เรื่องของเรื่อง คือ คุณพ่อผมทำสินเชื่อเพื่อธุรกิจ กับ ธนาคารสีเขียว ไว้หลายตัว แต่หลักๆเลย คือ เอาบ้านที่อยู่อาศัยไปทำ OD
ได้สินเชื่อมายอดหนึ่ง ทีนี้ธุรกิจที่ผมทำ คือดีลกับลูกค้า ภาคใต้ ทั้งหมด ระยะหลังช่วงปลายปี 59 เศรษฐกิจซบเซามาก
คุณพ่อผมพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ธุรกิจมันเดินต่อไปได้ จนมาเจอกับ "น้ำท่วมภาคใต้" เมื่อต้นปี60 จากของเดิมขายไม่ดีอยู่แล้ว
ซ้ำยังลงไปเคลียบัญชีกับลูกค้าไม่ได้อีก คืนนึงพ่อเดินมาบ่นกับผมว่าช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี เก็บเงินลูกค้าไม่ค่อยได้ ขายก็ไม่ค่อยดีมาเจอน้ำท่วมอีก
จากวันที่คุณพ่อบ่นว่าดวงไม่ดี อีก2วัน คุณพ่อผมก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต หลังจาก ผมชอคเรื่องคุณพ่อเสร็จ สิ่งแรกที่ทำเลย คือ ต้องการเคลียหนี้สิน
เพราะเห็นว่าธุรกิจนี้ไม่น่าจะไปไหวแล้ว ผมเดินขึ้นไปหาธนาคาร... เพื่อขอดูยอดหนี้ทั้งหมด
ณ วันนั้นผมก็เล่าปัญหาไป ว่า ธุรกิจผมขาดสภาพคล่องนะ เก็บเงินลูกค้าไม่ได้ น้ำท่วมนะ แล้วสุดท้ายพ่อผมก็เสียนะ ผมต้องการเคลียหนี้
แต่ผมต้องการเวลา คุณจะช่วยเหลือผมยังไงได้บ้าง อย่างน้อยคุณหยุดดอกเบี้ย ณ วันนี้ไว้ได้ไหม เงินอะมีแต่อยู่กับลูกค้า ไม่มีคนลงไปเก็บเงินที่ภาคใต้
ผมกลัวโปะเท่าไหร่เงินก็ไปจมกับดอกเบี้ยหมด
ทางสาขาให้เหตุผลกับผมมาง่ายๆว่า "ถ้าแบงค์เป็นลูกหนี้คุณ พอคุณตายแบงค์ยังคิดดอกเบี้ยให้คุณเลย ในทางกลับกันทำไมแบงค์ต้องหยุดให้คุณด้วย"
ผมได้แต่เดินคอตกกับบ้านไปหาหนทาง เพื่อเผชิญกับหนี้กองโตซึ่งคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน โดยมีบ้านที่ผมอยู่อาศัยเป็นหลักทรัพย์ค้ำอยู่
หลายวันถัดมาก็มีฝ่ายติดตามหนี้สิน โทรมาทวงหนี้ ผมก็บอกว่าพ่อผมเสียนะ ขอเวลาหน่อย เขาก็ขอหลักฐานให้แฟกซ์ใบมรณะบัตรให้ดู พร้อมกับโยนปัญหาของผมให้ไปปรึกษา คนที่เรียกว่า ผู้การ หรือผู้จัดการอะไรสักอย่างที่ดูแลเคสของพ่อผมอยู่
ผมโทรไปบอกเล่าปัญหาว่า ผมต้องการจะปิดยอดหนี้นะเพราะธุรกิจไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ผมไม่สามารถปิดได้ในระยะเวลาอันสั้น ดอกเบี้ยที่ล่วงไปในระหว่างดำเนินการ มันหลายหมื่นนะ คุณช่วยผมได้ไหม
สิ่งที่เขาตอบกลับมาได้หลักใหญ่ใจความ คือ "แสดงความเสียใจกับคุณพ่อด้วย" "ทางเราไม่มีนโยบายช่วยเหลือ" สุดท้ายคือ "ถ้าไม่สามารถชำระได้ก็ต้องปล่อยให้ธนาคารยึดหลักทรัพย์ทอดตลาด" ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ น้ำเสียงเขาผมไม่ได้รู้สึกถึงความเห็นใจเลย อารมณ์เหมือนกับว่า ก็เรื่องของคุณสิไม่จ่ายบ้านก็โดนยึดไปแค่นั้นเอง
สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างไร
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นอุทธาหรณ์ให้ใครหลายคน คิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไรนะครับ
เคยเห็นคนพูดกันว่า "ธนาคารจะยื่นร่มให้คุณในวันที่อากาศแจ่มใส แล้วเขาก็จะกระชากร่มคืนในวันที่ฝนตก" ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนะแต่วันนี้ผมรู้ซึ้งแล้ว
----
ขอเพิ่มเติมนะครับ คุณพ่อมีประกัน แต่ยังไงประกันก็ไม่สามารถหักลบยอดหนี้ได้ทั้งหมด แถมยังต้องรอระยะเวลาการยื่นเคลมประกัน ทางเมืองไทยประกันชีวิต ได้ขอเอกสารการชันสูตรพลิกศพจาก รพ.ศิริราช ทางศิริราชก็แจ้งว่า ต้องรอผลแลป 45-60 วัน ระหว่างนี้ดอกเบี้ยธนาคารยังคงเดินไปเรื่อยๆ คำนวนคร่าวๆ ก็ครึ่งแสนหรือเกินกว่านั้น กว่าประกันจะมา ก็คงไปลงกับดอกเบี้ยอีก
เวลาทำสินเชื่อธุรกิจ กับธนาคาร(สีเขียว) อย่าลืมนึกถึงตอนธุรกิจเราประสบปัญหาด้วยนะครับ ไม่งั้นจะเป็นแบบผม
ได้สินเชื่อมายอดหนึ่ง ทีนี้ธุรกิจที่ผมทำ คือดีลกับลูกค้า ภาคใต้ ทั้งหมด ระยะหลังช่วงปลายปี 59 เศรษฐกิจซบเซามาก
คุณพ่อผมพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ธุรกิจมันเดินต่อไปได้ จนมาเจอกับ "น้ำท่วมภาคใต้" เมื่อต้นปี60 จากของเดิมขายไม่ดีอยู่แล้ว
ซ้ำยังลงไปเคลียบัญชีกับลูกค้าไม่ได้อีก คืนนึงพ่อเดินมาบ่นกับผมว่าช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี เก็บเงินลูกค้าไม่ค่อยได้ ขายก็ไม่ค่อยดีมาเจอน้ำท่วมอีก
จากวันที่คุณพ่อบ่นว่าดวงไม่ดี อีก2วัน คุณพ่อผมก็ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต หลังจาก ผมชอคเรื่องคุณพ่อเสร็จ สิ่งแรกที่ทำเลย คือ ต้องการเคลียหนี้สิน
เพราะเห็นว่าธุรกิจนี้ไม่น่าจะไปไหวแล้ว ผมเดินขึ้นไปหาธนาคาร... เพื่อขอดูยอดหนี้ทั้งหมด
ณ วันนั้นผมก็เล่าปัญหาไป ว่า ธุรกิจผมขาดสภาพคล่องนะ เก็บเงินลูกค้าไม่ได้ น้ำท่วมนะ แล้วสุดท้ายพ่อผมก็เสียนะ ผมต้องการเคลียหนี้
แต่ผมต้องการเวลา คุณจะช่วยเหลือผมยังไงได้บ้าง อย่างน้อยคุณหยุดดอกเบี้ย ณ วันนี้ไว้ได้ไหม เงินอะมีแต่อยู่กับลูกค้า ไม่มีคนลงไปเก็บเงินที่ภาคใต้
ผมกลัวโปะเท่าไหร่เงินก็ไปจมกับดอกเบี้ยหมด
ทางสาขาให้เหตุผลกับผมมาง่ายๆว่า "ถ้าแบงค์เป็นลูกหนี้คุณ พอคุณตายแบงค์ยังคิดดอกเบี้ยให้คุณเลย ในทางกลับกันทำไมแบงค์ต้องหยุดให้คุณด้วย"
ผมได้แต่เดินคอตกกับบ้านไปหาหนทาง เพื่อเผชิญกับหนี้กองโตซึ่งคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน โดยมีบ้านที่ผมอยู่อาศัยเป็นหลักทรัพย์ค้ำอยู่
หลายวันถัดมาก็มีฝ่ายติดตามหนี้สิน โทรมาทวงหนี้ ผมก็บอกว่าพ่อผมเสียนะ ขอเวลาหน่อย เขาก็ขอหลักฐานให้แฟกซ์ใบมรณะบัตรให้ดู พร้อมกับโยนปัญหาของผมให้ไปปรึกษา คนที่เรียกว่า ผู้การ หรือผู้จัดการอะไรสักอย่างที่ดูแลเคสของพ่อผมอยู่
ผมโทรไปบอกเล่าปัญหาว่า ผมต้องการจะปิดยอดหนี้นะเพราะธุรกิจไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ผมไม่สามารถปิดได้ในระยะเวลาอันสั้น ดอกเบี้ยที่ล่วงไปในระหว่างดำเนินการ มันหลายหมื่นนะ คุณช่วยผมได้ไหม
สิ่งที่เขาตอบกลับมาได้หลักใหญ่ใจความ คือ "แสดงความเสียใจกับคุณพ่อด้วย" "ทางเราไม่มีนโยบายช่วยเหลือ" สุดท้ายคือ "ถ้าไม่สามารถชำระได้ก็ต้องปล่อยให้ธนาคารยึดหลักทรัพย์ทอดตลาด" ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ น้ำเสียงเขาผมไม่ได้รู้สึกถึงความเห็นใจเลย อารมณ์เหมือนกับว่า ก็เรื่องของคุณสิไม่จ่ายบ้านก็โดนยึดไปแค่นั้นเอง
สุดท้ายผมก็ไม่รู้ว่าจะผ่านปัญหานี้ไปได้อย่างไร
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นอุทธาหรณ์ให้ใครหลายคน คิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจลงทุนอะไรนะครับ
เคยเห็นคนพูดกันว่า "ธนาคารจะยื่นร่มให้คุณในวันที่อากาศแจ่มใส แล้วเขาก็จะกระชากร่มคืนในวันที่ฝนตก" ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจนะแต่วันนี้ผมรู้ซึ้งแล้ว
----
ขอเพิ่มเติมนะครับ คุณพ่อมีประกัน แต่ยังไงประกันก็ไม่สามารถหักลบยอดหนี้ได้ทั้งหมด แถมยังต้องรอระยะเวลาการยื่นเคลมประกัน ทางเมืองไทยประกันชีวิต ได้ขอเอกสารการชันสูตรพลิกศพจาก รพ.ศิริราช ทางศิริราชก็แจ้งว่า ต้องรอผลแลป 45-60 วัน ระหว่างนี้ดอกเบี้ยธนาคารยังคงเดินไปเรื่อยๆ คำนวนคร่าวๆ ก็ครึ่งแสนหรือเกินกว่านั้น กว่าประกันจะมา ก็คงไปลงกับดอกเบี้ยอีก