตุการตาย และได้พบกับ... “มีแผลคล้ายถูกของมีคมแทงทะลุหน้าอก เดาว่าน่าจะตัดขั้วหัวใจพอดี เหยื่อคงขาดใจตายในไม่กี่นาที”
“เอ่อ...คือ ผู้หมวดครับในจดหมายคล้ายมีลงชื่อไว้ท้ายข้อความเป็นรูปกากบาท” ตำรวจนายหนึ่งยื่นซองพลาสติกที่บรรจุจดหมายเลือดนั้นให้ผมดู
“มีใครสอบถามเพื่อนบ้านเหยื่อหรือยังว่าเมื่อคืนมีใครได้ยินเสียงแปลกๆ บ้างไหม”
“ครับผู้หมวดไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลยครับ”
ผมเดินสำรวจภายในบ้าน ทุกอย่างดูเรียบร้อยไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือการงัดแงะ มันปกติจนน่าแปลกใจ
...
“หลังจากนั้นนายก็เรียกคนใกล้ชิดของเหยื่อไปสอบสวน แล้ววันนี้นายได้อะไรเพิ่มงั้นเหรอ” โจชัวร์เริ่มมีคำถาม
“...ไม่มี ยังเป็นข้อมูลเดิมๆ อาวุธที่ใช้คาดว่าจะเป็นมีดขนาดสิบสองหุน ยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งฟุต แทงจากด้านหลังตัดขั้วหัวใจ และเป็นไปได้ว่า...ขณะที่เหยื่อถูกแทงคนร้ายใช้มืออุดปากเธอไว้ด้วย เจ้าหมอนี่น่าจะถนัดซ้ายเพราะรูที่แทงมันเยื้องไปด้านขวาของทรวงอก ซึ่งเป็นไปได้มากว่าคนร้ายจะรู้เรื่องทางการแพทย์เป็นอย่างดี” จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุทำให้ผมสันนิษฐานไปอย่างนั้น
“ฉันให้ความเห็นไปว่า คนร้ายจับเหยื่ออาบน้ำก่อนจะแต่งตัวให้และอุ้มเธอขึ้นไปนอนบนเตียง เพราะแทบไม่มีรอยเลือดบนที่นอนเลย ฆาตกรต้องเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย และเหยื่อถูกตัดเล็บ มีความเป็นไปได้ว่าตอนขัดขืนเธออาจจะข่วนโดนคนร้าย ที่สำคัญพฤติกรรมเลือดเย็นขนาดนี้คงไม่มีใครร่วมมือด้วย เป็นไปได้มากที่คนร้ายจะมีแค่คนเดียว” ประโยคสุดท้ายที่โจชัวร์พูดฟังดูมีน้ำหนักมาก เพราะการกระทำแบบนี้มันคล้ายกับพวกวิกลจริต ถ้าหากคนร้ายมีมากกว่าหนึ่ง คงเป็นเรื่องตลกที่ขำกันไม่ออกแน่ๆ หากพระเจ้าจะบันดาลให้คนวิปริตแบบนี้มาเจอกัน
“ใช่...ทั้งหมดนั้นทำให้ฉันคิดว่าคนร้ายต้องรู้จักกับเหยื่อ มีความรู้ทางการแพทย์เพราะวิธีฆ่า ลงมือคนเดียวและเป็นผู้ชายเพราะสิ่งที่นายบอก ที่สำคัญหมอนี้ฉลาด อันตราย และใจเย็นมาก มากพอจะใช้เวลาอยู่กับศพนานพอสมควรหลังการฆ่า เพื่อทำลายทุกอย่างที่จะสืบไปถึงตัวมันได้” ผมสรุปสิ่งที่เราสองคนช่วยกันวิเคราะห์ออกมา
โจชัวร์พยักหน้าน้อยๆ “หวยก็เลยไปออกที่หมอศัลยกรรม แฟนหนุ่มของเหยื่อที่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด และหมอนี่ไม่มีพยานยืนยันสถานที่อยู่ในวันเกิดเหตุ”
...
“คุณชื่อ เอ็ดเวิร์ด บราวน์ เป็นหมอศัลยกรรม แปลว่าคุณรู้ใช่ไหมว่าจะใช้มีดแทงตรงจุดไหนบนร่างกายคนเรา แล้วทำให้ตายเร็วที่สุด” ผมจ้องตาผู้ต้องสงสัยที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะในห้องสอบสวน
“ผมรู้ว่าคุณอยากให้ผมพูดว่า ผมนี่แหละเป็นคนฆ่าคริสติน แต่เสียใจด้วยที่ความจริงมันจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะผมไม่ได้ฆ่าเธอ” อาจเพราะการศึกษาที่สูงของหมอนี่ จึงทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ตัวเองอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ฟังฉันนะเพื่อน การที่นายเป็นหมอมีจุดยืนทางสังคมที่ดี มันไม่ได้ช่วยให้นายมีอภิสิทธ์อะไรเหนือกว่าผู้ต้องสงสัยของฉันทุกคนที่ถูกสอบสวนในที่ของฉัน เพราะฉะนั้นอย่ามาตีสำนวน ฉันต้องการแค่ความจริง ไม่ใช่คำพูดเล่นลิ้นปัญญาอ่อนที่อย่างมากก็แค่ทำให้ตัวนายเองและฉันเสียเวลา ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเราทั้งคู่” ผมเริ่มอารมณ์ขุ่นขึ้นมานิดๆ
“เอาล่ะ...นายจะเริ่มตอบให้ตรงคำถามได้หรือยัง”
“ผมต้องการทนาย”
...
“ในบรรดาคนใกล้ชิดเหยื่อทั้งหมด หมอเอ็ดเวิร์ดมีคุณสมบัติที่ตรงกับคนร้ายมาก แรงจูงใจก็มีเพราะคริสตินเพิ่งตีจากเขาได้ไม่ถึงอาทิตย์ ถึงขนาดที่เหยื่อไปแจ้งความเอาไว้ว่ากำลังถูกเจ้าหมอนี่ตามรังควาญอยู่ และที่สำคัญไม่มีใครยืนยันได้ว่าหมอนี่อยู่ที่ไหนในช่วงเกิดเหตุ” สิ่งที่โจชัวร์เอ่ยคือข้อสันนิษฐานที่เราเห็นตรงกัน
“แต่ทุกอย่างก็พังลง เพราะเกิดคดีที่สอง” ผมดึงรูปถ่ายออกจากซองเอกสารส่งให้คู่หูไป
“ใช่...มันเกิดขึ้นในขณะที่เอ็ดเวิร์ดถูกสอบสวนอยู่ เขาเลยรอดตัวไปได้” แว่นของโจชัวร์ถูกหยิบมาใช้อีกครั้งเพื่อดูสิ่งที่ผมยื่นให้
“อแมนด้า คอลล์เกอร์ ห้าฟุตหก อายุสิบเก้า ผิวขาวอยู่บ้านคนเดียวครอบครัวไปต่างเมือง ยังไม่ปิดเทอมเธอเลยไปด้วยไม่ได้ ศพนอนบนเตียงในชุดนอน พบรอยของมีคมแทงทะลุหน้าอก และมีมีดเปื้อนเลือดขนาดสิบสองหุนอยู่ที่หัวเตียงคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธสังหาร ประตูหน้าต่างไม่พบร่องรอยการบุกรุก เหมือนเหยื่อรายแรกเปี๊ยบ ยกเว้นอย่างเดียวไม่ถูกตัดเล็บ” ผมทวนข้อมูลเหยื่อรายที่สองให้เขาฟัง
“เรื่องพวกนั้นฉันรู้แล้ว นึกว่านายมีอะไรใหม่” รูปสภาพศพและที่เกิดเหตุถูกโจชัวร์ดูผ่านๆ
“มีสิ...สาเหตุการตายยังไงล่ะ” สีหน้าของอีกฝ่ายดูสนใจขึ้นหลังจากคำพูดของผมถูกเอ่ยออกไป
“ยังไง”
“เหยื่อไม่ได้ตายเพราะถูกแทง แต่ตายเพราะร่างกายขาดน้ำตาลจนเกิดอาการช็อค” ผมให้ข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากแผนกนิติเวช
“นายจะบอกฉันว่าเหยื่อตายแล้วจึงพบกับฆาตกร ไม่สิ...ต้องไม่ใช่แบบนั้น คนร้ายวางแผนฆ่าเธอก่อนจัดฉากงั้นเหรอ ทำไมต้องทำแบบนั้น อ้อ...นึกออกแล้ว เพราะเขาจะสามารถยืนยันที่อยู่ของตัวเองได้ หากทำให้เหยื่อตายได้ด้วยวิธีวางยาหรืออะไรสักอย่าง แล้วมาจัดฉากให้เหมือนกับการฆ่ารายแรกก่อนเช้าก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น...เอ็ดเวิร์ดก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่” ความคิดรอบด้านของโจชัวร์ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง
“ถูกต้อง...เขายังสามารถเป็นคนร้ายได้โดยไม่ได้ขยับไปไหนเลย ในขณะที่เหยื่อกำลังขาดใจตายอย่างเงียบๆ ด้วยตัวเอง” ยิ่งคุยกับโจชัวร์มากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเขามากขึ้นเรื่อยๆ
วางหมาก
“วันนี้โจชัวร์ได้ออกไปไหนไหมครับ” ผมสอบถามพนักงานต้อนรับที่เคาน์เตอร์ เพื่อความแน่ใจว่าเพื่อนของผมยังอยู่ที่ห้อง
“คุณหมายถึงเพื่อนที่พักกับคุณเหรอคะ ยังไม่เห็นค่ะ...ฉันเพิ่งทำงานได้สามอาทิตย์ ยังไม่เคยเห็นเขาออกมาจากห้องเลยค่ะ อันที่จริงฉันไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง” เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น ทำให้ผมเดาว่าโจชัวร์คงกำลังยุ่งกับการเขียนนิยายจนไม่ได้ออกไปไหนเลยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็ดี...เพราะผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขาอยู่
ผมชื่อ อีธาน สมิธ เป็นตำรวจแผนกสืบสวน เกิดวันที่สิบเดือนสิบปีหกศูนย์ อายุสามสิบห้าปี หน้าที่คือตามแกะรอยและจับไอ้ชั่วสักคนหรือสักพวกที่...ทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะคดีฆ่าคนตาย ถ้ามีศพถูกฆาตกรรมในเมืองนี้นอกจากเจ้าหน้าที่นิติเวช...ก็คงจะเป็นผมนี่แหละที่ใครต่อใครจะต้องเห็นในที่เกิดเหตุอยู่บ่อยครั้ง
แน่นอนว่าผมไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของอาชญากรในเมืองนี้สักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะชอบออกลูกบู๊ควงปืนทะลายรังคนร้าย ตอนที่พวกมันสูดโคเคน และเล่นไพ่โป๊กเกอร์บนโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยเปลือกถั่วที่ใช้แกล้มเบียร์ เหมือนอย่างในหนังหรอกนะ
แต่เพราะหากพวกมันคนไหนทำผิดในคดีที่ผมรับผิดชอบ จะไม่มีใครรอดพ้นและลอยนวลจากมือผมไปได้
ซองเอกสารสามซองที่ผมถืออยู่ในขณะขึ้นลิฟต์ไปห้องพัก มีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมซึ่งกำลังถูกกล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้...ฆาตกรเอ๊กซ์...
…
“อีธานเหรอ เปิดเข้ามาเลย” หลังจากเคาะประตูไปสามครั้ง “โจชัวร์” เพื่อนร่วมห้องของผมก็ให้เสียง
“วันนี้นายกลับเร็วนะ” หมอนี่กล่าวทักทายผมขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ คงเป็นนิยายเรื่องใหม่กระมัง
“เปล่าหรอก...ฉันอยากสรุปคดีนี้กับนาย แล้วกลับไปทำงานต่อ” ผมดึงเก้าอี้มานั่งที่หน้าโต๊ะทำงานของโจชัวร์พร้อมวางซองเอกสารลงเบื้องหน้า “นายกำลังเขียนนิยายอย่างนั้นเหรอ”
เขาถอดแว่นละสายตาออกจากสิ่งที่ทำและเงยหน้ามามองที่ผม “ให้เดาไหมว่าคดีไหน”
“ก็ลองดู...”
เพื่อนร่วมห้องผมคนนี้ชื่อเต็มว่า โจชัวร์ พาร์เลอร์ เป็นนักเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ผลงานเรียกได้ว่าหาตัวจับยาก ในหลายๆ คดีความเห็นของเขานำผมไปสู่การจับกุมคนร้ายได้ หมอนี่จึงเป็นที่ปรึกษาผมเสมอในหลายๆ คดีที่เจอเข้ากับทางตัน
“เจ้าฆาตกรเอ๊กซ์สินะ”
ผมพยักหน้า “เอาล่ะเรามาเริ่มใหม่กันอีกครั้ง”
...
“ใครเป็นโทรแจ้ง” ผมถามหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาถึงจุดเกิดเหตุก่อนหน้า ในขณะที่เดินเข้าไปในห้องนอนเหยื่อ
“เพื่อนบ้านชื่อแมรี่ครับ เธอบอกตื่นเช้ามาก็พบจดหมายเขียนด้วยเลือดเหน็บไว้ที่ประตูบ้านของเธอ”
“จดหมายเขียนว่าไง” ในใจผมมีลางสังหรณ์ว่ากำลังเจอกับฆาตกรที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เพราะภาพเบื้องหน้าคือ คริสติน เฮิร์บ ผิวขาว อายุยี่สิบแปด ห้าฟุตเจ็ด นอนอยู่บนเตียงคล้ายกับคนกำลังนอนหลับทั่วไป และที่สำคัญเธอสวมชุดนอนด้วยความเรียบร้อย...เกินกว่าจะเป็นศพในคดีฆาตกรรม
“จดหมายเขียนชื่อเหยื่อ และเบอร์โทรสถานีตำรวจครับ”
“แค่นั้นเหรอ” หลังจากสวมถุงมือยาง ผมก็เริ่มสำรวจศพเพื่อหาสาเหตุการตาย และได้พบกับ... “มีแผลคล้ายถูกของมีคมแทงทะลุหน้าอก เดาว่าน่าจะตัดขั้วหัวใจพอดี เหยื่อคงขาดใจตายในไม่กี่นาที”
“เอ่อ...คือ ผู้หมวดครับในจดหมายคล้ายมีลงชื่อไว้ท้ายข้อความเป็นรูปกากบาท” ตำรวจนายหนึ่งยื่นซองพลาสติกที่บรรจุจดหมายเลือดนั้นให้ผมดู
“มีใครสอบถามเพื่อนบ้านเหยื่อหรือยังว่าเมื่อคืนมีใครได้ยินเสียงแปลกๆ บ้างไหม”
“ครับผู้หมวดไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลยครับ”
ผมเดินสำรวจภายในบ้าน ทุกอย่างดูเรียบร้อยไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือการงัดแงะ มันปกติจนน่าแปลกใจ
...
“หลังจากนั้นนายก็เรียกคนใกล้ชิดของเหยื่อไปสอบสวน แล้ววันนี้นายได้อะไรเพิ่มงั้นเหรอ” โจชัวร์เริ่มมีคำถาม
“...ไม่มี ยังเป็นข้อมูลเดิมๆ อาวุธที่ใช้คาดว่าจะเป็นมีดขนาดสิบสองหุน ยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งฟุต แทงจากด้านหลังตัดขั้วหัวใจ และเป็นไปได้ว่า...ขณะที่เหยื่อถูกแทงคนร้ายใช้มืออุดปากเธอไว้ด้วย เจ้าหมอนี่น่าจะถนัดซ้ายเพราะรูที่แทงมันเยื้องไปด้านขวาของทรวงอก ซึ่งเป็นไปได้มากว่าคนร้ายจะรู้เรื่องทางการแพทย์เป็นอย่างดี” จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุทำให้ผมสันนิษฐานไปอย่างนั้น
“ฉันให้ความเห็นไปว่า คนร้ายจับเหยื่ออาบน้ำก่อนจะแต่งตัวให้และอุ้มเธอขึ้นไปนอนบนเตียง เพราะแทบไม่มีรอยเลือดบนที่นอนเลย ฆาตกรต้องเป็นผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย และเหยื่อถูกตัดเล็บ มีความเป็นไปได้ว่าตอนขัดขืนเธออาจจะข่วนโดนคนร้าย ที่สำคัญพฤติกรรมเลือดเย็นขนาดนี้คงไม่มีใครร่วมมือด้วย เป็นไปได้มากที่คนร้ายจะมีแค่คนเดียว” ประโยคสุดท้ายที่โจชัวร์พูดฟังดูมีน้ำหนักมาก เพราะการกระทำแบบนี้มันคล้ายกับพวกวิกลจริต ถ้าหากคนร้ายมีมากกว่าหนึ่ง คงเป็นเรื่องตลกที่ขำกันไม่ออกแน่ๆ หากพระเจ้าจะบันดาลให้คนวิปริตแบบนี้มาเจอกัน
“ใช่...ทั้งหมดนั้นทำให้ฉันคิดว่าคนร้ายต้องรู้จักกับเหยื่อ มีความรู้ทางการแพทย์เพราะวิธีฆ่า ลงมือคนเดียวและเป็นผู้ชายเพราะสิ่งที่นายบอก ที่สำคัญหมอนี้ฉลาด อันตราย และใจเย็นมาก มากพอจะใช้เวลาอยู่กับศพนานพอสมควรหลังการฆ่า เพื่อทำลายทุกอย่างที่จะสืบไปถึงตัวมันได้” ผมสรุปสิ่งที่เราสองคนช่วยกันวิเคราะห์ออกมา
โจชัวร์พยักหน้าน้อยๆ “หวยก็เลยไปออกที่หมอศัลยกรรม แฟนหนุ่มของเหยื่อที่ชื่อ เอ็ดเวิร์ด และหมอนี่ไม่มีพยานยืนยันสถานที่อยู่ในวันเกิดเหตุ”
...
“คุณชื่อ เอ็ดเวิร์ด บราวน์ เป็นหมอศัลยกรรม แปลว่าคุณรู้ใช่ไหมว่าจะใช้มีดแทงตรงจุดไหนบนร่างกายคนเรา แล้วทำให้ตายเร็วที่สุด” ผมจ้องตาผู้ต้องสงสัยที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะในห้องสอบสวน
“ผมรู้ว่าคุณอยากให้ผมพูดว่า ผมนี่แหละเป็นคนฆ่าคริสติน แต่เสียใจด้วยที่ความจริงมันจะไม่เป็นแบบนั้น เพราะผมไม่ได้ฆ่าเธอ” อาจเพราะการศึกษาที่สูงของหมอนี่ จึงทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเข้าใจสถานการณ์ตัวเองอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ฟังฉันนะเพื่อน การที่นายเป็นหมอมีจุดยืนทางสังคมที่ดี มันไม่ได้ช่วยให้นายมีอภิสิทธ์อะไรเหนือกว่าผู้ต้องสงสัยของฉันทุกคนที่ถูกสอบสวนในที่ของฉัน เพราะฉะนั้นอย่ามาตีสำนวน ฉันต้องการแค่ความจริง ไม่ใช่คำพูดเล่นลิ้นปัญญาอ่อนที่อย่างมากก็แค่ทำให้ตัวนายเองและฉันเสียเวลา ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับเราทั้งคู่” ผมเริ่มอารมณ์ขุ่นขึ้นมานิดๆ
“เอาล่ะ...นายจะเริ่มตอบให้ตรงคำถามได้หรือยัง”
“ผมต้องการทนาย”
...
“ในบรรดาคนใกล้ชิดเหยื่อทั้งหมด หมอเอ็ดเวิร์ดมีคุณสมบัติที่ตรงกับคนร้ายมาก แรงจูงใจก็มีเพราะคริสตินเพิ่งตีจากเขาได้ไม่ถึงอาทิตย์ ถึงขนาดที่เหยื่อไปแจ้งความเอาไว้ว่ากำลังถูกเจ้าหมอนี่ตามรังควาญอยู่ และที่สำคัญไม่มีใครยืนยันได้ว่าหมอนี่อยู่ที่ไหนในช่วงเกิดเหตุ” สิ่งที่โจชัวร์เอ่ยคือข้อสันนิษฐานที่เราเห็นตรงกัน
“แต่ทุกอย่างก็พังลง เพราะเกิดคดีที่สอง” ผมดึงรูปถ่ายออกจากซองเอกสารส่งให้คู่หูไป
“ใช่...มันเกิดขึ้นในขณะที่เอ็ดเวิร์ดถูกสอบสวนอยู่ เขาเลยรอดตัวไปได้” แว่นของโจชัวร์ถูกหยิบมาใช้อีกครั้งเพื่อดูสิ่งที่ผมยื่นให้
“อแมนด้า คอลล์เกอร์ ห้าฟุตหก อายุสิบเก้า ผิวขาวอยู่บ้านคนเดียวครอบครัวไปต่างเมือง ยังไม่ปิดเทอมเธอเลยไปด้วยไม่ได้ ศพนอนบนเตียงในชุดนอน พบรอยของมีคมแทงทะลุหน้าอก และมีมีดเปื้อนเลือดขนาดสิบสองหุนอยู่ที่หัวเตียงคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธสังหาร ประตูหน้าต่างไม่พบร่องรอยการบุกรุก เหมือนเหยื่อรายแรกเปี๊ยบ ยกเว้นอย่างเดียวไม่ถูกตัดเล็บ” ผมทวนข้อมูลเหยื่อรายที่สองให้เขาฟัง
“เรื่องพวกนั้นฉันรู้แล้ว นึกว่านายมีอะไรใหม่” รูปสภาพศพและที่เกิดเหตุถูกโจชัวร์ดูผ่านๆ
“มีสิ...สาเหตุการตายยังไงล่ะ” สีหน้าของอีกฝ่ายดูสนใจขึ้นหลังจากคำพูดของผมถูกเอ่ยออกไป
“ยังไง”
“เหยื่อไม่ได้ตายเพราะถูกแทง แต่ตายเพราะร่างกายขาดน้ำตาลจนเกิดอาการช็อค” ผมให้ข้อมูลที่เพิ่งได้รับจากแผนกนิติเวช
“นายจะบอกฉันว่าเหยื่อตายแล้วจึงพบกับฆาตกร ไม่สิ...ต้องไม่ใช่แบบนั้น คนร้ายวางแผนฆ่าเธอก่อนจัดฉากงั้นเหรอ ทำไมต้องทำแบบนั้น อ้อ...นึกออกแล้ว เพราะเขาจะสามารถยืนยันที่อยู่ของตัวเองได้ หากทำให้เหยื่อตายได้ด้วยวิธีวางยาหรืออะไรสักอย่าง แล้วมาจัดฉากให้เหมือนกับการฆ่ารายแรกก่อนเช้าก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น...เอ็ดเวิร์ดก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่” ความคิดรอบด้านของโจชัวร์ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง
“ถูกต้อง...เขายังสามารถเป็นคนร้ายได้โดยไม่ได้ขยับไปไหนเลย ในขณะที่เหยื่อกำลังขาดใจตายอย่างเงียบๆ ด้วยตัวเอง” ยิ่งคุยกับโจชัวร์มากเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเขามากขึ้นเรื่อยๆ