การทำประกันชีวิตนั้น หลายๆคนมักจะมีคำถามว่าเราควรจะเลือกแบบไหนดี ????
อย่างแรกควรทราบก่อนว่าประกันชีวิตนั้นมีส่วนของสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติมค่ะ
แล้วมันต่างกันอย่างไร ????
สัญญาหลัก
มีกำหนดการชำระเบี้ยต่อเนื่องชัดเจนระบุในสัญญา ระบุจำนวนปีที่ได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องในสัญญา
เช่น ชำระเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 10 ปี เป็นต้นค่ะ
เบี้ยของสัญญาหลักจะคงที่ โดยคิดจากอายุที่ทำประกันครั้งแรก คงที่ไปตลอดสัญญา
ให้ความคุ้มครองต่อชีวิตคนซื้อ(ผู้เอาประกัน) ทุกประเภทของสัญญาหลัก จะมีเงินตอบแทนระหว่างปีหรือไม่ก็ได้
ผู้เอาประกันสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
สัญญาเพิ่มเติม
สัญญานี้ซื้อเพิ่มเติมในสัญญาหลัก ให้ความคุ้มครองที่หลากหลาย เช่น
ประกันสุขภาพ คุ้มครองทั้งกรณีผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน(นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป)
ประกันค่าชดเชยรายวันกรณีเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง
ประกันอุบัติเหตุ
เหล่านี้เป็นต้น
โดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาที่คิดปีต่อปี หมายความว่าสัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดทางค่ะ
การปรับเปลี่ยนไม่กระทบกับสัญญาหลักค่ะ
ปีนี้ซื้อ ปีหน้าไม่ซื้อ ซื้อน้อยลง ซื้อมากขึ้น เหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าเราไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงกับทางบริษัท ก็จะมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติค่ะ
เบี้ยประกันเป็นเบี้ยสูญทิ้งเปล่า ไม่มีการสะสมในมูลค่ากรมธรรม์แต่อย่างใด
ผู้เอาประกันไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ค่ะ (แต่ถ้าซื้อให้พ่อแม่แล้วลดหย่อนอันนั้นอีกเรื่องนะคะ)
สัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้มีเงื่อนไขพิเศษเฉพาะในสัญญา เช่น เบี้ยเพิ่มขึ้น หรือข้อกำหนดว่าซื้อได้ถึงอายุเท่าไร
สิ่งเหล่านี้ต้องสอบถามจากบริษัทหรือตัวแทนค่ะ
ในกรณีของประกันชีวิตถ้าต้องการซื้อสัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้ ต้องซื้อสัญญาหลักก่อนค่ะ
แล้วค่อยเลือกซื้อสัญญาเพิ่มเติมเข้าไปประกอบเพื่อให้ได้ครบตามความต้องการของลูกค้าค่ะ
กล่าวถึงการยกเลิกสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติมเสียหน่อยเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นค่ะ
การยกเลิกสัญญาหลักเลือกได้ดังนี้ค่ะ
1.เวนคืน
2.ขยายเวลา
3.ใช้มูลค่าเงินสำเร็จ
(รายละเอียดแต่ละตัวจะมาเล่าให้ฟังโอกาสหน้านะคะ) ทั้ง 3 ข้อมีผลกระทบกับสัญญาหลักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ทุนประกัน มูลค่าเวนคืน เป็นต้น
การยกเลิกสัญญาเพิ่มเติม
ทำได้เลย ไม่มีผลกระทบกับสัญญาหลัก
หรือซื้อเพิ่มระหว่างทางได้เลยค่ะ
ทีนี้เรามาดูกันว่าสัญญาหลักล่ะ เราควรซื้อแบบไหน
สัญญาหลักมีเป็นประเภทดังนี้ (ไม่กล่าวถึงแบบบำนาญนะคะ)
1.แบบชั่วระยะเวลา จะจ่ายเงินแก่ผู้รับผลประโยชน์เมื่อ
ผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญาเท่านั้น
ถ้าผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบสัญญาจะไม่มีเงินคืน ไม่มีการออมเกิดขึ้นในแบบประกันนี้
เป็นแบบที่เบี้ยประกันน้อยที่สุดต่อทุนประกันเท่ากัน เหมาะสำหรับ สร้างหลักประกันให้คนข้างหลัง คุ้มครองภาระสินเชื่อ
เช่น มีภาระผ่อนบ้าน 10 ล้าน กังวลว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับผู้ผ่อนชำระ
สามารถซื้อเพื่อคุ้มครองภาระหนี้สินได้ค่ะ และเนื่องจากเบี้ยไม่สูงมากจึงไม่เป็นภาระจนเกินไปค่ะ แต่สัญญาจะไม่ได้ยาวมากนักค่ะ
ประกันแบบนี้สังเกตได้ง่ายคือ ครบสัญญาจะไม่มีเงินคืนนะคะ อายุสัญญาไม่ยาวมากค่ะ อาจจะประมาณ 10, 15 หรือ 20 ปีเป็นต้นค่ะ
2.แบบสะสมทรัพย์ หรือแบบออมทรัพย์ที่เราเรียกๆกันค่ะ
มีการจ่ายเงินเมื่อผู้เอาประกันอยู่ครบสัญญา
หรือ
จ่ายเงินแก่ผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญา
ประกันแบบนี้สัญญาจะไม่ยาวมากค่ะ สูงสุดอาจจะประมาณ 25 ปีค่ะ อาจมีหรือไม่มีเงินคืนระหว่างปีก็ได้ค่ะ
แบบนี้จะได้ทุนประกันชีวิตน้อยที่สุดใน 3 แบบที่กล่าวถึงค่ะ
สามารถเลือกซื้อสำหรับการลดหย่อนภาษีได้ค่ะ เช่น แบบ 10/1 ทั้งหลายที่เป็นที่นิยมซื้อมาใช้ลดหย่อนค่ะ
3.แบบตลอดชีพ คล้ายกับการเอาแบบที่ 1 และ 2 รวมกันค่ะ คือเน้นความคุ้มครองและสร้างหลักประกันให้คนข้างหลังเป็นหลักค่ะ (ส่วนนี้เหมือนแบบที่ 1) แต่เมื่อครบสัญญามีเงินคืนแก่ผู้เอาประกันค่ะ ในสัญญามีการออมเกิดขึ้น (ส่วนนี้เหมือนแบบที่ 2)
แบบนี้จะได้ทุนชีวิตคุ้มครองมากกว่าแบบที่ 2 ค่ะ แต่ครบสัญญาก็ได้เงินคืนทำให้ต่างจากแบบที่ 1 ค่ะ
ข้อสังเกตของสัญญาประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะครบสัญญาเมื่ออายุ 85 หรือ 90 หรือ 99 ปีค่ะ
ไม่เหมาะจะซื้อเพื่อออมเงินค่ะ เพราะสัญญายาวมาก กว่าจะได้รับเงินคืนก็ 80 – 90 ปี นานไปค่ะ
สามารถเลือกซื้อไว้ประกอบกับการซื้อสัญญาเพิ่มเติมค่ะ เพราะสัญญายาวที่สุด ชำระเบี้ยสัญญาหลักจนครบ
ก็ยังสามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมได้ค่ะ ภาพนี้จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจจะซื้อแบบไหน กับบริษัทไหน อย่างไร เป็นการตัดสินใจของลูกค้านะคะ
การแนะนำด้านบนเป็นการแนะนำแบบภาพกว้างๆค่ะ
แต่ว่าแต่ละคนอาจจะมีรายละเอียดและความต้องการที่แตกต่างกัน
สามารถนำความรู้นี้ไปปรับให้เหมาะกับตนเองได้ค่ะ
หรือหากว่าใครมีข้อแนะนำอื่นๆ comment กันนะคะ หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจะหน้าไมค์หรือหลังไมค์ก็ยินดีค่ะ
หากผิดพลาดประการใดขอน้อมรับไว้ปรับปรุงค่ะ
ถ้าจะมีประกันสักฉบับ ควรจะเลือกอย่างไรดี
อย่างแรกควรทราบก่อนว่าประกันชีวิตนั้นมีส่วนของสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติมค่ะ
แล้วมันต่างกันอย่างไร ????
สัญญาหลัก
มีกำหนดการชำระเบี้ยต่อเนื่องชัดเจนระบุในสัญญา ระบุจำนวนปีที่ได้รับความคุ้มครองต่อเนื่องในสัญญา
เช่น ชำระเบี้ย 5 ปี คุ้มครอง 10 ปี เป็นต้นค่ะ
เบี้ยของสัญญาหลักจะคงที่ โดยคิดจากอายุที่ทำประกันครั้งแรก คงที่ไปตลอดสัญญา
ให้ความคุ้มครองต่อชีวิตคนซื้อ(ผู้เอาประกัน) ทุกประเภทของสัญญาหลัก จะมีเงินตอบแทนระหว่างปีหรือไม่ก็ได้
ผู้เอาประกันสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
สัญญาเพิ่มเติม
สัญญานี้ซื้อเพิ่มเติมในสัญญาหลัก ให้ความคุ้มครองที่หลากหลาย เช่น
ประกันสุขภาพ คุ้มครองทั้งกรณีผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน(นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป)
ประกันค่าชดเชยรายวันกรณีเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
ประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง
ประกันอุบัติเหตุ
เหล่านี้เป็นต้น
โดยปกติแล้วจะเป็นสัญญาที่คิดปีต่อปี หมายความว่าสัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดทางค่ะ
การปรับเปลี่ยนไม่กระทบกับสัญญาหลักค่ะ
ปีนี้ซื้อ ปีหน้าไม่ซื้อ ซื้อน้อยลง ซื้อมากขึ้น เหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าเราไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงกับทางบริษัท ก็จะมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติค่ะ
เบี้ยประกันเป็นเบี้ยสูญทิ้งเปล่า ไม่มีการสะสมในมูลค่ากรมธรรม์แต่อย่างใด
ผู้เอาประกันไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ค่ะ (แต่ถ้าซื้อให้พ่อแม่แล้วลดหย่อนอันนั้นอีกเรื่องนะคะ)
สัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้มีเงื่อนไขพิเศษเฉพาะในสัญญา เช่น เบี้ยเพิ่มขึ้น หรือข้อกำหนดว่าซื้อได้ถึงอายุเท่าไร
สิ่งเหล่านี้ต้องสอบถามจากบริษัทหรือตัวแทนค่ะ
ในกรณีของประกันชีวิตถ้าต้องการซื้อสัญญาเพิ่มเติมเหล่านี้ ต้องซื้อสัญญาหลักก่อนค่ะ
แล้วค่อยเลือกซื้อสัญญาเพิ่มเติมเข้าไปประกอบเพื่อให้ได้ครบตามความต้องการของลูกค้าค่ะ
กล่าวถึงการยกเลิกสัญญาหลักและสัญญาเพิ่มเติมเสียหน่อยเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นค่ะ
การยกเลิกสัญญาหลักเลือกได้ดังนี้ค่ะ
1.เวนคืน
2.ขยายเวลา
3.ใช้มูลค่าเงินสำเร็จ
(รายละเอียดแต่ละตัวจะมาเล่าให้ฟังโอกาสหน้านะคะ) ทั้ง 3 ข้อมีผลกระทบกับสัญญาหลักทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ทุนประกัน มูลค่าเวนคืน เป็นต้น
การยกเลิกสัญญาเพิ่มเติม
ทำได้เลย ไม่มีผลกระทบกับสัญญาหลัก
หรือซื้อเพิ่มระหว่างทางได้เลยค่ะ
ทีนี้เรามาดูกันว่าสัญญาหลักล่ะ เราควรซื้อแบบไหน
สัญญาหลักมีเป็นประเภทดังนี้ (ไม่กล่าวถึงแบบบำนาญนะคะ)
1.แบบชั่วระยะเวลา จะจ่ายเงินแก่ผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญาเท่านั้น
ถ้าผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบสัญญาจะไม่มีเงินคืน ไม่มีการออมเกิดขึ้นในแบบประกันนี้
เป็นแบบที่เบี้ยประกันน้อยที่สุดต่อทุนประกันเท่ากัน เหมาะสำหรับ สร้างหลักประกันให้คนข้างหลัง คุ้มครองภาระสินเชื่อ
เช่น มีภาระผ่อนบ้าน 10 ล้าน กังวลว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับผู้ผ่อนชำระ
สามารถซื้อเพื่อคุ้มครองภาระหนี้สินได้ค่ะ และเนื่องจากเบี้ยไม่สูงมากจึงไม่เป็นภาระจนเกินไปค่ะ แต่สัญญาจะไม่ได้ยาวมากนักค่ะ
ประกันแบบนี้สังเกตได้ง่ายคือ ครบสัญญาจะไม่มีเงินคืนนะคะ อายุสัญญาไม่ยาวมากค่ะ อาจจะประมาณ 10, 15 หรือ 20 ปีเป็นต้นค่ะ
2.แบบสะสมทรัพย์ หรือแบบออมทรัพย์ที่เราเรียกๆกันค่ะ มีการจ่ายเงินเมื่อผู้เอาประกันอยู่ครบสัญญา
หรือจ่ายเงินแก่ผู้รับผลประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญา
ประกันแบบนี้สัญญาจะไม่ยาวมากค่ะ สูงสุดอาจจะประมาณ 25 ปีค่ะ อาจมีหรือไม่มีเงินคืนระหว่างปีก็ได้ค่ะ
แบบนี้จะได้ทุนประกันชีวิตน้อยที่สุดใน 3 แบบที่กล่าวถึงค่ะ
สามารถเลือกซื้อสำหรับการลดหย่อนภาษีได้ค่ะ เช่น แบบ 10/1 ทั้งหลายที่เป็นที่นิยมซื้อมาใช้ลดหย่อนค่ะ
3.แบบตลอดชีพ คล้ายกับการเอาแบบที่ 1 และ 2 รวมกันค่ะ คือเน้นความคุ้มครองและสร้างหลักประกันให้คนข้างหลังเป็นหลักค่ะ (ส่วนนี้เหมือนแบบที่ 1) แต่เมื่อครบสัญญามีเงินคืนแก่ผู้เอาประกันค่ะ ในสัญญามีการออมเกิดขึ้น (ส่วนนี้เหมือนแบบที่ 2)
แบบนี้จะได้ทุนชีวิตคุ้มครองมากกว่าแบบที่ 2 ค่ะ แต่ครบสัญญาก็ได้เงินคืนทำให้ต่างจากแบบที่ 1 ค่ะ
ข้อสังเกตของสัญญาประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะครบสัญญาเมื่ออายุ 85 หรือ 90 หรือ 99 ปีค่ะ
ไม่เหมาะจะซื้อเพื่อออมเงินค่ะ เพราะสัญญายาวมาก กว่าจะได้รับเงินคืนก็ 80 – 90 ปี นานไปค่ะ
สามารถเลือกซื้อไว้ประกอบกับการซื้อสัญญาเพิ่มเติมค่ะ เพราะสัญญายาวที่สุด ชำระเบี้ยสัญญาหลักจนครบ
ก็ยังสามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมได้ค่ะ ภาพนี้จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจจะซื้อแบบไหน กับบริษัทไหน อย่างไร เป็นการตัดสินใจของลูกค้านะคะ
การแนะนำด้านบนเป็นการแนะนำแบบภาพกว้างๆค่ะ
แต่ว่าแต่ละคนอาจจะมีรายละเอียดและความต้องการที่แตกต่างกัน
สามารถนำความรู้นี้ไปปรับให้เหมาะกับตนเองได้ค่ะ
หรือหากว่าใครมีข้อแนะนำอื่นๆ comment กันนะคะ หรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจะหน้าไมค์หรือหลังไมค์ก็ยินดีค่ะ
หากผิดพลาดประการใดขอน้อมรับไว้ปรับปรุงค่ะ