!SPOILER ALERT!
.
.
.
.
.
Evelyn Abbott แม่ที่เสียลูกชายคนเล็กไป ทำให้เรานึกถึง Maria ใน The Mirror (1975) หนังที่เหมือนเป็นกระจกสะท้อนชีวิตวัยเด็กของทาร์คอฟสกี้ เพราะทรงผม ใบหน้า การแต่งตัว และบ้านในสวน มาเรีย ต้องอาศัยอยู่กับลูกสองคนในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่รัสเซีย ในระหว่างที่สามีเธอทิ้งครอบครัวอาสาสมัครไปเป็นทหาร ซึ่งคล้ายกับบางฉากของเอเวอลีน เธอถูกทิ้งให้อยู่บ้าน หรือมักมีช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญกับปีศาจเพียงลำพัง อย่างตอนจะคลอดลูกและถูกตะปูตำ หรือตื่นขึ้นมาพบว่าน้ำกำลังจะท่วมห้องใต้ดิน
Krasinski เคยบอกว่านอกจากหนังเรื่องนี้จะเล่าถึงความเป็นพ่อแม่แล้ว เขายังกล่าวถึงบรรยากาศการเมืองของสหรัฐในปี 2018 ว่า “ผมคิดว่าสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ คุณจะปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่สนใจมันก็ได้นะ หรือในทางตรงกันข้ามคุณจะเข้าร่วมกับกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ก็ได้เช่นกัน” นั่นเองมันจึงทำให้เอเลี่ยนคล้ายแมงมุมในเรื่องนี้ ที่เซนซิทีฟกับเสียงของมนุษย์ มันจะทำลายทุกอย่างที่สร้างเสียง เอเลี่ยนเป็นตัวแทนของอะไรที่มากกว่าสัตว์ประหลาดในหนังสยองขวัญทั่วๆไป
ฉากเริ่มเรื่องคือโบ น้องชายคนเล็กเขาบอกว่าการที่เราจะมีความสุขได้คือออกไปจากโลกนี้โดยใช้จรวดอวกาศ ในระหว่างที่แม่เธอหายาให้พี่ชายของเขา มันเป็นการเปิดตัวโลกในอนาคตที่ไม่อาจมีเสียงอะไรได้ ต้องสื่อสารด้วยภาษาใบ้ ไม่อาจสวดมนต์ให้พระเจ้าฟังได้ การใช้ภาษาใบ้ก็ถูกใช้เพียงจำเป็น พอมนุษย์ทุกคนถูกบังคับให้มาใช้ภาษาใหม่ มันก็ไม่ได้เท่ากับว่าพวกเขาจะได้สื่อสารกันเหมือนปกติ อย่างฉากบนโต๊ะอาหาร มันก็เงียบงัน ทั้งๆที่พวกเขาจะใช้ภาษาใบ้พูดกันอย่างครื้นเครงก็ได้
ต่างจากเรแกน เธอหูหนวกแต่กำเนิด จากจุดที่เป็นปมของเธอ เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้จึงบังคับทุกคนให้เข้าสู่โลกของเธอ การใช้ภาษาใบ้ในการสื่อสาร ความตายของโบมันเป็นสิ่งตกข้างในใจเธอยาวนาน เธอคิดว่าพ่อไม่ชอบเธอ แต่พ่อของเธอก็แสดงความรักความเป็นห่วงลูกไม่เก่ง เขาพยายามทำอุปกรณ์ ช่วยฟังให้ลูกสาว ที่มันไม่เคยสำเร็จ จนเธอท้อ
ในโลกที่การมีปากมีเสียงเท่ากับความตาย ลี เขาก็ไม่อยากให้ลูกสาวไปเสี่ยงชีวิต ออกไปหาปลาเหมือนน้องชาย ทั้งที่เธอต้องการออกไปจากเซฟโซนของเธออย่างมาก ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าทำไมพ่อของเธอจึงทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับการที่พ่อเธอไม่ให้เธอลงไปชั้นใต้ดิน เขาอาจกลัวว่าเธอจะเห็นอุปกรณ์ซ่อมเครื่องช่วยฟัง
หรือจริงๆมันคือการที่ลีมองว่าเพศหญิงไม่ควรต้องไปเสี่ยงภยันตราย ควรจะอยู่กับบ้านทำกับข้าว ตากผ้า คลอดลูก รอเพศชายมาช่วย มันเป็นการทำให้สถานะเพศหญิงถูกจำกัดอยู่แต่ในภาพพจน์ของเพศหญิง (stereotype) ส่วนเพศชายก็ถูกนำเสนอในภาพของผู้นำ หาอาหาร จัดการความวุ่นวาย เสียสละให้กับครอบครัว
ความงดงามของฉากสุดท้ายคือเมื่อเพศชายถูกกำจัด คือพ่อตาย มาร์คัสไปอุ้มน้องชายคนเล็ก (ซึ่งถ้าจะตอกย้ำภาพซ้ำของเพศหญิงคือเรแกนจะมาดูแลน้อง) คนที่ลุกมาปกป้องครอบครัวคือเพศหญิงเอเวอลีนและเรแกน มาร์คัสเองก็เป็นเพศชายที่ไม่ได้เป็น stereotype ของเพศชาย เขาไม่กล้าออกไปเจอเอเลี่ยน เขาพึงพอใจจะนั่งเรียนเลขในยุ้งฉางตอนบ่ายกับแม่
เอเวอลีน เธอเองก็บอกให้ลูกชายออกไปเรียนรู้ “บทเรียนผู้ชาย” เพื่อจะได้มาดูแลแม่ตอนแก่ นั่นแสดงถึงว่าเธอก็มีแนวคิดผลิตซ้ำภาพจำของเพศในยุคเก่า แต่ฉากจบของเรื่องมันก็ได้ทลายกำแพงเพศทิ้ง เธอไม่ได้เป็นเพศหญิงที่อยู่แต่บ้าน ทำอาหารอย่างเดียว เธอลุกขึ้นมาจับปืน และยิ่งแม่นเสียด้วย
ลี ถึงแม้ว่าเขาจะรักลูกสาว พยายามทำให้ลูกสาวได้ยินเหมือนกับ "คนปกติ" เท่ากับว่าเขาพยายามจะมอบหูให้กับเธอ แต่เขากลับไม่ให้ปาก หรือเสียงของเธอ เขาไม่ยอมให้เธอได้มีสิทธิมีเสียงเท่ากับน้องชายในการออกไปเผชิญโลกนอกบ้าน กังวลว่าลูกสาวจะเป็นอันตราย ความรักของพ่อ
สิ่งที่พ่อเข้าใจว่าดีมันจึงไม่จำเป็นว่าจะเท่ากับว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีของลูก มันน่าสนใจอยู่เหมือนกันว่าเอเลี่ยน อันเป็นตัวแทนของสิ่งที่มีอำนาจในการปิดปากทุกคนแล้ว เพศชายเองในเรื่องก็ยังมีอำนาจในการปิดปากเพศหญิงซ้อนทับเข้าไปอีก
A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง มันจึงจบด้วยความหวัง ไม่ใช่เพียงความหวังว่ามนุษย์จะมีสิทธิมีเสียงพูด แต่ยังรวมไปถึงบรรยากาศของยุคสมัยใหม่ที่เท่าเทียมกันของเพศ อย่างไรก็ตามความหมายมันก็ยังจำกัดในหมู่ heterosexual และภาพซ้ำของครอบครัวในอุดมคติ
ปล.
เพิ่งรู้ว่า John Krasinski (ผู้กำกับ) กับ Emily Blunt เป็นสามีภรรยากัน และแสดงเป็นคู่รักกัน ในชีวิตจริงพวกเขาก็มีลูกกันแล้วสองคน
เพิ่งรู้ว่า Millicent Simmonds นักแสดงเด็กรับบทเป็น Regan Abbott พี่สาวหูหนวก จริงๆเธอเป็นนักแสดงหูหนวกโดยดังจากเรื่อง Wonderstruck (2017) ของ Todd Haynes
A Quiet Place (John Krasinski, 90 min, 2018)
.
.
.
.
.
Evelyn Abbott แม่ที่เสียลูกชายคนเล็กไป ทำให้เรานึกถึง Maria ใน The Mirror (1975) หนังที่เหมือนเป็นกระจกสะท้อนชีวิตวัยเด็กของทาร์คอฟสกี้ เพราะทรงผม ใบหน้า การแต่งตัว และบ้านในสวน มาเรีย ต้องอาศัยอยู่กับลูกสองคนในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่รัสเซีย ในระหว่างที่สามีเธอทิ้งครอบครัวอาสาสมัครไปเป็นทหาร ซึ่งคล้ายกับบางฉากของเอเวอลีน เธอถูกทิ้งให้อยู่บ้าน หรือมักมีช่วงเวลาที่เธอต้องเผชิญกับปีศาจเพียงลำพัง อย่างตอนจะคลอดลูกและถูกตะปูตำ หรือตื่นขึ้นมาพบว่าน้ำกำลังจะท่วมห้องใต้ดิน
Krasinski เคยบอกว่านอกจากหนังเรื่องนี้จะเล่าถึงความเป็นพ่อแม่แล้ว เขายังกล่าวถึงบรรยากาศการเมืองของสหรัฐในปี 2018 ว่า “ผมคิดว่าสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ คุณจะปิดหูปิดตา ทำเป็นไม่สนใจมันก็ได้นะ หรือในทางตรงกันข้ามคุณจะเข้าร่วมกับกิจกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ก็ได้เช่นกัน” นั่นเองมันจึงทำให้เอเลี่ยนคล้ายแมงมุมในเรื่องนี้ ที่เซนซิทีฟกับเสียงของมนุษย์ มันจะทำลายทุกอย่างที่สร้างเสียง เอเลี่ยนเป็นตัวแทนของอะไรที่มากกว่าสัตว์ประหลาดในหนังสยองขวัญทั่วๆไป
ฉากเริ่มเรื่องคือโบ น้องชายคนเล็กเขาบอกว่าการที่เราจะมีความสุขได้คือออกไปจากโลกนี้โดยใช้จรวดอวกาศ ในระหว่างที่แม่เธอหายาให้พี่ชายของเขา มันเป็นการเปิดตัวโลกในอนาคตที่ไม่อาจมีเสียงอะไรได้ ต้องสื่อสารด้วยภาษาใบ้ ไม่อาจสวดมนต์ให้พระเจ้าฟังได้ การใช้ภาษาใบ้ก็ถูกใช้เพียงจำเป็น พอมนุษย์ทุกคนถูกบังคับให้มาใช้ภาษาใหม่ มันก็ไม่ได้เท่ากับว่าพวกเขาจะได้สื่อสารกันเหมือนปกติ อย่างฉากบนโต๊ะอาหาร มันก็เงียบงัน ทั้งๆที่พวกเขาจะใช้ภาษาใบ้พูดกันอย่างครื้นเครงก็ได้
ต่างจากเรแกน เธอหูหนวกแต่กำเนิด จากจุดที่เป็นปมของเธอ เหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้จึงบังคับทุกคนให้เข้าสู่โลกของเธอ การใช้ภาษาใบ้ในการสื่อสาร ความตายของโบมันเป็นสิ่งตกข้างในใจเธอยาวนาน เธอคิดว่าพ่อไม่ชอบเธอ แต่พ่อของเธอก็แสดงความรักความเป็นห่วงลูกไม่เก่ง เขาพยายามทำอุปกรณ์ ช่วยฟังให้ลูกสาว ที่มันไม่เคยสำเร็จ จนเธอท้อ
ในโลกที่การมีปากมีเสียงเท่ากับความตาย ลี เขาก็ไม่อยากให้ลูกสาวไปเสี่ยงชีวิต ออกไปหาปลาเหมือนน้องชาย ทั้งที่เธอต้องการออกไปจากเซฟโซนของเธออย่างมาก ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าทำไมพ่อของเธอจึงทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับการที่พ่อเธอไม่ให้เธอลงไปชั้นใต้ดิน เขาอาจกลัวว่าเธอจะเห็นอุปกรณ์ซ่อมเครื่องช่วยฟัง
หรือจริงๆมันคือการที่ลีมองว่าเพศหญิงไม่ควรต้องไปเสี่ยงภยันตราย ควรจะอยู่กับบ้านทำกับข้าว ตากผ้า คลอดลูก รอเพศชายมาช่วย มันเป็นการทำให้สถานะเพศหญิงถูกจำกัดอยู่แต่ในภาพพจน์ของเพศหญิง (stereotype) ส่วนเพศชายก็ถูกนำเสนอในภาพของผู้นำ หาอาหาร จัดการความวุ่นวาย เสียสละให้กับครอบครัว
ความงดงามของฉากสุดท้ายคือเมื่อเพศชายถูกกำจัด คือพ่อตาย มาร์คัสไปอุ้มน้องชายคนเล็ก (ซึ่งถ้าจะตอกย้ำภาพซ้ำของเพศหญิงคือเรแกนจะมาดูแลน้อง) คนที่ลุกมาปกป้องครอบครัวคือเพศหญิงเอเวอลีนและเรแกน มาร์คัสเองก็เป็นเพศชายที่ไม่ได้เป็น stereotype ของเพศชาย เขาไม่กล้าออกไปเจอเอเลี่ยน เขาพึงพอใจจะนั่งเรียนเลขในยุ้งฉางตอนบ่ายกับแม่
เอเวอลีน เธอเองก็บอกให้ลูกชายออกไปเรียนรู้ “บทเรียนผู้ชาย” เพื่อจะได้มาดูแลแม่ตอนแก่ นั่นแสดงถึงว่าเธอก็มีแนวคิดผลิตซ้ำภาพจำของเพศในยุคเก่า แต่ฉากจบของเรื่องมันก็ได้ทลายกำแพงเพศทิ้ง เธอไม่ได้เป็นเพศหญิงที่อยู่แต่บ้าน ทำอาหารอย่างเดียว เธอลุกขึ้นมาจับปืน และยิ่งแม่นเสียด้วย
ลี ถึงแม้ว่าเขาจะรักลูกสาว พยายามทำให้ลูกสาวได้ยินเหมือนกับ "คนปกติ" เท่ากับว่าเขาพยายามจะมอบหูให้กับเธอ แต่เขากลับไม่ให้ปาก หรือเสียงของเธอ เขาไม่ยอมให้เธอได้มีสิทธิมีเสียงเท่ากับน้องชายในการออกไปเผชิญโลกนอกบ้าน กังวลว่าลูกสาวจะเป็นอันตราย ความรักของพ่อ
สิ่งที่พ่อเข้าใจว่าดีมันจึงไม่จำเป็นว่าจะเท่ากับว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีของลูก มันน่าสนใจอยู่เหมือนกันว่าเอเลี่ยน อันเป็นตัวแทนของสิ่งที่มีอำนาจในการปิดปากทุกคนแล้ว เพศชายเองในเรื่องก็ยังมีอำนาจในการปิดปากเพศหญิงซ้อนทับเข้าไปอีก
A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง มันจึงจบด้วยความหวัง ไม่ใช่เพียงความหวังว่ามนุษย์จะมีสิทธิมีเสียงพูด แต่ยังรวมไปถึงบรรยากาศของยุคสมัยใหม่ที่เท่าเทียมกันของเพศ อย่างไรก็ตามความหมายมันก็ยังจำกัดในหมู่ heterosexual และภาพซ้ำของครอบครัวในอุดมคติ
ปล.
เพิ่งรู้ว่า John Krasinski (ผู้กำกับ) กับ Emily Blunt เป็นสามีภรรยากัน และแสดงเป็นคู่รักกัน ในชีวิตจริงพวกเขาก็มีลูกกันแล้วสองคน
เพิ่งรู้ว่า Millicent Simmonds นักแสดงเด็กรับบทเป็น Regan Abbott พี่สาวหูหนวก จริงๆเธอเป็นนักแสดงหูหนวกโดยดังจากเรื่อง Wonderstruck (2017) ของ Todd Haynes