ขนจักรยานพับขึ้นรถทัวร์ข้ามจากเชียงรายมาถึงบ่อแก้ว และเริ่มปั่นวันแรกที่มีหมุดคือหลวงน้ำทา
ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/36002454
ช่วงด่านตรวจคนเข้าเมือง ผู้โดยสารทุกคนต้องลงจากรถบัสและกรอกเอกสารขาออก-ขาเข้า ส่วนชาวต่างชาติที่ต้องทำวีซ่าจะต้องทำ Visa On Arrival ที่ด่าน
ในรถบัสทั้งคันที่ข้ามมาลาวส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ยุโรป มีเรากับพี่อีคนนึงที่เป็นคนไทย ..
เห็นแกเก้ๆกังๆ เลยชวนให้ลงไป ตม. พี่แกเดินตามมา
"ช่วยกรอกให้ผมหน่อย ผมเขียนไม่ได้"
" ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ"
..........
"หา... ภาษาไทยก็ไม่ได้เหรอคะ พี่เป็นคนไทยรึเปล่าคะ"
คือไม่ได้กวนทรีนนะคะ แค่งงง
"ผมเป็นคนเชียงราย แต่ไปอยู่ไต้หวันทำธุรกิจ ผมมี 3 เชื้อชาติ ไทย-จีน-พม่า"
" หา ...พม่าด้วย !! " ตกลงพี่แกทำธุรกิจสีเทาป่าวฟระ (คิดในใจ)
สุดท่ายช่วยแกกรอกทั้งขาออก และขาเข้าจนเสร็จ
"ผมจะข้ามไปฝั่งจีน เอาของจากไทยไปขายจีน และเอาของจีนมาขาย"
"ผมไปมาหลายที่ ทั่วจีน ..เฉิงตู กวางสี อุยกูร์ ...(อื่นๆอีกมากมาย) "
"โอเค ค่ะ งั้นพี่ช่วยหาตลาดให้หน่อยนะ มีของไทยขายอ่ะ"
สรุปหาช่องทางขายของได้อีกหนึ่ง 555
หลังจากพี่แกเลี้ยงข้าวผัด กับเบียร์ลาวก็แยกย้าย เพราะแกต้องรอรถข้ามไปจีนซึ่งมีพรุ่งนี้เช้า ส่วนเราขอตัวทำตามแผนการเดิมที่จะไปหลวงน้ำทา
แต่นี่ก็บ่ายโมงครึ่งแล้ว กว่าจะได้ออกจริงๆ เกือบบ่ายสอง ก็ไปซื้อซิมลาวและแลกเงินกีบอีก 100 ดอลล่าห์
ข้ามมาฝั่งบ่อแก้ว ความรู้สึกคือเหมือนต่างจังหวัดไทย เกิน 30 ปีมาแล้ว (เกิดทันป่าว 555) เป็นบ้านไม้หลังๆต่างจังหวัด ไม่มีตึกสูงเลย ถนนเป็นเส้นสวนทางแคบๆ มีไหล่ทางนิดหน่อย แม้จะเป็นเส้นขนส่งจากจีนมาไทย การปั่นจึงต้องเป็นไปอย่างมีสติมากกก ไม่งั้นจะไม่เหลือทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
อากาศวันนี้ดีมากคือไม่ร้อนเลย มีเมฆมาก ทำให้ปั่นได้สบายๆ ปั่นไประหว่างทางมีเด็กๆลาว ทักทายว่า เฮลโหล บ๊ายบายเป็นระยะ เราต้องส่งสัญญานตอบไป เพื่อให้เค้ารู้ว่าเราได้ยินเค้าและขอบคุณเค้า เพราะเราอาจเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆในวันนี้ให้เค้าก็ได้...
ชุดเด็กนักเรียนลาวเป็นผ่าถุงผินสั้นกับเสื้อขาว ส่วนมากไว้ผมยาวรวบตึงถักเปียเรียบร้อย ผมสั้นไม่ค่อยมี ท่าทีเขินอายน่าฮัก ดีอย่างนึงของการเดินทางในลาวคือพูดอะไร สื่อสารอะไรส่วนมากจะรู้เรื่องหมด เพราะเหมือนภาษาอีสาน+เหนือบ้านเฮา
ปั่นไปหยุดไป พักไป พอมีเนินให้เหนื่อยเป็นพักๆ เป้าหมายวันนี้คือบ้านน้ำทุ่งที่ระยะทาง 50 กิโลเมตร...ระยะทางแบบนี้ปกติทำได้สบายๆไม่เกิน 4 -5 ชั่วโมง คิดว่ายังไงก็ทำได้แน่ แล้วค่อยหาที่พักที่บ้านน้ำทุ่ง อาจขอนอนกับชาวบ้านเพราะไม่มีโรงแรม ที่พัก เกสท์ฮาส์เลย
สองข้างทางเป็นทุ่งนามีภูเขาเป็นฉากหลัง บางช่วงเป็นไร่กล้วยบ้าง ข้าวโพดบ้าง...ปั่นมาจนเหนื่อยและเริ่มท้อ หยุดพักนิดนึงเห็นมีรถอีแต๋นผ่านมาเลยโบกและตะโกนถาม “ไปด้วยได้รึเปล่า”
“ทำไมจะไม่ได้ ได้สิพี่..พี่จะไปไหนล่ะ”
“หลวงน้ำทา แต่ไม่ถึงหรอกแค่บ้านน้ำทุ่งวันนี้”
“ผมไปแค่ช้างหน้านี้นะ พี่ติดไปก็ได้ จะไปเอาไม้ เดี๋ยวพี่ลงข้างหน้า”
เสร็จเลยเบาแรงไปอีก 10 กิโล
จุดที่หนุ่มอีแต๋นลาวมาส่งก็ประมาณ 4 โมงเย็น..
“พี่รอตรงนี้ละกัน เผื่อมีรถทัวร์ผ่านจะได้โบกไป”
ถึงตอนนี้คิดไว้ว่าถ้ามีรถทัวร์ไปหลวงน้ำทาจะขึ้นไปหลวงน้ำทาเลยเพราะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นยังไง...จะไปถึงน้ำทุ่งหรือเปล่า หากมีเขาต้องข้ามเยอะ เย็นนี้คงไปไม่ทันแน่ แล้วไว้ปั่นขากลับมาจากหลวงน้ำทาถ้าทางปั่นได้
“แถวนี้มีที่พักมั้ย”
“พี่ช้ามเขาลูกนี้ไปประมาณ 4 กิโล จะมีด่านตำรวจตีนเขาด้านโน้นและมีร้านค้าที่พัก”
หลังจากขอบคุณและร่ำลาแบบให้สินน้ำใจไป
งั้นไปต่อดีกว่า จะได้ปั่นอีกหน่อย....
หารู้ไม่ว่านี่เป็นการตัดสินใจผิดครั้งสำคํญ (ก็ถ้ารู้อนาคตล่วงหน้าก็ดีเน้อ)
เป็นการปั่นขึ้นเนินที่ยาวที่สุดในชีวิตการปั่น (6 เดือน ทำเป็นคุย 555) แถมเป็นการปั่นจักรยานพับ ไม่ใช่ทัวริ่ง เสือภูเขาอีกต่างหาก คงเห็นภาพว่า ปั่น 10 เข็น 90 เข็นตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปชมความงามไปเรื่อย จนเริ่ม 5 โมง..6 โมง เริ่มมืดลงๆ
ทำไมไอ้ 4 กิโล มันไม่หมดสักที รอเป้าหมายคือยอดดอยแล้วโรยตัวลงมา...นี่ยอดเนินมันอยู่ไหน ..
รถบรรทุกก็มากมาย เริ่มมืด...จนมืดดดด...
ไม่ไหวแล้ววต้องตัดสินใจให้พ้นยอดเนินนี่ไปที เพราะสองข้างทางมีแต่เป็นทุ่งดอกหญ้า เอาวะ รถบรรทุกคันต่อมาโบกเลย
รถบรรทุกพ่วงคันใหญ่ ค่อยๆชะลอตัวจอดบนเนินชัน..
“ขอติดรถลงเนินฝั่งโน้นหน่อยค่ะ”
เมื่อถามกันสักพักตกลงก็ขนจักรยานอยู่ระหว่างจุดพ่วงแล้วพาตัวเองไปนั่งหน้ากับคนขับรถ
“มากันกี่คน ทำไมมาคนเดียว”
“มากัน 3-4 คนค่ะ เพื่อนปั่นไปรอกันข้างหน้า” โกหกนั้นตายตกนรก...
“แล้วทำไมเพื่อนไม่รอ มันอันตรายนะ ปล่อยไว้คนเดียว”
“เค้าปั่นนำหน้ากันไปก่อน ไปรอข้างหน้าค่ะ ตรงด่านตำรวจข้างหน้า”
……..
“ถึงผมจะกินแอลกอฮอล์ (ว่าแล้วก็เอาป๋องเบียร์มากระดก) แต่ผมก็มีลูก 2 เมีย 1 “
“ทางเนี้ย รถจีน รถลาวคว่ำตายไปหลายคันแล้วหน้าฝน หุบนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่หุบหน้าผีเฮี้ยนนะ”
“แน่ใจนะว่ามีเพื่อนรออยู่”
“ค่ะ “ ว่าแล้วก็ฟอร์มโทรไลน์ไปหาเพื่อนว่าให้รออยู่กำลังจะไปถึง
บรรยากาศในรถบอกไม่ถูก ทั้งจะไว้ใจ จะกลัวปนกันไป เพราะดูพี่ไม่ออกจริงๆ แต่กลัวที่เค้ากินเบียร์นี่แหละ..
“แฟนไม่ห่วงเหรอ”
“อ่อ เค้ารู้ค่ะว่าปั่นอยู่ เค้ารออยู่อ่ะพี่”
เป็นคำตอบที่ให้กับทุกคนที่สงสัยและถามกับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว...เพื่อป้องกันตัว ว่ายังมีคนรออยู่ อย่างน้อยคงไม่กล้าทำอะไร เพราะต้องมีการติดตามซาก...555
[CR] Slowly Riding ปั่นจักรยานพับข้ามโขง เชียงราย-เชียงของ-ห้วยทราย สปป ลาว
ขนจักรยานพับขึ้นรถทัวร์ข้ามจากเชียงรายมาถึงบ่อแก้ว และเริ่มปั่นวันแรกที่มีหมุดคือหลวงน้ำทา
ต่อจากรีวิวตอนที่แล้ว https://ppantip.com/topic/36002454
ช่วงด่านตรวจคนเข้าเมือง ผู้โดยสารทุกคนต้องลงจากรถบัสและกรอกเอกสารขาออก-ขาเข้า ส่วนชาวต่างชาติที่ต้องทำวีซ่าจะต้องทำ Visa On Arrival ที่ด่าน
ในรถบัสทั้งคันที่ข้ามมาลาวส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ยุโรป มีเรากับพี่อีคนนึงที่เป็นคนไทย ..
เห็นแกเก้ๆกังๆ เลยชวนให้ลงไป ตม. พี่แกเดินตามมา
"ช่วยกรอกให้ผมหน่อย ผมเขียนไม่ได้"
" ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ"
..........
"หา... ภาษาไทยก็ไม่ได้เหรอคะ พี่เป็นคนไทยรึเปล่าคะ"
คือไม่ได้กวนทรีนนะคะ แค่งงง
"ผมเป็นคนเชียงราย แต่ไปอยู่ไต้หวันทำธุรกิจ ผมมี 3 เชื้อชาติ ไทย-จีน-พม่า"
" หา ...พม่าด้วย !! " ตกลงพี่แกทำธุรกิจสีเทาป่าวฟระ (คิดในใจ)
สุดท่ายช่วยแกกรอกทั้งขาออก และขาเข้าจนเสร็จ
"ผมจะข้ามไปฝั่งจีน เอาของจากไทยไปขายจีน และเอาของจีนมาขาย"
"ผมไปมาหลายที่ ทั่วจีน ..เฉิงตู กวางสี อุยกูร์ ...(อื่นๆอีกมากมาย) "
"โอเค ค่ะ งั้นพี่ช่วยหาตลาดให้หน่อยนะ มีของไทยขายอ่ะ"
สรุปหาช่องทางขายของได้อีกหนึ่ง 555
หลังจากพี่แกเลี้ยงข้าวผัด กับเบียร์ลาวก็แยกย้าย เพราะแกต้องรอรถข้ามไปจีนซึ่งมีพรุ่งนี้เช้า ส่วนเราขอตัวทำตามแผนการเดิมที่จะไปหลวงน้ำทา
แต่นี่ก็บ่ายโมงครึ่งแล้ว กว่าจะได้ออกจริงๆ เกือบบ่ายสอง ก็ไปซื้อซิมลาวและแลกเงินกีบอีก 100 ดอลล่าห์
ข้ามมาฝั่งบ่อแก้ว ความรู้สึกคือเหมือนต่างจังหวัดไทย เกิน 30 ปีมาแล้ว (เกิดทันป่าว 555) เป็นบ้านไม้หลังๆต่างจังหวัด ไม่มีตึกสูงเลย ถนนเป็นเส้นสวนทางแคบๆ มีไหล่ทางนิดหน่อย แม้จะเป็นเส้นขนส่งจากจีนมาไทย การปั่นจึงต้องเป็นไปอย่างมีสติมากกก ไม่งั้นจะไม่เหลือทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
อากาศวันนี้ดีมากคือไม่ร้อนเลย มีเมฆมาก ทำให้ปั่นได้สบายๆ ปั่นไประหว่างทางมีเด็กๆลาว ทักทายว่า เฮลโหล บ๊ายบายเป็นระยะ เราต้องส่งสัญญานตอบไป เพื่อให้เค้ารู้ว่าเราได้ยินเค้าและขอบคุณเค้า เพราะเราอาจเป็นแรงบันดาลใจเล็กๆในวันนี้ให้เค้าก็ได้...
ชุดเด็กนักเรียนลาวเป็นผ่าถุงผินสั้นกับเสื้อขาว ส่วนมากไว้ผมยาวรวบตึงถักเปียเรียบร้อย ผมสั้นไม่ค่อยมี ท่าทีเขินอายน่าฮัก ดีอย่างนึงของการเดินทางในลาวคือพูดอะไร สื่อสารอะไรส่วนมากจะรู้เรื่องหมด เพราะเหมือนภาษาอีสาน+เหนือบ้านเฮา
ปั่นไปหยุดไป พักไป พอมีเนินให้เหนื่อยเป็นพักๆ เป้าหมายวันนี้คือบ้านน้ำทุ่งที่ระยะทาง 50 กิโลเมตร...ระยะทางแบบนี้ปกติทำได้สบายๆไม่เกิน 4 -5 ชั่วโมง คิดว่ายังไงก็ทำได้แน่ แล้วค่อยหาที่พักที่บ้านน้ำทุ่ง อาจขอนอนกับชาวบ้านเพราะไม่มีโรงแรม ที่พัก เกสท์ฮาส์เลย
สองข้างทางเป็นทุ่งนามีภูเขาเป็นฉากหลัง บางช่วงเป็นไร่กล้วยบ้าง ข้าวโพดบ้าง...ปั่นมาจนเหนื่อยและเริ่มท้อ หยุดพักนิดนึงเห็นมีรถอีแต๋นผ่านมาเลยโบกและตะโกนถาม “ไปด้วยได้รึเปล่า”
“ทำไมจะไม่ได้ ได้สิพี่..พี่จะไปไหนล่ะ”
“หลวงน้ำทา แต่ไม่ถึงหรอกแค่บ้านน้ำทุ่งวันนี้”
“ผมไปแค่ช้างหน้านี้นะ พี่ติดไปก็ได้ จะไปเอาไม้ เดี๋ยวพี่ลงข้างหน้า”
เสร็จเลยเบาแรงไปอีก 10 กิโล
จุดที่หนุ่มอีแต๋นลาวมาส่งก็ประมาณ 4 โมงเย็น..
“พี่รอตรงนี้ละกัน เผื่อมีรถทัวร์ผ่านจะได้โบกไป”
ถึงตอนนี้คิดไว้ว่าถ้ามีรถทัวร์ไปหลวงน้ำทาจะขึ้นไปหลวงน้ำทาเลยเพราะไม่รู้ว่าทางข้างหน้าเป็นยังไง...จะไปถึงน้ำทุ่งหรือเปล่า หากมีเขาต้องข้ามเยอะ เย็นนี้คงไปไม่ทันแน่ แล้วไว้ปั่นขากลับมาจากหลวงน้ำทาถ้าทางปั่นได้
“แถวนี้มีที่พักมั้ย”
“พี่ช้ามเขาลูกนี้ไปประมาณ 4 กิโล จะมีด่านตำรวจตีนเขาด้านโน้นและมีร้านค้าที่พัก”
หลังจากขอบคุณและร่ำลาแบบให้สินน้ำใจไป
งั้นไปต่อดีกว่า จะได้ปั่นอีกหน่อย....
หารู้ไม่ว่านี่เป็นการตัดสินใจผิดครั้งสำคํญ (ก็ถ้ารู้อนาคตล่วงหน้าก็ดีเน้อ)
เป็นการปั่นขึ้นเนินที่ยาวที่สุดในชีวิตการปั่น (6 เดือน ทำเป็นคุย 555) แถมเป็นการปั่นจักรยานพับ ไม่ใช่ทัวริ่ง เสือภูเขาอีกต่างหาก คงเห็นภาพว่า ปั่น 10 เข็น 90 เข็นตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปชมความงามไปเรื่อย จนเริ่ม 5 โมง..6 โมง เริ่มมืดลงๆ
ทำไมไอ้ 4 กิโล มันไม่หมดสักที รอเป้าหมายคือยอดดอยแล้วโรยตัวลงมา...นี่ยอดเนินมันอยู่ไหน ..
รถบรรทุกก็มากมาย เริ่มมืด...จนมืดดดด...
ไม่ไหวแล้ววต้องตัดสินใจให้พ้นยอดเนินนี่ไปที เพราะสองข้างทางมีแต่เป็นทุ่งดอกหญ้า เอาวะ รถบรรทุกคันต่อมาโบกเลย
รถบรรทุกพ่วงคันใหญ่ ค่อยๆชะลอตัวจอดบนเนินชัน..
“ขอติดรถลงเนินฝั่งโน้นหน่อยค่ะ”
เมื่อถามกันสักพักตกลงก็ขนจักรยานอยู่ระหว่างจุดพ่วงแล้วพาตัวเองไปนั่งหน้ากับคนขับรถ
“มากันกี่คน ทำไมมาคนเดียว”
“มากัน 3-4 คนค่ะ เพื่อนปั่นไปรอกันข้างหน้า” โกหกนั้นตายตกนรก...
“แล้วทำไมเพื่อนไม่รอ มันอันตรายนะ ปล่อยไว้คนเดียว”
“เค้าปั่นนำหน้ากันไปก่อน ไปรอข้างหน้าค่ะ ตรงด่านตำรวจข้างหน้า”
……..
“ถึงผมจะกินแอลกอฮอล์ (ว่าแล้วก็เอาป๋องเบียร์มากระดก) แต่ผมก็มีลูก 2 เมีย 1 “
“ทางเนี้ย รถจีน รถลาวคว่ำตายไปหลายคันแล้วหน้าฝน หุบนี้ยังไม่เท่าไหร่ แต่หุบหน้าผีเฮี้ยนนะ”
“แน่ใจนะว่ามีเพื่อนรออยู่”
“ค่ะ “ ว่าแล้วก็ฟอร์มโทรไลน์ไปหาเพื่อนว่าให้รออยู่กำลังจะไปถึง
บรรยากาศในรถบอกไม่ถูก ทั้งจะไว้ใจ จะกลัวปนกันไป เพราะดูพี่ไม่ออกจริงๆ แต่กลัวที่เค้ากินเบียร์นี่แหละ..
“แฟนไม่ห่วงเหรอ”
“อ่อ เค้ารู้ค่ะว่าปั่นอยู่ เค้ารออยู่อ่ะพี่”
เป็นคำตอบที่ให้กับทุกคนที่สงสัยและถามกับผู้หญิงที่เดินทางคนเดียว...เพื่อป้องกันตัว ว่ายังมีคนรออยู่ อย่างน้อยคงไม่กล้าทำอะไร เพราะต้องมีการติดตามซาก...555