แต่ก่อนตอนมัธยมปลายเราเคยฝันอยากเรียนอักษรศาสตร์ จริงๆเพิ่งคิดได้ตอนมอห้าเทอมปลายจนถึงมอหกถ้าจำไม่ผิด คือที่อยากเป็นเพราะว่าชอบภาษาอังกฤษ แล้ว เราไม่รู้ว่าจะไปทำอาชีพหรือเรียนอะไรในตอนนั้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยากเรียนเป็นครูภาษาอังกฤษ เลยคิดว่าเรียนอักษรละกัน แต่เราก็ไม่ได้เรียนสายศิลป์มา เราไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมาโดยตรง คือเราเรียนสายวิทย์ แล้วก็ทุ่มเงินเรียนพิเศษกับคอร์สวิชาวิทย์เยอะมาก แต่สุดท้ายเราก็บังเอิญสอบติดอีกคณะแล้วก็เรียนมาจนถึงตอนนี้
Arrival ส่วนหนึ่งสำหรับเรา คือโอกาสที่ทำให้เรากลับไปค้นหาตัวตนอีกครั้งเหมือนกัน ว่าสรุปความฝันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น ว่าจริงๆแล้วเราชอบอักษรฯหรือเราข้อใจอักษรฯมากน้อยขนาดไหน ฝันในตอนนั้นยังเป็นฝันของเราในตอนนี้อีกหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเราจะแทบลืมไปเลยเสียด้วยซ้ำนับตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยมา ว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยากเรียนอักษรฯ
หนังถูกถ่ายทอดด้วยสองเรื่องราวที่สุดท้ายดูเหมือนจะมาเชื่อมกันคือเรื่องของ Louise อาจารย์มหาวิทยาลัยทางภาษาศาสตร์ที่มี Security clearance กับทางรัฐบาลสหรัฐ ให้ไปแปลภาษาสิ่งแปลกประหลาดที่หลายคนนิยามมันว่าเป็นมุนษย์ต่างดาวที่พยายามติดต่อสื่อสารบางอย่างกับโลกเรา และในระหว่างเดินทางเธอก็ได้พบกับเพื่อนร่วมงานคือ Ian นักฟิสิกส์ที่ถูกเชิญให้มาไขรหัสเอเลี่ยนเช่นเดียวกัน
ในระหว่างนี้ก็ตัดภาพของเธอกับลูกสาวของลุยส์ ภาพทั้งหมดเกิดที่ขึ้นที่บ้าน บ้านริมทะเลสาบ ฉากแรก หนังตัดภาพชีวิตความสัมพันธ์ของเธอกับลูกสาวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ในวัยเด็ก จนเป็นวัยรุ่นก้าวร้าว และค้นพบว่าเธอเป็นมะเร็ง ได้รับเคโม และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ชุดภาพในตอนแรกก่อนเริ่มเรื่องราวทั้งหมดของหนังชวนให้เราคิดว่านั่นเป็นภาพในอดีตของลุยส์ และเสียงเรียกของลูก ภาพลูกสาวในวัยเด็กที่เล่นข้างริมทะเลสาบ ภาพวาดในบ้าน หรือรูปดินน้ำมันที่ลูกสาวปั้นถึงชีวิตของพ่อแม่ ที่ลูกสาวเล่าว่าพ่อแม่เธอคุยกับ “สัตว์” ได้ ภาพเหล่านั้นทำให้เราคิดไปว่า เป็นเหมือนภาพความทรงจำที่หลอกหลอนเธอในทุกขณะชีวิต
ลักษณะของลุยส์ตอนต้นเรื่องที่ดูเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่สนใจอะไรต่อเรื่องราวโลกภายนอก ใช้ชีวิตซ้ำจำเจ เช้าตื่นมาก็สอนหนังสือ กลับบ้าน นอน แล้วก็ตื่นมาสอนหนังสือ ซ้ำเช่นนี้ แม้ว่าจะมีข่าวของเอเลี่นบุกโลก เธอก็ยังไม่สนใจใยดี เผลอนอนหลับไปในระหว่างที่รายการโทรทัศน์รายงานถึงความโกลาหนที่เกิดบนโลก ในความที่เธอดูไม่สนใจอะไรกับโลกใบนี้ เราก็เผลอคิดไปว่าเธอคงทุกข์หนักจากการสูญเสียลูกสาว
ในอดีตเธอเคยแปลภาษาฟาร์ซีให้กับสหรัฐซึ่งเราเข้าใจว่าน่าจะเกี่ยวกับเหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน Iran Nuclear Agreemen และ uranium enrichment programme ที่กำลังมีปัญหาในตอนนี้หรือไม่
ลักษณะเอเลี่ยนในหนัง ตอนแรกเราแอบคิดไปถึงแมงมุมในเรื่อง Enemy (2013) เสียด้วยซ้ำ ที่แมงมุมเองก็คล้ายกับงานศิลปะ Maman ของ Louise Bourgeois (ชื่อลุยส์เหมือนกันด้วย) ซึ่งมีความหมายถึงสายใยที่ถูกทักทอระหว่างแม่กับลูกสาว เมื่อครั้งที่แม่ของลุยส์ทำงานเป็นช่างเย็บผ้า และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดูเป็นภาพที่กลับกันกับ Arrival
ในเวลาต่อมาระหว่างที่เราดูหนังเราก็นึกไปว่ารูปร่างของเอเลี่ยน เหมือนมือ ที่มีเจ็ดนิ้ว มีข้อมือ (Wrist) ข้อมือด้านซ้ายชื่อ Costello ข้อมือขวาชื่อ Abbott ถ้าสังเกตจะพบว่าก่อนที่ลุยส์จะขึ้นไปทำภารกิจบน Shell มือขวาเธอจะกระตุก และจากเหตุการณ์ที่มีทหารอเมริกันหวั่นวิตกกับสถานการณ์ความโกลาหนบนโลก ถูกปลุกปั่นด้วยช่องทีวี พวกเขาวางแผนเอาระเบิดไปจุดใน Shell ส่งผลให้ Abbott มือขวาที่พยายามจะเตือนลุยส์และเอียนว่ามีระเบิด ในขณะที่ Costello หนีไปก่อน
สัญลักษณ์ของมือ นิ้วมือยังถูกใช้ในตอนภาพระหว่างลุยส์เล่นกับลูก ฉากที่ลุยส์ยกมือขึ้นมาสองข้างและกรายนิ้วมือ ระหว่างที่ลูกสาวในชุดม้าเล่นในสวนหญ้า ฉากลูกสาวเล่นข้างทะเลสาบใช้มือสองข้างหยิบหิน ฉากขาข้างซ้ายของลูกสาวพยายามจะใส่รองเท้าบูท หรือฉากลูกสาวเอากิ่งไม้จุ่มลงไปในทะเลสาบ ทั้งหมดทนี้ทำให้นึกถึงนิ้วมือ หรือมือ ที่อาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเอเลี่ยนที่เหมือนมือ
Shell ตอนแรกเราคิดถึง Monolith ใน 2001: A Space Odyssey (1968) ยิ่งฉากที่เอียนแตะ Shell ยิ่งทำให้นึกถึง และอยากที่เราเคยเขียนไว้ว่ามันคล้ายกับการ ลักษณะของ Shell รูปร่างเหมือนกับ The Creation of Adam ของ Michelangelo เป็นภาพที่เขียนจากพระคัมภีร์ไบเบิลจากพระธรรมปฐมกาล เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรกที่เป็นอาดัม
หลังจากที่พระเจ้าสร้างโลกเป็นเวลาเจ็ดวัน (เลขเจ็ดเท่ากับจำนวนขาของ heptapod และนิ้วเล็กๆ ของมันอีกเจ็ดแฉก) อาดัมและอีฟในสวนเอเดน พวกเขาฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าที่ห้ามกินแอปเปิ้ลในสวน แสดงถึงความของการอิสรภาพของมนุษย์ ยอมที่จะไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพระเจ้า แต่ก็แลกมาด้วยบาป และอุปสรรคที่พระเจ้าคอยกลั่นแกล้งเสมอมา โดยเฉพาะอาณัติในหนังสือปฐมกาล หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในสมัยของโนอาห์ มนุษย์มีภาษาเดียวที่พูดสื่อสารกันได้ทั้งโลก พวกเขาร่วมมือกันสร้างหอคอมบาเบลให้สูงเสียดฟ้า อนึ่งเพื่อสำแดงพลังความยิ่งใหญ่ของมนุษย์
พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์คิดการใหญ่เพื่อตนเอง และแล้วพระเจ้าก็บันดาลให้มนุษย์พูดภาษาต่างกัน หลังจากนั้นมนุษ์ก็ทะเลาะกันเอง โครงการสร้างบาเบลจึงเป็นอันยุติไป กลายเป็นมนุยษ์ในปัจจุบันนี้ที่พูดภาษาต่างกัน มีประเทศเป็นของตนเอง หลักฐานที่เหล่านักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าหอคอยบาเบลคือสถานที่ใดในโลกนี้ ส่วนหนึ่งคือ Etemenanki ที่สร้างพระเจ้ามาร์ดุคในยุคบาบิโลเนีย ประมาณสามพันปีที่แล้ว
เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าการปรากฎตัวของ Shell นับตั้งแต่การสร้างหอคอยบาเบลเมื่อสามปีที่แล้ว และพวก heptapod ให้เหตุผลว่าเขามาช่วยเหลือพวกเราให้รอดพ้นจากวิกฤต และอีกสามพันปีข้างหน้าพวกเราต้องไปช่วยเหลือพวกเขา จริงๆแล้ว heptapod หรือ shell คืออะไร ถ้าจากการเปรียบเทียบภาพ The Creation of Adam แล้ว heptapod หรือ shell อาจหมายถึงพระเจ้า แต่จากคำพูดที่ว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเราในอีกสามพันปี ทำให้สมมติฐานที่ว่า heptapod หรือ shell เป็นพระเจ้าน่าจะไม่จริง เพราะพระเจ้าไม่น่าจะต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราต่างหากที่ตัดสินใจไม่อยู่อยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์นับจากอาดัมและอีฟ เรายอมที่จะมีชีวิตอิสระและเผชิญปัญหาและแก้มันด้วยมือของเราเอง ดังนั้นฉากสัมผัส shell ของเอียนสำหรับเรามันจึงเป็นการรำลึกถึงการตัดสินใจของอาดัม มากกว่าการบอกว่า heptapod หรือ shell เป็นพระเจ้าที่ต้องการความช่วยเหลือ
ภาพการปรากฎตัวของ shell บนโลกในหนังเราไม่มีโอกาสได้เห็น ในตอนจบ ทำไม shell บินหายไปออกนอกโลก เราเห็นเพียงฉากการจางเลือนหายไปของ shell ทำให้เราคิดว่า heptapod หรือ shell อยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว เพียงอาจอยู่กันคนละมิติของการเวลา
จาก Sapir-Whorf hypothesis ที่พูดถึงอิทธิพลภาษาที่มีต่อการรับรู้ ความคิด ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับความเป็นจริง และไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือไว้แก้ปัญหา คล้ายกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ Fermat's principle ที่จริงๆแล้วเป็นหลักทางคณิตศาสตร์ แต่ถูกไปประยุกต์ต่อเป็น Snell's law หลักของแฟร์มาต์พูดถึงการเคลื่อนที่ของแสงผ่านตัวกลางที่ต่างกัน โดยใช้เวลาที่น้อยที่สุด (least time) ซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่าลำแสงจะเคลื่อนที่ตามเส้นทาง ที่ใช้เวลาที่น้อยที่สุด
ในทางวิทยาศาสตร์จะถือว่าภาพคือแสงที่กระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าเซลล์รับแสงในตาเรา แล้วเกิดการประมวลผลเป็นภาพ ถ้าหากแสงเดินทางจากอากาศไปสู่น้ำ แน่นอนว่าองศาการเดินทางของแสงจะเปลี่ยนไปตาม Snell's law ลองจินตนาการว่าเราดำน้ำแล้วมองขึ้นมาบนน้ำ นั่นเท่ากับว่าความจริงถูกซ้อนถึงสองชั้น คือแสงที่ต้องเดินทางผ่านน้ำ และจากน้ำผ่านเลนส์ตาเรา ในทำนองเดียวกัน หากเปลี่ยนตัวกลางที่เป็นน้ำให้เป็นภาษา และเลนส์ตาเป็นการประมวลผลภาษาที่คนแต่ละคนมีไม่เท่ากัน นั่นแปลว่า เราตกอยู่ใต้อิทธิพลของภาษา ที่ส่งผลไปถึงการรับรู้และประมวลผลภาษาที่ส่งถึงเรา (จริงๆ การเดินทางเข้าไปใน shell ผู้เดินทางต้องเดินกลับทิศกลับทางกับแรงโน้มถ่วงก่อนจะเข้าไปในห้องโถงที่มี heptapod คล้ายกับแสงที่หักเหเมื่อผ่านคนละตัวกลาง)
มีความน่าสนใจตรงที่รูปร่างของ Shell เหมือนกับเลนส์ตา และในขณะเดียวกันก็เหมือนกับก้อนหิน และในหนังเองก็มักนำเสนอให้เห็นวัตถุที่เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง เช่นกระจก ในบ้านของลุยส์ที่มองออกไปเป็นทะเลสาบ ที่ที่ภาพในอนาคตของเธอเลื่อนไหลไปมาตลอดทั้งเรื่อง และทะเลสาบเองก็มีน้ำ น้ำที่เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง และจะมีฉากที่ลูกสาวลุยส์เก็บก้อนหินริบทะเลสาบก้อนหินที่รูปร่างคล้าย Shell
ยังมีกระจกใน Shell ที่ชัดเจนมากว่ามนุษย์มองเห็น Heptapod แล้วกระบวนการประมวนผลไม่เหมือนกัน คือลุยส์และเอียน มองว่าพวกเขาเป็นมิตร และพยายามจะติดต่อเข้าใจในระบบภาษาของเขา (น่าสนใจว่าลุยส์เลือกที่จะถอดชุดกันรังสีที่มีกระจกกันดวงตาเธอ เธอถอดชุดที่มีกระจกออกก่อนที่จะสามารถสื่อสารกับ Heptapod ได้ จนทำให้พวก Heptapod พ่นหมึกภาษาออกมา และหลังจากนั้น เธอไม่ใส่ชุดนั้นอีกเลย)
ในขณะที่ทีมงานยกของ ยกกรงนกคานารี่ไว้เตือนภัย พวกเขาถูกช่องทีวีชวนเชื่อปลุกปั่น พวกเขาตีความภาพที่เห็นไม่เหมือนกับลุยส์และเอียน เขาเลยเลือกที่จะทำลาย Heptapod นี่แสดงถึงอิทธิพลของภาษาที่ในสมัยสร้างหอบาเบล มนุษย์ทะเลาะกันเพราะภาษาต่างกัน แต่ใน Arrival คือคนทะเลาะกัน ไม่เพียงเพราะ ภาษาต่างกัน แนวคิดต่างกัน (ฝ่ายซ้าย-ขวา เหมือนสัญลักษณ์มือ) แต่ในคนที่ใช้ภาษาเดียวกันก็ยังขัดแย้งกันเลย นั่นเป็นเพราะเรามีปราการแรกของแสงที่ผ่านมาคือน้ำ ในที่นี้คือภาษา และปราการที่สองคือเลนส์ตาที่ไม่ว่าใครก็มีไม่เหมือนกัน
อีกฉากที่น่าสนใจก็คือฉากที่ลุยส์ได้ขึ้นยานเล็กแบบส่วนตัว ขึ้นไปคุยกับ Costello หลังจากที่มีคนเอาระเบิดไปวางใน Shell ในฉากนั้นลุยส์พูดภาษาอังกฤษสื่อสารกับ Costello ซึ่งตอนลุยส์พูด ก็มีซับไทยแปลอีกที แล้วพอตอนที่ต่างดาวพูด มันก็มีซับที่แปลภาษาต่างดาวเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็มีซับไทยที่แปลจากซับอังกฤษอีกที ในความคิดเรา ฉากนั้นเราว่าจริงๆแล้ว ลุยส์น่าจะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเพราะที่ผ่านมาลุยส์แทบไม่สอนในต่างดาวเข้าใจภาษาอังกฤษ ถึงใช้ก็ใช้เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าใจภาษาต่างดาว
เราจะเห็นว่าสุดท้ายแล้วลุยส์ ในฉากที่ไปคุยกับ Abbott ก่อนที่จะระเบิด ฉากนั้นลุยส์ก็ต้องใช้ภาษาเขียนของ heptapod ที่ผ่านเวลาศึกษามา แล้วอีกอย่างเธอก็น่าจะยังฟัง heptapod พูดไม่ได้ด้วย เธอน่าจะสื่อสารกับ heptapod แบบ effective ได้อย่างเดียวคือผ่านภาษาเขียน ตอนท้ายของฉากนั้นเราเห็นว่าลุยส์สัมผัสกับ Abbott ผ่านกระจกและสร้างภาษาเขียนของ heptapod ได้ ซึ่งนั่นน่าจะพออนุมานได้ว่าเธอได้มีกระบวนการแปลภาษา heptopod แล้ว เธอได้มีช่องทางในการเข้าเรียนรู้อารยธรรมของ heptapod แล้ว
ดังนั้นฉากลุยส์เข้าไปคุยกับ Costello (มียานส่วนตัวมารับ และได้คุยหลังกระจก) สำหรับเรา ณ ตอนนั้นลุยส์ไม่ได้คุยโดยภาษาอังกฤษ เพียงแต่ภาษาที่หลุยส์คุยถูกแปลมาให้คนดูที่มี “เลนส์” ของตัวเองอ่านเข้าใจ ส่วนฉากที่ลุยส์คุยโทรศัพท์กับนายพลฉางแล้วไม่มีซับ นี่ก้เป็นประเด็นที่น่าถกเถียงว่า ทำไมถึงไม่มีซับ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หลุยส์คุยกับต่างดาวก็มีซับ
ฉากคุยโทรศัพท์กับนายพลนี่ก็น่าสนใจ เพราะเป็น controversy มากๆ หลายคนบ่นว่าฉากนี้ เป็นอะไรที่สิ้นคิดของผู้กำกับ คือ ฉากที่หลุยส์เพิ่งสมาธิเพื่อระลึกถึงภาพที่เธอเจอกับนายพลที่งานเลี้ยง และดูเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงสหประชาชาติ วันที่สมาคมโลกมาถึงจุดสันติภาพ ทุกชาติร่วมมือกันธำรงความสามัคคี ราวกับมีภาษาเป็นหนึ่งแบบสมัยสร้างบาเบล ในวันนั้นธงชาติในงานมีรูปธงของ heptopod ด้วย แล้วฉากนั้นทั้งคู่คุยภาษาอังกฤษ (หรือว่าสุดท้ายแล้วภาษาอังกฤษเป็นภาษาของโลกนี้) แต่ตอนคุยโทรศัพท์กลับคุยเป็นภาษาจีน แล้วอีกอย่างคือ ตอนจบของหนัง heptapod ก็หายไป ไม่ได้สร้างความร่วมมือกับมนุษย์ แล้วทำไมงานในวันนั้นถึงมีธงชาติของ heptopod
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Arrival {Denis Villeneuve}, 2016
Arrival ส่วนหนึ่งสำหรับเรา คือโอกาสที่ทำให้เรากลับไปค้นหาตัวตนอีกครั้งเหมือนกัน ว่าสรุปความฝันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น ว่าจริงๆแล้วเราชอบอักษรฯหรือเราข้อใจอักษรฯมากน้อยขนาดไหน ฝันในตอนนั้นยังเป็นฝันของเราในตอนนี้อีกหรือเปล่า ถึงแม้ว่าเราจะแทบลืมไปเลยเสียด้วยซ้ำนับตั้งแต่ขึ้นมหาวิทยาลัยมา ว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยากเรียนอักษรฯ
หนังถูกถ่ายทอดด้วยสองเรื่องราวที่สุดท้ายดูเหมือนจะมาเชื่อมกันคือเรื่องของ Louise อาจารย์มหาวิทยาลัยทางภาษาศาสตร์ที่มี Security clearance กับทางรัฐบาลสหรัฐ ให้ไปแปลภาษาสิ่งแปลกประหลาดที่หลายคนนิยามมันว่าเป็นมุนษย์ต่างดาวที่พยายามติดต่อสื่อสารบางอย่างกับโลกเรา และในระหว่างเดินทางเธอก็ได้พบกับเพื่อนร่วมงานคือ Ian นักฟิสิกส์ที่ถูกเชิญให้มาไขรหัสเอเลี่ยนเช่นเดียวกัน
ในระหว่างนี้ก็ตัดภาพของเธอกับลูกสาวของลุยส์ ภาพทั้งหมดเกิดที่ขึ้นที่บ้าน บ้านริมทะเลสาบ ฉากแรก หนังตัดภาพชีวิตความสัมพันธ์ของเธอกับลูกสาวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ในวัยเด็ก จนเป็นวัยรุ่นก้าวร้าว และค้นพบว่าเธอเป็นมะเร็ง ได้รับเคโม และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ชุดภาพในตอนแรกก่อนเริ่มเรื่องราวทั้งหมดของหนังชวนให้เราคิดว่านั่นเป็นภาพในอดีตของลุยส์ และเสียงเรียกของลูก ภาพลูกสาวในวัยเด็กที่เล่นข้างริมทะเลสาบ ภาพวาดในบ้าน หรือรูปดินน้ำมันที่ลูกสาวปั้นถึงชีวิตของพ่อแม่ ที่ลูกสาวเล่าว่าพ่อแม่เธอคุยกับ “สัตว์” ได้ ภาพเหล่านั้นทำให้เราคิดไปว่า เป็นเหมือนภาพความทรงจำที่หลอกหลอนเธอในทุกขณะชีวิต
ลักษณะของลุยส์ตอนต้นเรื่องที่ดูเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไม่สนใจอะไรต่อเรื่องราวโลกภายนอก ใช้ชีวิตซ้ำจำเจ เช้าตื่นมาก็สอนหนังสือ กลับบ้าน นอน แล้วก็ตื่นมาสอนหนังสือ ซ้ำเช่นนี้ แม้ว่าจะมีข่าวของเอเลี่นบุกโลก เธอก็ยังไม่สนใจใยดี เผลอนอนหลับไปในระหว่างที่รายการโทรทัศน์รายงานถึงความโกลาหนที่เกิดบนโลก ในความที่เธอดูไม่สนใจอะไรกับโลกใบนี้ เราก็เผลอคิดไปว่าเธอคงทุกข์หนักจากการสูญเสียลูกสาว
ในอดีตเธอเคยแปลภาษาฟาร์ซีให้กับสหรัฐซึ่งเราเข้าใจว่าน่าจะเกี่ยวกับเหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน Iran Nuclear Agreemen และ uranium enrichment programme ที่กำลังมีปัญหาในตอนนี้หรือไม่
ลักษณะเอเลี่ยนในหนัง ตอนแรกเราแอบคิดไปถึงแมงมุมในเรื่อง Enemy (2013) เสียด้วยซ้ำ ที่แมงมุมเองก็คล้ายกับงานศิลปะ Maman ของ Louise Bourgeois (ชื่อลุยส์เหมือนกันด้วย) ซึ่งมีความหมายถึงสายใยที่ถูกทักทอระหว่างแม่กับลูกสาว เมื่อครั้งที่แม่ของลุยส์ทำงานเป็นช่างเย็บผ้า และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดูเป็นภาพที่กลับกันกับ Arrival
ในเวลาต่อมาระหว่างที่เราดูหนังเราก็นึกไปว่ารูปร่างของเอเลี่ยน เหมือนมือ ที่มีเจ็ดนิ้ว มีข้อมือ (Wrist) ข้อมือด้านซ้ายชื่อ Costello ข้อมือขวาชื่อ Abbott ถ้าสังเกตจะพบว่าก่อนที่ลุยส์จะขึ้นไปทำภารกิจบน Shell มือขวาเธอจะกระตุก และจากเหตุการณ์ที่มีทหารอเมริกันหวั่นวิตกกับสถานการณ์ความโกลาหนบนโลก ถูกปลุกปั่นด้วยช่องทีวี พวกเขาวางแผนเอาระเบิดไปจุดใน Shell ส่งผลให้ Abbott มือขวาที่พยายามจะเตือนลุยส์และเอียนว่ามีระเบิด ในขณะที่ Costello หนีไปก่อน
สัญลักษณ์ของมือ นิ้วมือยังถูกใช้ในตอนภาพระหว่างลุยส์เล่นกับลูก ฉากที่ลุยส์ยกมือขึ้นมาสองข้างและกรายนิ้วมือ ระหว่างที่ลูกสาวในชุดม้าเล่นในสวนหญ้า ฉากลูกสาวเล่นข้างทะเลสาบใช้มือสองข้างหยิบหิน ฉากขาข้างซ้ายของลูกสาวพยายามจะใส่รองเท้าบูท หรือฉากลูกสาวเอากิ่งไม้จุ่มลงไปในทะเลสาบ ทั้งหมดทนี้ทำให้นึกถึงนิ้วมือ หรือมือ ที่อาจมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเอเลี่ยนที่เหมือนมือ
Shell ตอนแรกเราคิดถึง Monolith ใน 2001: A Space Odyssey (1968) ยิ่งฉากที่เอียนแตะ Shell ยิ่งทำให้นึกถึง และอยากที่เราเคยเขียนไว้ว่ามันคล้ายกับการ ลักษณะของ Shell รูปร่างเหมือนกับ The Creation of Adam ของ Michelangelo เป็นภาพที่เขียนจากพระคัมภีร์ไบเบิลจากพระธรรมปฐมกาล เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรกที่เป็นอาดัม
หลังจากที่พระเจ้าสร้างโลกเป็นเวลาเจ็ดวัน (เลขเจ็ดเท่ากับจำนวนขาของ heptapod และนิ้วเล็กๆ ของมันอีกเจ็ดแฉก) อาดัมและอีฟในสวนเอเดน พวกเขาฝ่าฝืนกฎของพระเจ้าที่ห้ามกินแอปเปิ้ลในสวน แสดงถึงความของการอิสรภาพของมนุษย์ ยอมที่จะไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพระเจ้า แต่ก็แลกมาด้วยบาป และอุปสรรคที่พระเจ้าคอยกลั่นแกล้งเสมอมา โดยเฉพาะอาณัติในหนังสือปฐมกาล หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในสมัยของโนอาห์ มนุษย์มีภาษาเดียวที่พูดสื่อสารกันได้ทั้งโลก พวกเขาร่วมมือกันสร้างหอคอมบาเบลให้สูงเสียดฟ้า อนึ่งเพื่อสำแดงพลังความยิ่งใหญ่ของมนุษย์
พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์คิดการใหญ่เพื่อตนเอง และแล้วพระเจ้าก็บันดาลให้มนุษย์พูดภาษาต่างกัน หลังจากนั้นมนุษ์ก็ทะเลาะกันเอง โครงการสร้างบาเบลจึงเป็นอันยุติไป กลายเป็นมนุยษ์ในปัจจุบันนี้ที่พูดภาษาต่างกัน มีประเทศเป็นของตนเอง หลักฐานที่เหล่านักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าหอคอยบาเบลคือสถานที่ใดในโลกนี้ ส่วนหนึ่งคือ Etemenanki ที่สร้างพระเจ้ามาร์ดุคในยุคบาบิโลเนีย ประมาณสามพันปีที่แล้ว
เป็นสิ่งที่น่าสนใจว่าการปรากฎตัวของ Shell นับตั้งแต่การสร้างหอคอยบาเบลเมื่อสามปีที่แล้ว และพวก heptapod ให้เหตุผลว่าเขามาช่วยเหลือพวกเราให้รอดพ้นจากวิกฤต และอีกสามพันปีข้างหน้าพวกเราต้องไปช่วยเหลือพวกเขา จริงๆแล้ว heptapod หรือ shell คืออะไร ถ้าจากการเปรียบเทียบภาพ The Creation of Adam แล้ว heptapod หรือ shell อาจหมายถึงพระเจ้า แต่จากคำพูดที่ว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือของเราในอีกสามพันปี ทำให้สมมติฐานที่ว่า heptapod หรือ shell เป็นพระเจ้าน่าจะไม่จริง เพราะพระเจ้าไม่น่าจะต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราต่างหากที่ตัดสินใจไม่อยู่อยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์นับจากอาดัมและอีฟ เรายอมที่จะมีชีวิตอิสระและเผชิญปัญหาและแก้มันด้วยมือของเราเอง ดังนั้นฉากสัมผัส shell ของเอียนสำหรับเรามันจึงเป็นการรำลึกถึงการตัดสินใจของอาดัม มากกว่าการบอกว่า heptapod หรือ shell เป็นพระเจ้าที่ต้องการความช่วยเหลือ
ภาพการปรากฎตัวของ shell บนโลกในหนังเราไม่มีโอกาสได้เห็น ในตอนจบ ทำไม shell บินหายไปออกนอกโลก เราเห็นเพียงฉากการจางเลือนหายไปของ shell ทำให้เราคิดว่า heptapod หรือ shell อยู่บนโลกนี้อยู่แล้ว เพียงอาจอยู่กันคนละมิติของการเวลา
จาก Sapir-Whorf hypothesis ที่พูดถึงอิทธิพลภาษาที่มีต่อการรับรู้ ความคิด ทำให้มนุษย์สามารถปรับตัวเข้ากับความเป็นจริง และไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือไว้แก้ปัญหา คล้ายกับทฤษฎีทางฟิสิกส์ Fermat's principle ที่จริงๆแล้วเป็นหลักทางคณิตศาสตร์ แต่ถูกไปประยุกต์ต่อเป็น Snell's law หลักของแฟร์มาต์พูดถึงการเคลื่อนที่ของแสงผ่านตัวกลางที่ต่างกัน โดยใช้เวลาที่น้อยที่สุด (least time) ซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่าลำแสงจะเคลื่อนที่ตามเส้นทาง ที่ใช้เวลาที่น้อยที่สุด
ในทางวิทยาศาสตร์จะถือว่าภาพคือแสงที่กระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าเซลล์รับแสงในตาเรา แล้วเกิดการประมวลผลเป็นภาพ ถ้าหากแสงเดินทางจากอากาศไปสู่น้ำ แน่นอนว่าองศาการเดินทางของแสงจะเปลี่ยนไปตาม Snell's law ลองจินตนาการว่าเราดำน้ำแล้วมองขึ้นมาบนน้ำ นั่นเท่ากับว่าความจริงถูกซ้อนถึงสองชั้น คือแสงที่ต้องเดินทางผ่านน้ำ และจากน้ำผ่านเลนส์ตาเรา ในทำนองเดียวกัน หากเปลี่ยนตัวกลางที่เป็นน้ำให้เป็นภาษา และเลนส์ตาเป็นการประมวลผลภาษาที่คนแต่ละคนมีไม่เท่ากัน นั่นแปลว่า เราตกอยู่ใต้อิทธิพลของภาษา ที่ส่งผลไปถึงการรับรู้และประมวลผลภาษาที่ส่งถึงเรา (จริงๆ การเดินทางเข้าไปใน shell ผู้เดินทางต้องเดินกลับทิศกลับทางกับแรงโน้มถ่วงก่อนจะเข้าไปในห้องโถงที่มี heptapod คล้ายกับแสงที่หักเหเมื่อผ่านคนละตัวกลาง)
มีความน่าสนใจตรงที่รูปร่างของ Shell เหมือนกับเลนส์ตา และในขณะเดียวกันก็เหมือนกับก้อนหิน และในหนังเองก็มักนำเสนอให้เห็นวัตถุที่เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง เช่นกระจก ในบ้านของลุยส์ที่มองออกไปเป็นทะเลสาบ ที่ที่ภาพในอนาคตของเธอเลื่อนไหลไปมาตลอดทั้งเรื่อง และทะเลสาบเองก็มีน้ำ น้ำที่เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ของแสง และจะมีฉากที่ลูกสาวลุยส์เก็บก้อนหินริบทะเลสาบก้อนหินที่รูปร่างคล้าย Shell
ยังมีกระจกใน Shell ที่ชัดเจนมากว่ามนุษย์มองเห็น Heptapod แล้วกระบวนการประมวนผลไม่เหมือนกัน คือลุยส์และเอียน มองว่าพวกเขาเป็นมิตร และพยายามจะติดต่อเข้าใจในระบบภาษาของเขา (น่าสนใจว่าลุยส์เลือกที่จะถอดชุดกันรังสีที่มีกระจกกันดวงตาเธอ เธอถอดชุดที่มีกระจกออกก่อนที่จะสามารถสื่อสารกับ Heptapod ได้ จนทำให้พวก Heptapod พ่นหมึกภาษาออกมา และหลังจากนั้น เธอไม่ใส่ชุดนั้นอีกเลย)
ในขณะที่ทีมงานยกของ ยกกรงนกคานารี่ไว้เตือนภัย พวกเขาถูกช่องทีวีชวนเชื่อปลุกปั่น พวกเขาตีความภาพที่เห็นไม่เหมือนกับลุยส์และเอียน เขาเลยเลือกที่จะทำลาย Heptapod นี่แสดงถึงอิทธิพลของภาษาที่ในสมัยสร้างหอบาเบล มนุษย์ทะเลาะกันเพราะภาษาต่างกัน แต่ใน Arrival คือคนทะเลาะกัน ไม่เพียงเพราะ ภาษาต่างกัน แนวคิดต่างกัน (ฝ่ายซ้าย-ขวา เหมือนสัญลักษณ์มือ) แต่ในคนที่ใช้ภาษาเดียวกันก็ยังขัดแย้งกันเลย นั่นเป็นเพราะเรามีปราการแรกของแสงที่ผ่านมาคือน้ำ ในที่นี้คือภาษา และปราการที่สองคือเลนส์ตาที่ไม่ว่าใครก็มีไม่เหมือนกัน
อีกฉากที่น่าสนใจก็คือฉากที่ลุยส์ได้ขึ้นยานเล็กแบบส่วนตัว ขึ้นไปคุยกับ Costello หลังจากที่มีคนเอาระเบิดไปวางใน Shell ในฉากนั้นลุยส์พูดภาษาอังกฤษสื่อสารกับ Costello ซึ่งตอนลุยส์พูด ก็มีซับไทยแปลอีกที แล้วพอตอนที่ต่างดาวพูด มันก็มีซับที่แปลภาษาต่างดาวเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็มีซับไทยที่แปลจากซับอังกฤษอีกที ในความคิดเรา ฉากนั้นเราว่าจริงๆแล้ว ลุยส์น่าจะไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเพราะที่ผ่านมาลุยส์แทบไม่สอนในต่างดาวเข้าใจภาษาอังกฤษ ถึงใช้ก็ใช้เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าใจภาษาต่างดาว
เราจะเห็นว่าสุดท้ายแล้วลุยส์ ในฉากที่ไปคุยกับ Abbott ก่อนที่จะระเบิด ฉากนั้นลุยส์ก็ต้องใช้ภาษาเขียนของ heptapod ที่ผ่านเวลาศึกษามา แล้วอีกอย่างเธอก็น่าจะยังฟัง heptapod พูดไม่ได้ด้วย เธอน่าจะสื่อสารกับ heptapod แบบ effective ได้อย่างเดียวคือผ่านภาษาเขียน ตอนท้ายของฉากนั้นเราเห็นว่าลุยส์สัมผัสกับ Abbott ผ่านกระจกและสร้างภาษาเขียนของ heptapod ได้ ซึ่งนั่นน่าจะพออนุมานได้ว่าเธอได้มีกระบวนการแปลภาษา heptopod แล้ว เธอได้มีช่องทางในการเข้าเรียนรู้อารยธรรมของ heptapod แล้ว
ดังนั้นฉากลุยส์เข้าไปคุยกับ Costello (มียานส่วนตัวมารับ และได้คุยหลังกระจก) สำหรับเรา ณ ตอนนั้นลุยส์ไม่ได้คุยโดยภาษาอังกฤษ เพียงแต่ภาษาที่หลุยส์คุยถูกแปลมาให้คนดูที่มี “เลนส์” ของตัวเองอ่านเข้าใจ ส่วนฉากที่ลุยส์คุยโทรศัพท์กับนายพลฉางแล้วไม่มีซับ นี่ก้เป็นประเด็นที่น่าถกเถียงว่า ทำไมถึงไม่มีซับ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้หลุยส์คุยกับต่างดาวก็มีซับ
ฉากคุยโทรศัพท์กับนายพลนี่ก็น่าสนใจ เพราะเป็น controversy มากๆ หลายคนบ่นว่าฉากนี้ เป็นอะไรที่สิ้นคิดของผู้กำกับ คือ ฉากที่หลุยส์เพิ่งสมาธิเพื่อระลึกถึงภาพที่เธอเจอกับนายพลที่งานเลี้ยง และดูเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงสหประชาชาติ วันที่สมาคมโลกมาถึงจุดสันติภาพ ทุกชาติร่วมมือกันธำรงความสามัคคี ราวกับมีภาษาเป็นหนึ่งแบบสมัยสร้างบาเบล ในวันนั้นธงชาติในงานมีรูปธงของ heptopod ด้วย แล้วฉากนั้นทั้งคู่คุยภาษาอังกฤษ (หรือว่าสุดท้ายแล้วภาษาอังกฤษเป็นภาษาของโลกนี้) แต่ตอนคุยโทรศัพท์กลับคุยเป็นภาษาจีน แล้วอีกอย่างคือ ตอนจบของหนัง heptapod ก็หายไป ไม่ได้สร้างความร่วมมือกับมนุษย์ แล้วทำไมงานในวันนั้นถึงมีธงชาติของ heptopod