นับย้อนลงไปตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 3 ปีที่ R15 รุ่นแรกวางตลาดในบ้านเราอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางคู่แข่งอย่างค่ายปีกนก ที่ส่ง CBR150R ลงตลาดมาต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีเต็ม ในรุ่น 150CC. แม้ว่าทางการตลาด และ กลไกลตลาดปัจจัยหลักที่ทำให้คนหันมาซื้อ คงหนีไม่พ้นการออกแบบ และ ขุมกำลังในการขับขี่ แต่กระนั้นการบ้านที่ทั้งสองค่ายทำมาเป็นอย่างหนักในตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นทางเลือกให้ผู้ซื้อ ได้คิด และ วิเคราะห์กันล่วงหน้าก่อนจะตัดสินใจ
ผมจะไม่ข้อพูดถึงปัญหาของ R15 เพราะหลายๆท่านคงจะทราบดีอยู่แล้วถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เรียกตาดีได้ตาร้ายเสีย เพราะจะโทษว่าเป็นจาก QC การผลิตก็เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว จะบอกคนขับนี้แหละคือปัญหาก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นเหมือนกันหมดทุกคัน แต่ก็มีหลายกลุ่มกว้างมากๆที่เจอปัญหาต่างๆมากมายตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้วช่วงเลยกลางปี พวกคนที่ได้ติดตามข่าวสารมาตลอด คงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ CBR 150R ที่มีการปรับแต่งใหม่หมด ตั้งแต่หัวถึงท้ายรถ แม้กระทั้งเฟรมของตัวรถ ก็มีการเปลี่ยนไปใช้แบบถักแทน และแทนที่ระบบไฟหน้าและหลังเป็นแบบ LED เต็มระบบ กำลังของรถที่ All New CBR ทาง Honda เครมไว้ว่า 149.16 cc และ 16.9 แรงมาที่ 9,000 รอบ มีการเปลี่ยนค่า mapping ใหม่เพื่อเพิ่มกำลังของรถในช่วงปลาย และยังใช้ DoHc เหมือนเดิม ถ้านับและมองจากพื้นฐานของรุ่นเดิมที่ขายในบ้านเราขณะนี้ ถือว่าตัวใหม่นี้ ค่อนข้างจะจัดจ้านตอนปลายๆของกำลังรถมาก (เพราะตัวเก่า 16.9 ที่ 10,300 รอบ ) และ New CBR ตัวนี้ Honda แจ้งว่าจะเป็นโกบอลโมเดล แต่เนื่องจากทาง Ap Honda Thai ไม่มีนโยบายนำรถพิกัดนี้จากต่างประเทศมาจำหน่ายในบ้านเราอยู่แล้ว ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ปีนี้จะเข้ามาหรือไม่
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ต่างค่าย ก็ต่างคิดค้น ประดิษฐ์ค้นคว้าวิจัยอะไรใหม่ๆ มาสู่ปัจจจุบัน แน่นอนว่าตัว YZF-R15 2017 กลับมาครั้งนี้ก็พกเอาสิ่งที่น่าสนใจกลับมาจากเมื่อก่อนมาก มากชนิดที่ว่า เปลี่ยนอะไรจากของเดิมไปพอสมควร
เริ่มจากไฟหน้าแบบ Full LED คงจะหมดยุคของการใช้หลอดไฟหน้ากันไปเกือบหมดแล้ว บรรดาค่ายรถต่างๆ ก็เริ่มเอาเทคโนโลยี LED มาติดตั้งเป็นไฟหน้า และ ไฟเบรกกันเกือบหมดแล้ว สังเกตุจากรถตลาดรุ่นเล็กๆก็เช่นกัน ทุกวันนี้แทบจะหารถที่ใช้หลอดไฟแบบเดิมๆนั้น หายากเต็มทน
ไฟท้าย LED แบบแยกไฟเลี้ยวไปติดตั้งที่ท้ายรถแทน
สวิตซ์ On-Off และ ปุ่มติดเครื่องยนตร์ ,ไฟขอทาง และ อื่นๆ ยังอยู่ตำแหน่งเดิม ส่วนแฮนด์จับโช็คใต้แผงคอ จำลองรุ่นใหญ่มาเลย
เรือนไมล์แบบ Full LCD ที่มีการแสดงผลต่างๆครบถ้วน ทั้งวัดรอบแบบกราฟ และ ความเร็วแบบตัวเลขดิจิตรอน รวมถึงไฟเลี้ยว และ ไฟเซ็นเซอร์ต่างๆภายในรถ และ ความจุของถังน้ำมัน และชิบไลท์ไฟเตือนเปลี่ยนเกียร์ และ หน้าปัดก็แสดงเลขบอกเกียร์
ถังน้ำมันความจุ 12 ลิตร ออกแบบมาให้การหมอบนั้นแนบชิดมากกว่าเดิม มิติของถังดูสมส่วนกว่ารุ่นก่อน
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาที่ทำให้ดูน่าสนใจ R15 2017 นั้นมีการติดตั้งโช็คหน้าแบบ USD (Up side down) เข้ามาแทนที่ Telescopic ในรุ่นก่อนหน้า พร้อมจานเบรกแบบ 282 mm. และปั้มคาลิปเปอร์แบบ 2 ลูกสูบขนาดเท่าเดิม โช็คหลังยังคงเป็น Monoshock แบบเดิม จานเบรกหลัง 240 mm และ ปั้มคาลิปเปอร์แบบ 1 ลูกสูบเหมือนเดิม
สิ่งที่ทำให้มันดูน่าสนใจกว่าที่ผ่านมา นอกจากรูปร่างใหม่ภายนอก ภายในยังเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจาก CC ถูกขยับเป็น 155.1CC ยังคงใช้ SoHc เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ R15 2017 มีระบบวาล์วแปรผัน VVA (Variable Valve Actuation) แน่นอนว่ามันจะทำงานระบบเดียวกับ Nmax และ Aerox กระเดืองวาล์วทั้งสองตัวจะทำงานที่รอบต่ำคือ low speed 0 - 6000 รอบ และ High Speed 6000 เป็นต้นไป โดยที่ โซลินอยด์ จะรับคำสั้งจาก ECU เป็นตัวกำหนดรอบ ก่อนที่จะสั้งวาล์วปิดและเปิดในรอบที่ต่ำ และ สูง อยู่ที่ขณะขับขี่ ถ้าหาก VVA ทำงานเต็มระบบ (รอบสูงเป็นต้นไป) ไอดีก็จะเปิดกว้างมากขึ้นตามระบบ ส่งผลให้กำลังของรถในรอบปลายๆ ตั้งแต่ 6000 เป็นต้นไปนั้น ค่อนข้างจะปรี้ดปราดกว่ารุ่นเก่ามาก (เครื่องมาจาก Nmax แทบทั้งเซ็ต)
แรงม้า 19.1 ตัวที่ 10000 รอบ ใช้การกระจายน้ำหนักของรถที่ด้านหน้า 50 ด้านหลัง 50 และยางติดรถมาที่ 100 / 70 / 17 และ 140 / 70 / 17
ยังไม่เท่านั้น เพราะ R15 2017 มี Sliper Clutch เข้ามาเสริมกำลังด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้slipper clutch ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่ามันคือครัชที่ลื่น (ได้) เจ้าตัวนี้ตอนนี้นิยมติดตั้งบนรถsuper bikeที่มีแรงม้าสูงๆครับ เช่นZX10Rก็มีให้จากโรงงานเลย มันเอาไว้ทำอะไรล่ะ? อธิบายง่ายๆมันคืออุปกรณ์สำหรับลดทอนเอ็นจิ้นเบรคของเครื่องยนต์นั่นเอง เมื่อเวลาเราเชนเกียร์รถให้ต่ำลงก็จะมีเอ็นจิ้นเบรคเกิดขึ้นที่ล้อหลัง ถ้าแรงมากอาจทำให้ล้อหลังล็อคได้ อย่างที่เห็นเวลารถmoto gp เบรคจะเข้าโค้ง บางครั้งจะเห็นท้ายรถแกว่งไปมา เพราะเกิดเอ็นจิ้นเบรคอย่างแรงจนบางครั้งอาจเสียการควบคุม จึงมีการออกแบบระบบครัชที่มีอุปกรณ์ที่จะทำให้เกิดอาการครัชลื่นเวลามีการดึงกลับ(เอ็นจิ้นเบรค)เพื่อช่วยลดอาการดังกล่าวลง ทำให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันจะทำให้มีความเร็วในการเข้าโค้งมากขึ้นด้วย
ก็ต้องเรียกว่า 3 ปีที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ และ การบ้านให้ Yamaha พัฒนารุ่นใหม่ออกมาสู่ตลาด เหมือน Yamaha ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ที่มีการคิด และ วิจัยผลต่างๆ ก่อนนำชิ้นนั้นชิ้นนี้มาติดตั้งกับตัวรถ นับว่าเป็นก้าวใหม่ที่น่าสนใจมาก สำหรับวงการจักรยานยนตร์บ้านเรา เพราะเทคโนโลยีทั้งหมดที่ถูกติดตั้งมา ช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกระดับ แต่ยังไม่ได้ลองขับของจริง เลยไม่รู้ว่าจะมีฟิวริงตอนขับเป็นยังไง ต่างจากรุ่นเก่า และ คู่แข่งมากขนาดนั้นไหน ต้องรอรถเข้าไทยก่อนแล้วละครับงานนี้
ส่วนเรื่องที่ปัญหาหลายๆคนกลัวจะกลับมาเกิดกับรุ่นใหม่นี้ อันนี้ระยะสั้นๆคงบอกอะไรไม่ได้ จะต้องรอดูระยะยาวก่อนว่าทาง Yamaha นำเอาข้อบกพร่องจากการบ้านบทเดิมไปแก้ไข หรือ พัฒนาอะไรหรือไม่ ส่วนตัวผมมองว่า ตอนแรกผมสนใจ R125 มาก แต่พอ R15 2017 ออกมา ทำไมมันคล้ายกันแบบคล้ายกันมากก็ไม่ทราบได้
ขอบคุณข้อมูลจาก
Cr.indiacarnews
Cr.TMCBlog
Yamaha YZF-R15 2017 ตัวเลือก หรือเป็น ตัวรอง ?
นับย้อนลงไปตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 3 ปีที่ R15 รุ่นแรกวางตลาดในบ้านเราอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางคู่แข่งอย่างค่ายปีกนก ที่ส่ง CBR150R ลงตลาดมาต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีเต็ม ในรุ่น 150CC. แม้ว่าทางการตลาด และ กลไกลตลาดปัจจัยหลักที่ทำให้คนหันมาซื้อ คงหนีไม่พ้นการออกแบบ และ ขุมกำลังในการขับขี่ แต่กระนั้นการบ้านที่ทั้งสองค่ายทำมาเป็นอย่างหนักในตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นทางเลือกให้ผู้ซื้อ ได้คิด และ วิเคราะห์กันล่วงหน้าก่อนจะตัดสินใจ
ผมจะไม่ข้อพูดถึงปัญหาของ R15 เพราะหลายๆท่านคงจะทราบดีอยู่แล้วถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เรียกตาดีได้ตาร้ายเสีย เพราะจะโทษว่าเป็นจาก QC การผลิตก็เป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว จะบอกคนขับนี้แหละคือปัญหาก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นเหมือนกันหมดทุกคัน แต่ก็มีหลายกลุ่มกว้างมากๆที่เจอปัญหาต่างๆมากมายตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้วช่วงเลยกลางปี พวกคนที่ได้ติดตามข่าวสารมาตลอด คงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของ CBR 150R ที่มีการปรับแต่งใหม่หมด ตั้งแต่หัวถึงท้ายรถ แม้กระทั้งเฟรมของตัวรถ ก็มีการเปลี่ยนไปใช้แบบถักแทน และแทนที่ระบบไฟหน้าและหลังเป็นแบบ LED เต็มระบบ กำลังของรถที่ All New CBR ทาง Honda เครมไว้ว่า 149.16 cc และ 16.9 แรงมาที่ 9,000 รอบ มีการเปลี่ยนค่า mapping ใหม่เพื่อเพิ่มกำลังของรถในช่วงปลาย และยังใช้ DoHc เหมือนเดิม ถ้านับและมองจากพื้นฐานของรุ่นเดิมที่ขายในบ้านเราขณะนี้ ถือว่าตัวใหม่นี้ ค่อนข้างจะจัดจ้านตอนปลายๆของกำลังรถมาก (เพราะตัวเก่า 16.9 ที่ 10,300 รอบ ) และ New CBR ตัวนี้ Honda แจ้งว่าจะเป็นโกบอลโมเดล แต่เนื่องจากทาง Ap Honda Thai ไม่มีนโยบายนำรถพิกัดนี้จากต่างประเทศมาจำหน่ายในบ้านเราอยู่แล้ว ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ปีนี้จะเข้ามาหรือไม่
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ต่างค่าย ก็ต่างคิดค้น ประดิษฐ์ค้นคว้าวิจัยอะไรใหม่ๆ มาสู่ปัจจจุบัน แน่นอนว่าตัว YZF-R15 2017 กลับมาครั้งนี้ก็พกเอาสิ่งที่น่าสนใจกลับมาจากเมื่อก่อนมาก มากชนิดที่ว่า เปลี่ยนอะไรจากของเดิมไปพอสมควร
เริ่มจากไฟหน้าแบบ Full LED คงจะหมดยุคของการใช้หลอดไฟหน้ากันไปเกือบหมดแล้ว บรรดาค่ายรถต่างๆ ก็เริ่มเอาเทคโนโลยี LED มาติดตั้งเป็นไฟหน้า และ ไฟเบรกกันเกือบหมดแล้ว สังเกตุจากรถตลาดรุ่นเล็กๆก็เช่นกัน ทุกวันนี้แทบจะหารถที่ใช้หลอดไฟแบบเดิมๆนั้น หายากเต็มทน
ไฟท้าย LED แบบแยกไฟเลี้ยวไปติดตั้งที่ท้ายรถแทน
สวิตซ์ On-Off และ ปุ่มติดเครื่องยนตร์ ,ไฟขอทาง และ อื่นๆ ยังอยู่ตำแหน่งเดิม ส่วนแฮนด์จับโช็คใต้แผงคอ จำลองรุ่นใหญ่มาเลย
เรือนไมล์แบบ Full LCD ที่มีการแสดงผลต่างๆครบถ้วน ทั้งวัดรอบแบบกราฟ และ ความเร็วแบบตัวเลขดิจิตรอน รวมถึงไฟเลี้ยว และ ไฟเซ็นเซอร์ต่างๆภายในรถ และ ความจุของถังน้ำมัน และชิบไลท์ไฟเตือนเปลี่ยนเกียร์ และ หน้าปัดก็แสดงเลขบอกเกียร์
ถังน้ำมันความจุ 12 ลิตร ออกแบบมาให้การหมอบนั้นแนบชิดมากกว่าเดิม มิติของถังดูสมส่วนกว่ารุ่นก่อน
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาที่ทำให้ดูน่าสนใจ R15 2017 นั้นมีการติดตั้งโช็คหน้าแบบ USD (Up side down) เข้ามาแทนที่ Telescopic ในรุ่นก่อนหน้า พร้อมจานเบรกแบบ 282 mm. และปั้มคาลิปเปอร์แบบ 2 ลูกสูบขนาดเท่าเดิม โช็คหลังยังคงเป็น Monoshock แบบเดิม จานเบรกหลัง 240 mm และ ปั้มคาลิปเปอร์แบบ 1 ลูกสูบเหมือนเดิม
สิ่งที่ทำให้มันดูน่าสนใจกว่าที่ผ่านมา นอกจากรูปร่างใหม่ภายนอก ภายในยังเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจาก CC ถูกขยับเป็น 155.1CC ยังคงใช้ SoHc เหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ R15 2017 มีระบบวาล์วแปรผัน VVA (Variable Valve Actuation) แน่นอนว่ามันจะทำงานระบบเดียวกับ Nmax และ Aerox กระเดืองวาล์วทั้งสองตัวจะทำงานที่รอบต่ำคือ low speed 0 - 6000 รอบ และ High Speed 6000 เป็นต้นไป โดยที่ โซลินอยด์ จะรับคำสั้งจาก ECU เป็นตัวกำหนดรอบ ก่อนที่จะสั้งวาล์วปิดและเปิดในรอบที่ต่ำ และ สูง อยู่ที่ขณะขับขี่ ถ้าหาก VVA ทำงานเต็มระบบ (รอบสูงเป็นต้นไป) ไอดีก็จะเปิดกว้างมากขึ้นตามระบบ ส่งผลให้กำลังของรถในรอบปลายๆ ตั้งแต่ 6000 เป็นต้นไปนั้น ค่อนข้างจะปรี้ดปราดกว่ารุ่นเก่ามาก (เครื่องมาจาก Nmax แทบทั้งเซ็ต)
แรงม้า 19.1 ตัวที่ 10000 รอบ ใช้การกระจายน้ำหนักของรถที่ด้านหน้า 50 ด้านหลัง 50 และยางติดรถมาที่ 100 / 70 / 17 และ 140 / 70 / 17
ยังไม่เท่านั้น เพราะ R15 2017 มี Sliper Clutch เข้ามาเสริมกำลังด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก็ต้องเรียกว่า 3 ปีที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ และ การบ้านให้ Yamaha พัฒนารุ่นใหม่ออกมาสู่ตลาด เหมือน Yamaha ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ที่มีการคิด และ วิจัยผลต่างๆ ก่อนนำชิ้นนั้นชิ้นนี้มาติดตั้งกับตัวรถ นับว่าเป็นก้าวใหม่ที่น่าสนใจมาก สำหรับวงการจักรยานยนตร์บ้านเรา เพราะเทคโนโลยีทั้งหมดที่ถูกติดตั้งมา ช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกระดับ แต่ยังไม่ได้ลองขับของจริง เลยไม่รู้ว่าจะมีฟิวริงตอนขับเป็นยังไง ต่างจากรุ่นเก่า และ คู่แข่งมากขนาดนั้นไหน ต้องรอรถเข้าไทยก่อนแล้วละครับงานนี้
ส่วนเรื่องที่ปัญหาหลายๆคนกลัวจะกลับมาเกิดกับรุ่นใหม่นี้ อันนี้ระยะสั้นๆคงบอกอะไรไม่ได้ จะต้องรอดูระยะยาวก่อนว่าทาง Yamaha นำเอาข้อบกพร่องจากการบ้านบทเดิมไปแก้ไข หรือ พัฒนาอะไรหรือไม่ ส่วนตัวผมมองว่า ตอนแรกผมสนใจ R125 มาก แต่พอ R15 2017 ออกมา ทำไมมันคล้ายกันแบบคล้ายกันมากก็ไม่ทราบได้
ขอบคุณข้อมูลจาก
Cr.indiacarnews
Cr.TMCBlog