I Hate You I Love You EP.5 : ราคาที่ซอลต้องจ่าย


By มัตสึโกะ และ มาร์ตี้ แม็คฟราย

ดำเนินถึงบทสุดท้ายเสียที สำหรับซีรีส์ที่สร้างกระแสคาดเดาถึงเรื่องราวไปต่าง ๆ นานา ในรูปแบบซับซ้อนและซ่อนเงื่อน ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในซีรีส์ของไทย ที่สุดท้ายแล้วเราจะรู้ถึงบทสรุปเสียที ว่าเรื่องราวจะไปจบที่ตรงไหน และผลก็ออกมาตามที่หลายคนคาดเดากัน แบบไม่พลิกโผจนได้


หญิงสาวที่เพิ่งรู้ปัญหาครอบครัวตัวเอง
หลัก ๆแล้ว สิ่งที่เรารู้มากขึ้นใน Ep. สุดท้าย ก็คงไม่ใช่ปริศนาอะไรเพิ่มเติมจากที่เราอยู่กันอยู่แล้ว แต่ที่เรารู้เพิ่มเติม คือมุมมองของซอลในการเห็นและรับรู้ปัญหาของครอบครัวตัวเองเสียมากกว่า ซึ่งจุดนี้สำคัญตรงที่ว่ามันส่งผลต่อความรู้สึกของคนดูที่มีต่อซอล (ที่จากไม่ชอบอาจเปลี่ยนเป็นเห็นใจ) เมื่อเราได้รับรู้มูลเหตุของการกระทำนั้นมากขึ้นจากฉากไม่กี่ฉากที่เพิ่มขึ้นมา

หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงกล้าก่อเหตุนั้น เราได้ทราบผ่านซีรีส์แล้วในฉากที่ซอลกลับบ้านมาพบว่าแม่ของตนน่าสงสาร ความสัมพันธ์ในครอบครัวกำลังแย่ (ในฉากโดนว่าเรื่องซื้อแอปเปิ้ลผิด) เพราะฉะนั้นความกล้าของซอลมันจึงเข็มแข็งอยู่แล้วจากฉากนั้น (กล้าที่จะปกป้องครอบครัว) ฉากนั้นเป็นฉากที่สำคัญมาก เพราะเป็นฉากที่เปลี่ยนความคิดภายในตัวเองมากที่สุด

โดยส่วนตัวชอบฉากนี้เป็นพิเศษเพราะมันได้ให้แง่คิดอะไรบางอย่างกับคนดูและชวนให้นึกถึงบทพูดในหนังเรื่อง Suicide Club (2002) ของผู้กำกับ ซิออน โซโนะ ว่า “คุณสัมพันธ์กับภรรยายังไง คุณสัมพันธ์กับลูกยังไง คุณสัมพันธ์กับตัวคุณยังไง” เพราะเป็นฉากที่ซอลเพิ่งจะได้สังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ ทำให้เข้าใจแม่จริง ๆว่าทำไมถึงนอกใจพ่อ (ซึ่งไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่แม่ทำแต่เข้าใจถึงสาเหตุ) ฉากนี้เลยชวนตั้งคำถามกับตัวซอลว่า แล้วที่ผ่านมาทำไมไม่สังเกต? ทั้งที่กอด หอมแก้ม แสดงความรักต่างๆ นา ๆ กับครอบครัว แต่กลับไม่เคยเข้าใจความรู้สึกจริง ๆของพ่อกับแม่เลย นอกจากนั้นประเด็นนี้ยังชวนย้อนมาตั้งคำถามกับคุณดูอีกว่า แล้วเราล่ะ เคยสังเกตคนในครอบครัวของเราบ้างรึเปล่า และอย่าให้มันสายเกินไปจนต้องมาคอยแก้ปัญหาเพื่อพยายามรักษามันเหมือนกับตัวละครซอล


เสียงประกอบน่าตื่นเต้นแต่ชวนรำคาญ
ใน Ep. นี้เราจะสังเกตได้ชัดเจนว่ามีการใช้เสียงประกอบที่เยอะและมากกว่า Ep. อื่น ๆ มากนัก จริง ๆ แล้วทางด้านการใช้เสียงประกอบในหนังหรือในซีรีส์ เป็นสิ่งที่คนตัดต่อในนาดาว (หรืออาจเหมารวมถึง GDH ด้วย) มักจะถนัดเป็นพิเศษอยู่แล้ว ซึ่งกับใน EP.นี้ก็นับว่าน่าสนใจ ใช้เสียงที่บิวด์คนดูอย่างได้ผล แต่ปัญหาคือมันเหมาะสมกับแค่บางฉากเท่านั้นที่สมควรจะโหมโรงหนัก ๆ อัดเข้าไป
เพราะใส่มาก ๆ เข้า มันกลายเป็นน่ารำคาญ เพราะกับบางฉากนั้นไม่มีอะไร และไม่มีเหตุผลใดที่จะใช้เสียงประกอบเพื่อบิวด์คนดูขนาดนั้น หรือนี่อาจเป็นผลมาจากการที่คนทำตั้งใจ เพราะรูปแบบของมันถูกฉายแบบออนไลน์ จึงต้องการเร้าคนดูเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้หนีจากจอไปสนใจอย่างอื่น ซึ่งมันน่าเศร้าที่ต้องแลกกัน


วิธีการเล่าเรื่องในมุมมองของซอล
จะสังเกตได้ว่า ด้วยเหตุการณ์ซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่เราได้เห็นผ่านมุมมองของคนอื่นใน EP. ก่อน ๆมา 4 ครั้งแล้ว เมื่อเราเห็นบ่อย มันจะเกิดความซ้ำและน่าเบื่อ ทางผู้กำกับและทีมเขียนบทดูเหมือนจะรู้ปัญหานี้ดี จึงคิดหาวิธีการทำเสนอที่แปลกใหม่มากขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือมุมกล้อง ที่มีความแปลกใหม่ และใช้มุมกล้องการเล่าเรื่องที่ไม่ซ้ำกับมุมเดิมจาก Ep. ก่อน ๆ ทำให้เรื่องราวที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า แม้เราจะเห็นมาก่อนแล้ว แต่มุมกล้องแบบใหม่ก็สามารถสร้าง ”ความรู้สึกใหม่” ได้ไม่มากก็น้อย

และอีกจุดหนึ่งคือเหมือนทีมเขียนบทจะรู้ว่าคนดูต้องการจะเห็นอะไรและไม่ต้องการจะเห็นอะไรใน Ep. สุดท้าย เราจึงได้เห็นการเล่าเรื่องที่รวดเร็วมาก แทบจะไม่เสียเวลาในการปูเรื่องราวเดิม ๆ ที่คนดูเคยเห็นมาก่อนหน้านี้เลย (เพราะรู้หมดแล้วจากมุมมองคนอื่น) และแน่นอนเพื่อให้เวลากับสิ่งที่คนดูต้องการเห็นอย่างเต็มที่ ก็คือปริศนาต่อไป หรือถ้าไม่มี ก็คือฉากการฆาตกรรม


ฉากที่ทุกคนรอคอย
หลังจากเดินเรื่องผ่านการเล่าเรื่องและการตัดต่อสลับแบบอย่างรวดเร็วในช่วงปูเรื่อง มาเรื่องดำเนินมาถึงวันก่อเหตุซีรีส์ก็เริ่มผ่อนจังหวะให้ช้าลง และให้เวลากับซีนที่ทุกคนอย่างเห็นอย่างเต็มที่ (Ep. นี้ความยาวประมาณ 74 นาที และหนังให้เวลากับฉากฆาตกรรมจนจบเรื่องไปเกือบ 40 นาที) ซึ่งจุดนี้ต้องชื่นชมวิธีการกำกับที่ไม่รีบและพยายามเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด ทั้งการแสดง สีหน้าแววตา ความตึงเครียดและสภาพของสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งสามารถทำได้ดีเสียด้วย ด้วยจังหวะและความตึงเครียดตลอดในฉากนั้น แม้เราจะรู้อยู่แล้วว่าจะจบอย่างไร แต่ระหว่างทางกลับสามารถดึงสมาธิเราได้ตลอด และมันทำให้โชว์ฝีมือการแสดงของ ศนันธฉัตร ธนพัฒน์พิศาล ที่นับว่าดีเกิดคาด เพราะนี่เป็นโชว์การแสดงแบบ One Man Show อย่างแท้จริง ที่ต้องแสดงอารมณ์ที่สื่อทั้งความกล้า เด็ดเดี่ยว แต่ก็หวาดกลัวและลังเลใจ สิ่งนี้เธอทำให้เรารู้สึกได้ทั้งหมด


ราคาที่ซอลต้องจ่าย
ในฉากจบแววตาของซอลสามารถสื่อความหมายได้หลายแบบเหลือเกิน ส่วนตัวคิดว่ามันสามารถคิดได้สองแง่คือ การฆาตกรรมอาจมีอีกครั้งและเหยื่อรายต่อไปของซอลอาจเป็น ไอ่ ที่กลายเป็นผู้เดียวที่รู้ความจริงทั้งหมดว่าซอลทำอะไร หรือในอีกแง่ก็จะเป็นไปตามที่ทุกคนคิด คืออนาคตของซอลที่จะต้องจมอยู่กับคนที่ไม่ได้รักโดยมีความลับเป็นตัวประกันไปตลอดชีวิต และอาจจะเป็นแบบนี้ตลอดไป

ในเมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี การกระทำส่งผลถึงบางอย่างเสมอ และทุกอย่างอาจมีราคาของมัน ..
นี่ก็คงเป็นราคาที่ซอลต้องจ่าย .

ขอบคุณรูปจาก Fanpage FB : hateloveseries

หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์และซีรีส์ได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่