[แชร์ประสบการณ์]WWOOF in Taiwan เดินทาง 2 พันไมล์ไปปลูกแครอท

สวัสดีค่ะ  ^^  ช่วงปิดเทอมของพวกเราที่ผ่านมานี้ได้มีโอกาสไป WWOOF ที่ประเทศไต้หวัน น้อยคนมากที่จะพูดถึงการทำ WWOOF ที่นี่ เพราะไม่ฮอตฮิตเท่าประเทศญี่ปุ่น พวกเราเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์สายสุขภาพทั่วไป ไม่มีความรู้เรื่องฟาร์ม
ไม่เคยมีเล็บมือที่สกปรกติดขี้ดิน วันๆมัวแต่ท่องหนังสือ ปิดเทอมทั้งทีอยากลองใช้ชีวิตอีกในอีกมุมนึงที่เราไม่เคยสัมผัสบ้าง
กระทู้นี้พวกเราจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ได้พบเจอ รวมถึงวิธีการสมัคร WWOOF Taiwan แบบละเอียด

เริ่มกันเลย!


Organic farm in Taiwan


ขอเกริ่น ถึง WWOOF สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักแบบคร่าวๆนะคะ โครงการนี้เป็นโครงการทีให้อาสาสมัครทำงานใน Organic farm เพื่อแลกกับที่พักและอาหาร โดยเท่าที่รู้มาโครงการนี้ขอเพียงคุณอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่จำกัดเพศ,เชื้อชาติ  ไม่จำเป็นว่าจะเป็นใครมาจากไหนต่างก็ไปเป็นอาสาสมัครได้เพียงแค่ใจรัก ในการเรียนรู้วิถีการทำ Organic farm

การมา WWOOF นั้นไม่มี Agency ทุกขั้นตอนต้องทำการสมัครเอง ติดต่อเอง 100% ค่ะ

ขั้นตอนการสมัคร
สำหรับ WWOOF แต่ละประเทศจะมีการสมัครที่แตกต่างกันออกไป ในที่นี้พวกเราขอพูดการสมัคร WWOOF Taiwan นะคะ

1.ศึกษารายละเอียดและดูข้อมูลของฟาร์มใน Preview ว่ามีที่ๆเราอยากไปหรือไม่ ซึ่ง Preview ของฟาร์มสามารถดูได้ที่
http://www.wwooftaiwan.com/en/wwoof-taiwan-hosts-preview.html#52


จะมีข้อมูลของแต่ละฟาร์มมาประมาณนี้ ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจว่ามีฟาร์มที่เราสนใจอยากไปทำหรือไม่


2. กรอกใบสมัครทาง Internet ใน website WWOOF Taiwan


3. เมื่อกรอกใบสมัครเรียบร้อยแล้ว ทำการชำระเงินค่าสมัครสมาชิกผ่านทาง Paypal เป็นจำนวน 800 NTD
   หากใครไม่สะดวกจะจ่ายเงินทาง Paypal ก็สามารถโอนเงินข้ามประเทศไปได้ค่ะ

4. ส่งอีเมลล์ไปที่ info@wwooftaiwan.com  แจ้ง
    1. Payment transfer date (วันที่ที่ได้ทำการโอนเงิน)
    2. Name of person who completed the payment transfer (ชื่อของผู้ที่ทำการโอนเงิน)
    3. ข้อมูลการโอนเงิน
        - Confirmation number หรือ เลข 5 ตัวสุดท้ายของบัญชีที่ทำการโอนเงิน
     กรณีโอนเงินระหว่างประเทศผ่านทางธนาคาร
       - Paypal account กรณีที่จ่ายเงินกับ Paypal
     4. The full name you used to register for WWOOF TAIWAN membership (ชื่อที่เขียนไว้ในใบสมัคร)


อีเมลล์ที่ส่งไปจะประกอบด้วยข้อมูลประมาณนี้


เมื่อทาง wwoof Taiwan ได้รับข้อมูลการจ่ายเงินของเราแล้ว เค้าก็จะทำการส่งหมายเลขสมาชิกของ wwoofer  และข้อมูลของ Host
มาให้ทาง E-mail ค่ะ รายละเอียดของ Host ที่เค้าส่งมาจะเป็นตามรูปด้านล่างเลยค่ะ


รายละเอียดของโฮสต์


โฮสต์ที่ทาง Wwoof Taiwan ส่งมามีเยอะมาก เป็นร้อยฟาร์มรอบไต้หวันเลยค่ะ แล้วแต่เราจะเลือกเอาเลยว่าอยากไปทำฟาร์มอะไร
ฟาร์มที่พวกเราเลือกอยู่ที่ Yilan ค่ะ ห่างจาก Taipei เพียงแค่ชั่วโมงเดียว เป็นฟาร์มที่เคลมไว้ว่าปลูกข้าว และสามารถรับ wwoofer ได้ถึง 25 คน พวกเราเห็นก็ตาวาวเลยค่ะ เพราะถ้าไปต้องเจอคนมาจากประเทศอื่นด้วย ไม่เบื่อแน่ๆ ตกลงกับเพื่อนแล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ

5. ส่ง E-mail ไปหาโฮสต์ บอกว่าพวกเราจะไปวันที่เท่าไหร่ ถึงวันที่เท่าไหร่ แล้วรอข้อความตอบกลับจากโฮสต์ ถือเป็นอันเสร็จสิ้น



การเตรียมตัว

Host ของพวกเรามีเว็ปไซต์เป็นของตัวเองให้ข้อมูลกับ WWOOFer ว่าต้องเตรียมอะไรมาบ้าง จำเป็นต้องเอาหมอนหรือผ้าห่ม
รองเท้าบู๊ท ถุงมือทำฟาร์มไปมั้ย รวมถึงวิธีการเดินทางมายัง Farm ข้อมูลที่ให้มาในเว็ปไซต์ของโฮสต์ครบถ้วนสมบูรณ์มาก
ทำให้เราไม่จำเป็นต้องส่งอีเมลล์ไปถามเลย แต่หากเพื่อนๆเลือกโฮสต์ที่ไม่ได้บอกข้อมูลอะไรมา
อย่าลืมส่ง e-mail ถามถึงสิ่งจำเป็นต่างๆและวิธีการเดินทางนะคะ จะได้เตรียมตัวจากไทยไปตั้งแต่เนิ่นๆ

พวกเราไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย พอไปถึงยันนาเพื่อนฮ่องกงที่มาก่อนเรา บอกว่าเราจำเป็นต้องใช้ถุงมือ โฮสเลยพาไปหาซื้อค่ะ



ภาษา

เรื่องภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่ไต้หวันจะมีการใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารเป็นหลัก การประชุม หรือทำงานในฟาร์มก็จะช้องแช้งๆภาษาจีนกัน อ้าว เราไม่ได้เกิดในครอบครัวคนจีนที่ใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ไม่มีพื้นฐานภาษาจีนเลยจะอยู่ได้หรือเปล่า...
ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เรากับเพื่อนมีสกิลภาษาจีนระดับ 0.5 เต็ม 10 ยังรอดมาได้ กินอิ่มทุกมื้อ แม้ว่าชาวโฮสต์จะใช้ภาษาจีนกลางซะมาก แต่ก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว เพราะฉะนั้นสื่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการมา WWOOF ที่นี่คือ
เพื่อนๆต้องสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ดีในระดับนึงค่ะ


บรรยากาศเมืองอิโตโมริ เอ้ย เมืองของเราเอง


จบเรื่องการสมัครและการเตรียมตัว
หลังจากนี้จะเป็นการแชร์ประสบการณ์ 5 วันแห่งการไป WWOOF ของพวกเราแล้วนะคะ เริ่มกันเลย


วันเดินทาง

เราเลือกเดินทางจากไทยด้วยสายการบิน Nokscoot ที่ได้มาในราคาโปรโมชั่น เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางกับ Nokscoot
วินาทีแรกที่เห็นแถว check-in คือช็อค ช็อคมาก คนต่อแถวยาวมากกกกก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้
เราเข้าแถวเช็คอินกันตั้งแต่เวลาประมาณ 5 ทุ่ม กว่าจะเช็คอินเสร็จก็เที่ยงคืนกว่าๆ มาถึงเกทพบว่า ประตูเกทยังไม่เปิด
เก้าอี้ตามทางเดินที่มีอยู่ก็น้อยนิด คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาต่างก็นั่งกันที่พื้นอันนี้ไม่โอเค ใกล้เวลาบินประตูเกทถึงเปิดให้ไปนั่งด้านในได้


เครื่องออก 2.40 น. ตรงเวลา เครื่องใหญ่นั่งสบายดีค่ะ เรากับเพื่อนโชคดีที่ไม่มีคนนั่งระหว่างกลางทำให้ยืดแข้งขาได้สบาย
เอาล่ะ ได้เวลานอนพักเอาแรงละ กำลังเคลิ้มๆ ปิ๊ง! เครื่องบินกำลังบินผ่านสภาพอากาศแปรปรวน ผ่านไปได้สักพัก ก็ปิ๊ง! ปิ๊ง! ปิ๊ง!
แล้วก็ตามมาอีกเป็นสิบปิ๊ง  โอ้โห บอกเลยว่า พวกเราแทบไม่ได้นอน สัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดมันดังทั้งคืนแบบทั้งคืน
เป็นสามชั่วโมงแห่งปิ๊งที่ทรมาณมากกกกก


จากการที่นอนไม่หลับ เลยได้เห็นภาพช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดีค่ะ สวยไปอีกแบบ
ขอบคุณสัญญาณรัดเข็มขัดที่ทำให้เห็นภาพที่งดงามเช่นนี้ ปิ๊ง!


“แก ชั้นลืมเอาบัตรนักศึกษามา จะเป็นไรป่าววะ” พูดเสร็จก็ยิ้ม

เพื่อนคะะะะะะ! แกยังมีหน้ามายิ้ม พาสปอร์ตก็เป็นพาสปอร์ตที่พึ่งไปทำใหม่มาเมื่อเดือนก่อน แต่ละหน้านี่ โอ้โห ขาวใสอย่างกับใช้โอโม่
ตอนนั้นเราโคตรกลัว กลัวเพื่อนเราต้องเข้าห้องเย็น กลัวต้องแยกกัน กลัวไปหมด ตอนเพื่อนเดินเข้าตม. เรานี่ใจเต้นตุ้บๆ
ถึงอย่างนั้นมีแต่เราที่พารานอยด์ เพื่อนเรานี่ชิลล์มาก “โหยแกอย่าเครียด”  พร้อมกับยิ้มสยาม งามอย่างไทยหวังชนะใจตม.หนุ่มตี๋
และแล้วก็สำเร็จค่ะ ไม่รู้ว่าเช้าไปตม.ยังตื่นไม่ดีหรือเขิน ไม่ถามอะไรเพื่อนเราซักคำ ตอนนั้นน้ำตาแทบไหล
รู้สึกดีใจเหมือนทักแชทผู้ชายไปแล้วเค้าตอบ


บัสเข้าเมืองไทเป



มื้อแรกในไต้หวันที่ใช้ความรู้ภาษาจีนอันน้อยนิดซื้อมาได้ค่ะ อร่อยทุกอย่างไม่แพงด้วย 2 ขวดที่เห็นเป็นชานมชื่อดังของไต้หวัน
หาซื้อได้ทุก 7-eleven และ family mart พวกเราชอบรสชาเขียวที่สุดกินกันวันละขวด ถ้าไปคือห้ามพลาด



ตั๋วรถไฟไปมืองที่โฮสเราอยู่นั่นเองค่ะ เวลาขึ้นรถไฟที่นี่ให้เก็บตั๋วไว้ตลอด ห้ามทิ้ง ห้ามอิกนอร์
เพราะเมื่อเราถึงสถานีปลายทางเค้าจะเช็คตั๋วก่อนออกทุกครั้ง ถ้าไม่มีไม่ได้ออกนะ ต้องซื้อใหม่นะ


การเดินทางในไต้หวันง่ายมาก แม้จะอ่านภาษาจีนกันไม่ออก แต่พวกเราไม่หลงเลยค่ะ  มาได้จนถึงเมืองที่โฮสต์บอก พวกเราเดินหาบ้านตามรูปที่โฮสต์ได้ให้ไว้ หาเจอไม่ยากแต่ปัญหาคือ ประตูบ้านมันล๊อค! เอายังไงล่ะทีนี้ มือถือก็ไม่มี สามจีก็ไม่ได้ซื้อ
เราจะติดต่อโฮสต์ได้ยังไง?....

โชคดีที่มีคุณลุงคนนึงขอเรียกว่าต้าเกอนะคะ  ผ่านมาเห็นพวกเรากำลังมีปัญหาอยู่กับกับประตูบ้าน
เดินเข้ามาถามว่าพวกเราเป็น ไท่กั๋วเหริน (คนไทย)ใช่มั้ย พวกเราตาวาวเลยค่ะ มีคนรู้จักพวกเราด้วย
ต้าเกอแนะนำตัวว่าเป็นคนงานของฟาร์มที่นี่ เดินนำทางพวกเราเข้าบ้านอีกฝั่งนึง ได้เจอกับผู้หญิงรุ่นแม่ ท่าทางใจดี
แนะนำตัวว่าชื่อ เอเจสาว ที่แปลว่าภรรยาของเอเจ มาต้อนรับ พาไปเก็บของและหาข้าวของที่จำเป็นมาให้



ฟาร์มในเมืองของพวกเรา



ช่วงที่พวกเราไปเป็นหน้าหนาวของไต้หวันค่ะ จริงๆอากาศมันแค่ 18-25 องศา ในห้องสอบเวลาที่คิดอะไรไม่ออกยังหนาวกว่านี้อีก
แต่คนที่นี่แต่งตัวจัดเต็มกันมาก โอ้โห นี่มาไต้หวันหรือเกาหลี โค้ท ผ้าพันคอ รองเท้าบู๊ท เต็มกันมาก เสมือนว่าอากาศติดลบ
เสมือนว่าอีกไม่นานหิมะจะตก เสมือนว่าจะได้ตกปลาในน้ำแข็ง พวกเราเพลินเพลินกับการดูแฟชั่นฤดูหนาวของคนที่นี่มาก

คืนนี้พวกเราขอผ้าห่มเอเจสาวแค่คนละผืน แต่เอเจสาวบอก ไม่ได้! หนี่เมิน(พวกเธอ)ต้องเอาไปคนละสองผืน ไม่งั้นกลางคืนซี้แหง๋ๆ  
เราก็ หรอวะ จะหนาวหรอวะ คนที่นี่เว่อกับความหนาวมาก แต่ก็นะตามมารยาทผู้ใหญ่ให้ของมาเราก็ต้องรับไว้
สรุปคือเกือบตายค่ะคืนนั้น หนาวมันหนาวมากจริงๆ


เมืองที่พวกเราไป ชอบที่นี่มากๆเป็นไต้หวันที่มีความญี่ปุ่นสูง อากาศเย็นสบาย ธรรมชาติมากๆ



บ้านพักของพวกเราเป็นบ้าน 2 หลังเล็กๆติดกัน หลังแรกใช้เป็น Farm office และเป็นที่พักสำหรับ Long-term worker ส่วนอีกหลังไว้เป็นที่พักของอาสาสมัครในฟาร์ม แน่นอนว่าพวกเราได้อยู่หลังที่ 2 ค่ะ ห้องพักของพวกเราเป็นห้องที่มีเตียง 2 ชั้นทั้งหมด 6 เตียง มีรูมเมทเป็นต้าเกอและอาสาสมัครนักศึกษาชาวฮ่องกงชื่อ ยันนา ผู้มาถึงฟาร์มเมื่อ 3 วันก่อน



บ้านพักของพวกเราเอง ยังคงมีความ Organic ประตูไม่มีปัญหาแล้ว อันนี้เปิดได้แล้ว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่