La La Land (2016) | A
(เปิดเผยเนื้อหาเล็กน้อย)
เชื่อว่าใครๆต่างก็มีความฝันเป็นของตัวเองครับ แต่มันอยู่ที่ว่าเราได้ดิ้นรนคว้าความฝันเหล่านั้นเอาไว้หรือไม่ หลายคนปล่อยความฝันให้หลุดมือไป แล้วคนเหล่านั้นเขาฝันไกลแต่ไม่ลงมือทำ หรือฝันเกินจะทำแม้จะลงมือกันแน่? ถึงความสมหวังจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการผลักดันความฝันของแต่ละคนให้ไปถึงจุดที่ต้องการของชีวิต แต่ในขณะเดียวกันความผิดหวังก็ทำให้เราเจ็บปวดจนยอมทิ้งฝันนั้นมาแล้วไม่ใช่น้อย
แต่หากวันใดความผิดหวังท้อแท้ไม่อาจทำอะไรเราได้ วันนั้นแหล่ะครับเราจะพาความฝันที่แบกมาทั้งชีวิตไปยังจุดหมายได้ และก่อนที่ความผิดหวังจะทำอะไรเราไม่ได้เราอาจมีแรกผลักดันที่เป็นมากกว่าความสมหวัง บางทีสิ่งนั้นอาจจะเป็น "ความรัก" ก็ได้ครับ
La La Land นำประเด็นเล่านี้มาเล่าเรื่อง ผสมผสานกับความเป็นมิวสิคัลของหนังยุคคลาสสิค ทำให้นครดาราเรื่องนี้สามารถเนรมิตโลกของคนช่างฝัน 2 คนให้ออกมาอยู่ในความสมดุลย์ระหว่าง "ความสมจริง" และ "ความเกินจริง" ได้แบบลงตัวและงดงามเสียเหลือเกิน
หนังเรื่องนี้พูดถึงสาวสวยช่างฝันพนักงานร้านกาแฟอย่าง มีอา ที่โชคชะตานำพาเธอให้มาพบกับ เซบาสเตียน หนุ่มนักเปียโนช่างฝันผู้แบกความฝันมาไม่น้อยหน้ามีอา ความฝันของเธอและเขาสองคนจะลงเอยในรูปแบบไหน ถ้าบ้านท่านยังมีรอบอยู่ขอเชิญให้ไปพบกับความงดงามนี้ในหนังครับ
นับตั้งแต่ Force Awakens ผมจำได้แม่นยำแล้วว่าไม่เคยมีหนังโรงเรื่องไหนส่งความสุขให้ผมได้เท่านี้มาก่อนจนกระทั่งการมาของ 'นครดารา' เรื่องนี้นี่เอง ที่สามารถนำความสุขเหล่านั้นกลับนั้นมาให้ผมอีกครั้ง La La Land ไม่เพียงแต่นำความสุขมามอบให้ผมเพียงอย่างเดียว เพราะในความสุขเหล่านั้นเต็มไปด้วยความทึ่งอยู่มากมิใช่น้อย แค่ฉากเปิดเรื่องก็ทำเอาผมทึ่งในความตั้งใจของทีมงานแล้วครับ สวยงามจับใจจริงๆ
ความชวนทึ่งยังไม่หมดแค่นั้น สำหรับทุกๆฉากที่ตัวละครมีการร้องรำทำเพลงก็เช่นกัน ผมถึงกับต้องร้องอื้อหือ อ้าหา ในหัวกันเลยทีเดียวครับทั้งเพลงที่แต่งมาดี เสียงนักร้องที่ฟังไพเราะ ลำดับภาพ การจัดแสง ใช้แสง,เล่นกับแสง หรือการเลือกโลเคชั่น และการถ่ายภาพที่เป็นลองเทค มันสามารถเนรมิตความเป็นมิวสิคัลในแบบยุค 50-60s ให้ออกมาอยู่บนยุคปัจจุบันได้แบบสวยงามไร้ที่ติ ถ้าหนังได้ออสก้าร์สาขา Best Picture ผมคงไม่แปลกใจอะไร
และอย่างที่บอกครับว่าเพลงเขาแต่งมาได้แบบไร้ที่ติมากๆ ความหมายและทำนองในเพลง มันช่วยเติมเต็มความหมายและความฝันของสิ่งที่หนังกำลังสื่ออยู่ออกมาได้ดีกว่าเดิม หลายๆท่านอาจยกให้ City of Stars คือเดอะเบส แต่สำหรับผมแล้วผมชอบเพลง Another Day of Sun มากกว่าครับ
จะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็ดูสนุกในแบบของมันนะครับ ความงดงามของหนังและความสวยงามของการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมมันสามารถสะกดให้คนดูไม่อาจละสายตาออกจากหนังได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งได้แอร์เย็นๆของโรงหนังมาประกอบไปแล้ว มันช่างมีความสุขเสียเหลือเกินในยามที่ได้ดู ถึงแม้หนังจะพาเราฝ่าฟันไปจนพบกับบทสรุปที่แสนจะเจ็บจี๊ด และเจ็บปวดก็ตามที แต่ถึงกระนั้นในความเจ็บปวดที่ผกก.มอบให้คนดู มันก็ยังมีตวามสวยงามอยู่บ้าง
ตัวหนังพูดถึงความฝันของคนช่างฝันอย่างมีอาและเซบาสเตียน กับประเด็นที่ว่าความฝันไม่ได้คว้ามาง่ายๆขนาดนั้น แต่ละคนกว่าจะมาประสบความสำเร็จมาได้แบบทุกวันนี้เขาผ่านอะไรมาเยอะแยะครับ ต้องดิ้นรน ต้องท้อแท้ ต้องสิ้นหวังมากี่ครั้ง กว่าความฝันจะเป็นจริงแบบทุกวันนี้ กับตัวละครมีอาก็เช่นกัน เธอผิดหวัง เธอท้อแท้ เธอพยามมากี่ครั้งความฝันเธอก็ยังไม่เป็นจริงซักที จนกระทั่งเธอถูกเติมเต็มโดยเซบาสเตียนครับ ต่างคนต่างก็มีความฝัน แชร์ความฝันซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้พัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่จนเกิดเป็นสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า 'ความรัก'
ความรักไม่เพียงแต่มอบความสุขให้ซึ่งกันและกันของทั้งคู่แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้มีอาและเซบาสเตียนก้าวไปข้างหน้าตามฝันที่ตัวเองวางไว้ ทุกๆครั้งที่ทั้งคู่มองหน้ากัน ทุกๆครั้งที่ทั้งคู่ให้กำลังใจกัน มันเปรียบเสมือนแรงจูงใจชั้นดีในการทำให้ทั้งคู่ก้าวหน้าต่อไป ฉะนั้นแล้วใครว่าความรักมันทำให้คนตาบอดหล่ะครับ มีแต่รักแบบปลอมๆเท่านั้นแหล่ะ ความรักมันเป็นเหมือนเชื้อไฟในชีวิตครับ ยิ่งเรามีมันเยอะเท่าไหร่ เราแค่มองหน้าคนๆนั้นมันก็ฮึกเฮิมอยากทำอะไรซักอย่างเพื่อให้คนนั้นมีความสุขแล้วครับ เหมือนดั่งเซบาสเตียนที่อยากก้าวไปตามทางฝันเพื่ออยากให้มีอามีความสุขที่เห็นตัวเองสมหวัง
ความฝันมันไม่ใช่สิ่งนำมาล้อเล่นกัน แม้บางคนจะฝันเฟ้อฝันเฟื่อง แต่หนทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เปรียบดั่งเพลง another day of sun นั่นล่ะครับที่บอกเราว่าแม้หน้าผาจะสูงเท่าไหร่เราก็ต้องลองปีนขึ้นไปให้ถึง ความฝันก็เช่นกัน ถ้าเราไม่หัดลอง ไม่หันปีน สุดท้ายแล้วชาตินี้มันจะขึ้นไปถึงไหม ทุกความฝันล้วนมีหน้าผาใหญ่ๆกั้นไว้เสมอ คนฝันเฟื่องหรือไม่มีความสามารถในสิ่งที่ฝันนั้นมักจะโดนดูถูกโดยคนรอบข้างเสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ลองเปลี่ยนจากคำสบประมาทมาเป็นคำให้กำลังใจดู เหมือนที่มีอากับเซบาสเตีนนทำ ไม่แน่ว่าคนๆนั้นอาจจะทำตามฝันที่วางไว้สำเร็จก็เป็นได้นะครับ
แต่ทำเยอะไม่ใช่ว่าจะได้มาซึ่งความฝัน ในขณะที่บางคนเดินตามฝันได้สำเร็จก็มีหมู่คนไม่น้อยที่พลาดพลั้ง และผิดหวังท้อแท้จนหมดกำลังใจ แต่ในเมื่อหน้าผานั้นมันยังไม่ถล่มลงมา เราก็ปีนขึ้นไปได้อีก แต่อะไรจะทำให้คนเหล่านั้นลองปีนขึ้นไปอีกครั้งล่ะ? คำตอบเดิมๆครับ 'กำลังใจ' เวลามีคนผิดหวังอย่าไปซ้ำเติมมันครับ ให้กำลังใจดีกว่าไหมล่ะ "ลองอีกสิ ลองอีกสิ เองต้องทำได้แน่" เซบาสเตียนก็บอกมีอาแบบนี้ครับ ในเรื่องมีอานกบ่อยกะตายชัก แต่เพราะกำลังใจจากเซบาสเตียนแท้ๆเธอจึงเดินหน้าต่อไปได้
ประสบความสำเร็จทางลัดมันไม่มีอยู่จริงครับ คนพวกนี้ประสบความสำเร็จได้แค่ซักพักเท่านั้นแหล่ะ สักวันก็จะร่วงหล่นลงมาเอง เห็นไหมครับว่าสถานการ์ณต่างๆในเรื่องมันช่างเรียลจริงๆ บทสรุปนั้นก็เช่นกัน
เคมีคู่พระนางเข้ากันสุดๆครับ Ryan Gosling กับ Emma Stone เกินมาเพื่อคู่กันจริงๆ กิ่งทองใบหยกชัดๆครับ เราสมารถอิน เราสามารถเข้าใจความสัมพันธ์และความรักของทั้งคู่ได้แบบไม่ยากเย็นนัก ถึงคราวมีความสุขคนดูก็ยิ้ม ถึงคราวทุกข์ก็ชวนเศร้าใจ ถึงคราวเจ็บปวดคนดูก็จี๊ดใจสุดๆ ทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นจากการแสดงอันสุดทรงพลังของเอมม่า สโตน ล้วนๆครับ ผมอาจไม่ได้มองว่าไรอันแสดงดีเท่าไหร่ แต่สำหรับการแสดงของเอมม่าเธอทรงพลังขนานแท้ครับ อินเนอร์ อารมณ์มาเต็ม ปกติแค่หน้าตาอันหวานแหว๋วของเธอมันก็สะกดใจคนดูได้แล้ว มาเจอสุดยอดการแสดงแบบนี้ โฮะๆๆๆๆๆๆ ผมเข้าใจ ผมรับรู้ และมีความรู้สึกร่วมกับตัวละครได้ดีสุดๆ
เอาเป็นว่าถ้าผมเป็นกรรมการออสก้าร์ปีนี้ผมคงเลือกลำบากโครตๆแหล่ะครับว่าจะให้ใครชนะระหว่าง 'เอมม่า' หรือว่า 'เอมี่' ขอคาราวะครับ ชาบูๆๆๆ
IMDb: 8.8/10
Roger Ebert: 3.5/4
Duk Skywalkee: A (9.5/10)
จากสกอร์ของแต่ละสำนักในนี้แล้ว เอาเป็นว่า 'ถ้าบ้านท่านยังมีรอบ ผมอวยอย่างแรงครับให้ไปดู' ไปดูซะๆๆๆๆๆๆๆ ไปดูเดี๋ยวนี้เลยนะโว๊ยยยย!
แต่ทั้งหมดทั้งมวลถ้าชอบผลงานการเขียนนี้ก็อย่าลืมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพจหนังเล็กๆยอดไลค์หลักพันอย่าง 'กูไม่กินป๊อปคอร์น' ด้วยครับ
https://m.facebook.com/profile.php?id=894162834026906
La La Land (9.5/10) คิดว่าความฝันคว้ามาง่ายๆขนาดนั้นเลยหรือ?
(เปิดเผยเนื้อหาเล็กน้อย)
เชื่อว่าใครๆต่างก็มีความฝันเป็นของตัวเองครับ แต่มันอยู่ที่ว่าเราได้ดิ้นรนคว้าความฝันเหล่านั้นเอาไว้หรือไม่ หลายคนปล่อยความฝันให้หลุดมือไป แล้วคนเหล่านั้นเขาฝันไกลแต่ไม่ลงมือทำ หรือฝันเกินจะทำแม้จะลงมือกันแน่? ถึงความสมหวังจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการผลักดันความฝันของแต่ละคนให้ไปถึงจุดที่ต้องการของชีวิต แต่ในขณะเดียวกันความผิดหวังก็ทำให้เราเจ็บปวดจนยอมทิ้งฝันนั้นมาแล้วไม่ใช่น้อย
แต่หากวันใดความผิดหวังท้อแท้ไม่อาจทำอะไรเราได้ วันนั้นแหล่ะครับเราจะพาความฝันที่แบกมาทั้งชีวิตไปยังจุดหมายได้ และก่อนที่ความผิดหวังจะทำอะไรเราไม่ได้เราอาจมีแรกผลักดันที่เป็นมากกว่าความสมหวัง บางทีสิ่งนั้นอาจจะเป็น "ความรัก" ก็ได้ครับ
La La Land นำประเด็นเล่านี้มาเล่าเรื่อง ผสมผสานกับความเป็นมิวสิคัลของหนังยุคคลาสสิค ทำให้นครดาราเรื่องนี้สามารถเนรมิตโลกของคนช่างฝัน 2 คนให้ออกมาอยู่ในความสมดุลย์ระหว่าง "ความสมจริง" และ "ความเกินจริง" ได้แบบลงตัวและงดงามเสียเหลือเกิน
หนังเรื่องนี้พูดถึงสาวสวยช่างฝันพนักงานร้านกาแฟอย่าง มีอา ที่โชคชะตานำพาเธอให้มาพบกับ เซบาสเตียน หนุ่มนักเปียโนช่างฝันผู้แบกความฝันมาไม่น้อยหน้ามีอา ความฝันของเธอและเขาสองคนจะลงเอยในรูปแบบไหน ถ้าบ้านท่านยังมีรอบอยู่ขอเชิญให้ไปพบกับความงดงามนี้ในหนังครับ
นับตั้งแต่ Force Awakens ผมจำได้แม่นยำแล้วว่าไม่เคยมีหนังโรงเรื่องไหนส่งความสุขให้ผมได้เท่านี้มาก่อนจนกระทั่งการมาของ 'นครดารา' เรื่องนี้นี่เอง ที่สามารถนำความสุขเหล่านั้นกลับนั้นมาให้ผมอีกครั้ง La La Land ไม่เพียงแต่นำความสุขมามอบให้ผมเพียงอย่างเดียว เพราะในความสุขเหล่านั้นเต็มไปด้วยความทึ่งอยู่มากมิใช่น้อย แค่ฉากเปิดเรื่องก็ทำเอาผมทึ่งในความตั้งใจของทีมงานแล้วครับ สวยงามจับใจจริงๆ
ความชวนทึ่งยังไม่หมดแค่นั้น สำหรับทุกๆฉากที่ตัวละครมีการร้องรำทำเพลงก็เช่นกัน ผมถึงกับต้องร้องอื้อหือ อ้าหา ในหัวกันเลยทีเดียวครับทั้งเพลงที่แต่งมาดี เสียงนักร้องที่ฟังไพเราะ ลำดับภาพ การจัดแสง ใช้แสง,เล่นกับแสง หรือการเลือกโลเคชั่น และการถ่ายภาพที่เป็นลองเทค มันสามารถเนรมิตความเป็นมิวสิคัลในแบบยุค 50-60s ให้ออกมาอยู่บนยุคปัจจุบันได้แบบสวยงามไร้ที่ติ ถ้าหนังได้ออสก้าร์สาขา Best Picture ผมคงไม่แปลกใจอะไร
และอย่างที่บอกครับว่าเพลงเขาแต่งมาได้แบบไร้ที่ติมากๆ ความหมายและทำนองในเพลง มันช่วยเติมเต็มความหมายและความฝันของสิ่งที่หนังกำลังสื่ออยู่ออกมาได้ดีกว่าเดิม หลายๆท่านอาจยกให้ City of Stars คือเดอะเบส แต่สำหรับผมแล้วผมชอบเพลง Another Day of Sun มากกว่าครับ
จะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็ดูสนุกในแบบของมันนะครับ ความงดงามของหนังและความสวยงามของการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมมันสามารถสะกดให้คนดูไม่อาจละสายตาออกจากหนังได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งได้แอร์เย็นๆของโรงหนังมาประกอบไปแล้ว มันช่างมีความสุขเสียเหลือเกินในยามที่ได้ดู ถึงแม้หนังจะพาเราฝ่าฟันไปจนพบกับบทสรุปที่แสนจะเจ็บจี๊ด และเจ็บปวดก็ตามที แต่ถึงกระนั้นในความเจ็บปวดที่ผกก.มอบให้คนดู มันก็ยังมีตวามสวยงามอยู่บ้าง
ตัวหนังพูดถึงความฝันของคนช่างฝันอย่างมีอาและเซบาสเตียน กับประเด็นที่ว่าความฝันไม่ได้คว้ามาง่ายๆขนาดนั้น แต่ละคนกว่าจะมาประสบความสำเร็จมาได้แบบทุกวันนี้เขาผ่านอะไรมาเยอะแยะครับ ต้องดิ้นรน ต้องท้อแท้ ต้องสิ้นหวังมากี่ครั้ง กว่าความฝันจะเป็นจริงแบบทุกวันนี้ กับตัวละครมีอาก็เช่นกัน เธอผิดหวัง เธอท้อแท้ เธอพยามมากี่ครั้งความฝันเธอก็ยังไม่เป็นจริงซักที จนกระทั่งเธอถูกเติมเต็มโดยเซบาสเตียนครับ ต่างคนต่างก็มีความฝัน แชร์ความฝันซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้พัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่จนเกิดเป็นสิ่งเล็กๆที่เรียกว่า 'ความรัก'
ความรักไม่เพียงแต่มอบความสุขให้ซึ่งกันและกันของทั้งคู่แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้มีอาและเซบาสเตียนก้าวไปข้างหน้าตามฝันที่ตัวเองวางไว้ ทุกๆครั้งที่ทั้งคู่มองหน้ากัน ทุกๆครั้งที่ทั้งคู่ให้กำลังใจกัน มันเปรียบเสมือนแรงจูงใจชั้นดีในการทำให้ทั้งคู่ก้าวหน้าต่อไป ฉะนั้นแล้วใครว่าความรักมันทำให้คนตาบอดหล่ะครับ มีแต่รักแบบปลอมๆเท่านั้นแหล่ะ ความรักมันเป็นเหมือนเชื้อไฟในชีวิตครับ ยิ่งเรามีมันเยอะเท่าไหร่ เราแค่มองหน้าคนๆนั้นมันก็ฮึกเฮิมอยากทำอะไรซักอย่างเพื่อให้คนนั้นมีความสุขแล้วครับ เหมือนดั่งเซบาสเตียนที่อยากก้าวไปตามทางฝันเพื่ออยากให้มีอามีความสุขที่เห็นตัวเองสมหวัง
ความฝันมันไม่ใช่สิ่งนำมาล้อเล่นกัน แม้บางคนจะฝันเฟ้อฝันเฟื่อง แต่หนทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เปรียบดั่งเพลง another day of sun นั่นล่ะครับที่บอกเราว่าแม้หน้าผาจะสูงเท่าไหร่เราก็ต้องลองปีนขึ้นไปให้ถึง ความฝันก็เช่นกัน ถ้าเราไม่หัดลอง ไม่หันปีน สุดท้ายแล้วชาตินี้มันจะขึ้นไปถึงไหม ทุกความฝันล้วนมีหน้าผาใหญ่ๆกั้นไว้เสมอ คนฝันเฟื่องหรือไม่มีความสามารถในสิ่งที่ฝันนั้นมักจะโดนดูถูกโดยคนรอบข้างเสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ลองเปลี่ยนจากคำสบประมาทมาเป็นคำให้กำลังใจดู เหมือนที่มีอากับเซบาสเตีนนทำ ไม่แน่ว่าคนๆนั้นอาจจะทำตามฝันที่วางไว้สำเร็จก็เป็นได้นะครับ
แต่ทำเยอะไม่ใช่ว่าจะได้มาซึ่งความฝัน ในขณะที่บางคนเดินตามฝันได้สำเร็จก็มีหมู่คนไม่น้อยที่พลาดพลั้ง และผิดหวังท้อแท้จนหมดกำลังใจ แต่ในเมื่อหน้าผานั้นมันยังไม่ถล่มลงมา เราก็ปีนขึ้นไปได้อีก แต่อะไรจะทำให้คนเหล่านั้นลองปีนขึ้นไปอีกครั้งล่ะ? คำตอบเดิมๆครับ 'กำลังใจ' เวลามีคนผิดหวังอย่าไปซ้ำเติมมันครับ ให้กำลังใจดีกว่าไหมล่ะ "ลองอีกสิ ลองอีกสิ เองต้องทำได้แน่" เซบาสเตียนก็บอกมีอาแบบนี้ครับ ในเรื่องมีอานกบ่อยกะตายชัก แต่เพราะกำลังใจจากเซบาสเตียนแท้ๆเธอจึงเดินหน้าต่อไปได้
ประสบความสำเร็จทางลัดมันไม่มีอยู่จริงครับ คนพวกนี้ประสบความสำเร็จได้แค่ซักพักเท่านั้นแหล่ะ สักวันก็จะร่วงหล่นลงมาเอง เห็นไหมครับว่าสถานการ์ณต่างๆในเรื่องมันช่างเรียลจริงๆ บทสรุปนั้นก็เช่นกัน
เคมีคู่พระนางเข้ากันสุดๆครับ Ryan Gosling กับ Emma Stone เกินมาเพื่อคู่กันจริงๆ กิ่งทองใบหยกชัดๆครับ เราสมารถอิน เราสามารถเข้าใจความสัมพันธ์และความรักของทั้งคู่ได้แบบไม่ยากเย็นนัก ถึงคราวมีความสุขคนดูก็ยิ้ม ถึงคราวทุกข์ก็ชวนเศร้าใจ ถึงคราวเจ็บปวดคนดูก็จี๊ดใจสุดๆ ทั้งหมดเหล่านี้เกิดขึ้นจากการแสดงอันสุดทรงพลังของเอมม่า สโตน ล้วนๆครับ ผมอาจไม่ได้มองว่าไรอันแสดงดีเท่าไหร่ แต่สำหรับการแสดงของเอมม่าเธอทรงพลังขนานแท้ครับ อินเนอร์ อารมณ์มาเต็ม ปกติแค่หน้าตาอันหวานแหว๋วของเธอมันก็สะกดใจคนดูได้แล้ว มาเจอสุดยอดการแสดงแบบนี้ โฮะๆๆๆๆๆๆ ผมเข้าใจ ผมรับรู้ และมีความรู้สึกร่วมกับตัวละครได้ดีสุดๆ
เอาเป็นว่าถ้าผมเป็นกรรมการออสก้าร์ปีนี้ผมคงเลือกลำบากโครตๆแหล่ะครับว่าจะให้ใครชนะระหว่าง 'เอมม่า' หรือว่า 'เอมี่' ขอคาราวะครับ ชาบูๆๆๆ
IMDb: 8.8/10
Roger Ebert: 3.5/4
Duk Skywalkee: A (9.5/10)
จากสกอร์ของแต่ละสำนักในนี้แล้ว เอาเป็นว่า 'ถ้าบ้านท่านยังมีรอบ ผมอวยอย่างแรงครับให้ไปดู' ไปดูซะๆๆๆๆๆๆๆ ไปดูเดี๋ยวนี้เลยนะโว๊ยยยย!
แต่ทั้งหมดทั้งมวลถ้าชอบผลงานการเขียนนี้ก็อย่าลืมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพจหนังเล็กๆยอดไลค์หลักพันอย่าง 'กูไม่กินป๊อปคอร์น' ด้วยครับ https://m.facebook.com/profile.php?id=894162834026906