สวัสดีค่ะ กิ๊บจาก
www.fallenforadventure.com นะคะ มาพาเที่ยวในพาทาโกเนียกันต่อ
การเที่ยวพาทาโกเนีย (Patagonia) ให้ครบนั้น เราก็ต้องไปเยือนทั้งสองด้าน ทั้งประเทศอาร์เจนติน่าและประเทศชิลีนะคะ
จากเมืองเอล คาลาฟ้าเต้ (El Calafate) ที่เราอยู่ในประเทศอาร์เจนติน่านั้น สามารถนั่งรถบัสเพื่อข้ามไปยังเมืองพอร์โต้ นาตาเลส (Puerto Natales) ของฝั่งประเทศชิลีได้ โดยใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงค่ะ แต่อันนี้เราขอย้ำว่า ให้เพื่อนๆเช็คตารางรถบัสกันดีๆนะคะ เพราะเวลาที่เค้าลงในเวป กับเวลาที่เดินรถจริงบางทีมันไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรจะไปเช็คตารางเดินรถที่สถานีรถบัสก่อน เพราะจริงๆแล้วสถานที่รถบัสก็อยู่ใจกลางเมืองเอล คาลาฟาเต้เลย พวกเราวางใจกันมากไปหน่อย เลยไม่ได้ไปเช็ค ปรากฎว่าตกรถค่ะ! แล้วรถบัสที่วิ่งนั้นมีเพียงวันละรอบเท่านั้นเอง พวกเราเลยได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เหมาแท๊กซี่และ hitch hike กันไปค่ะ เพราะเนื่องจากเป็นการข้ามเส้นชายแดนประเทศแท๊กซี่เค้าเลยไม่สามารถไปส่งเราที่ชิลีได้ หลังจากที่ลงไป stamp passport อะไรกันเรียบร้อย โชคดีมีคนชิลีใจดีไปส่งที่โรงแรมให้ เพราะ immigration กับโรงแรมอยู่ไม่ห่างกันมากนักแค่ 25 นาทีเท่านั้น รอดไปค่ะ
แวะถ่ายรูปกับป้าย Santa Cruz อันโด่งดัง
เมื่อมาถึงฝั่งชิลีแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องไปเยี่ยมเยียนอุทยานแห่งชาติทอเรส เดล พายเน่ (Torres Del Paine National Park) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ห่างจากเมืองพอร์โต้ นาตาเลส ประมาณชั่วโมงกว่าๆโดยรถยนต์ มียอดเขาแกรนิต 3 ยอดเป็นสัญลักษณ์ Torres Del Paine นี้ได้รับการจัดลำดับจาก National Geographic (Special Edition) ว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดในโลกอันดับ 5 เลยทีเดียว
ยอดเขาที่เป็นสัญลักษณ์ของ Torres Del Paine
กิจกรรมหลักๆที่มีให้ทำใน park นี้ก็มีหลากหลายค่ะ เช่น hiking, trekking, พายเรือ kayak, ขี่ม้า, ice trekking แต่กิจกรรมที่ดังๆที่คนที่มาเที่ยวที่นี่ชอบทำก็คือเดินป่าเส้นทาง W Trek ซึ่งเป็นการเดินป่าแบบหลายวัน ขึ้นอยู่กับความเร็วของการเดินของแต่ละคน แต่ปกติเค้าก็จะใช้เวลากันอยู่ประมาณ 4-7 วันค่ะ แต่ของทริปเรานั้น เนื่องจากเวลาจำกัด เราเลยต้องรวบรัด โดยการนั่งรถเที่ยวรอบๆอุทยานค่ะ ข้อจำกัดก็คือจะไปได้เฉพาะที่ที่มีถนนเท่านั้น จะไม่มีเวลาให้ hike เจาะลึกเข้าไปบนภูเขาค่ะ แต่ข้อดีก็คือสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย เนื่องจากแต่ละ attraction สามารถเดินเข้าไปได้จากที่จอดรถเลย แล้วก็เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวไม่มากนัก อันนี้ก็จะได้เห็นทั่วๆ park ค่ะ เราจองทัวร์ไปชื่อ Patagonia Adventure เป็นรถตู้คันนึงไม่เกิน 10 คน เค้ามารับที่โรงแรมประมาณตอน 8 โมงเช้า
(
Tip: ถ้าได้เลือกที่นั่งก่อน ควรนั่งแถวหน้าๆ เพราะถนนในอุทยานนั้นไม่ใช่ทางเรียบๆ แล้วคนขับก็ขับแบบชำนาญทางเหลือเกิน ไม่ได้สงสารคนนั่งเลย พวกเราก็กระเด้งๆไปตลอดทางเลยค่ะ)
ถนนในอุทยาน Torres Del Paine
รายการเที่ยวตามนี้เลยค่ะ
- รับจากโรงแรม แล้วนั่งไปถึงอุทยาณ Torres Del Paine
- ลงไปถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิว Lago Nordenskjold
- เดินไปเที่ยวน้ำตก Salto Grande
- รับประทานอาหารกลางวันที่ Lake Pehoe (ค่าอาหารกลางวันรวมอยู่ในค่าทัวร์ เค้าจะจัดเป็นข้าวกับ BBQ ให้ อร่อยใช้ได้ค่ะ)
-เดินเล่นริม Grey lake เพื่อชมธารน้ำแข็ง Grey Glacier ให้เวลาอิสระ 1 ชั่วโมง
- เดินเข้าไปในถ้ำ Milodon Cave ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความสำคัญ เนื่องจากเคยมีนักสำรวจไปพบชิ้นส่วนของสัตว์ mylodon เมื่อปี 1896 ซึ่งเป็นสัตว์สูญพันธุ์มามากกว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว ปัจจุบันจึงมีการทำหุ่นปั้นของ mylodon อยู่ด้านในถ้ำแห่งนี้ด้วยค่ะ
วิวจากจุดชมวิว Lago Nordenskjold
วิวจากจุดชมวิว Lago Nordenskjold ลมที่พาทาโกเนียแรงมากๆจริงๆค่ะ
น้ำตกซอลโต้ แกรนเด (Salto Grande Waterfall)
อีกมุมนึงจากน้ำตก Salto Grande
เป็นที่ๆสวยงามและพิเศษจริงๆค่ะ
ทางเข้า Lake Pehoe
สามารถเห็นยอดเขาแกรนิตนี้ได้จากเกือบทุกมุมในอุทยานเลยค่ะ
วิวตอนทานข้าวกลางวันที่ Lake Pehoe ค่ะ
สัตว์ที่มีอยู่ทั่วๆในอุทยานค่ะ หน้าตาคล้ายๆลามา เรียกว่า Guanaco
กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับเพื่อนๆทุกวัยนะคะ เนื่องจากมีรถตู้คอยรับส่งไปยังจุดต่างๆ ลงจากรถก็เดินไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงจุดชมวิวในแต่ละจุดแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ขอแนะนำเลยค่ะ สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากหรือไม่ชอบ hiking หลายๆวัน กิจกรรมนี้ก็จะเป็นทางเลือกที่ดี ราคาทัวร์ก็ไม่แพงมากอยู่ที่คนละ USD$45 พร้อมทั้งมีบริการรถรับ-ส่งโรงแรม อาหารกลางวัน และไกด์คอยบรรยายเกี่ยวกับสถานที่แต่ละที่ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสแปนิชด้วยค่ะ
ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับ adventure นี้
กิจกรรม: นั่งรถชมวิว
เส้นทางที่เลือก: One Day Tour of Torres Del Paine
ระยะเวลา: ประมาณ 10-11 ชั่วโมงค่ะ
ระดับความยาก: 3/10
ระดับความสวย: 10/10
ราคา: USD$45
สำหรับเมืองพอร์โต้ นาตาเลสนั้น เป็นเมืองเล็กๆน่ารัก ผู้คนใจดี ในเมืองนี้มีร้านอาหารอร่อยๆหลายร้านเลยทีเดียว
Gib's Restaurant Recommendations:
Aldea ($$): อาหารพื้นบ้านของชีลี เป็น style homemade ร้านเล็กๆน่ารักๆ จะมี special menu เขียนอยู่ตรงกระดานทุกวัน แต่ละวันก็จะเป็นอาหารไม่เหมือนกัน แล้วแต่ chef และ ingredients ที่ได้มาในแต่ละวัน ถ้าใครชอบกิน lamb ที่นี่เค้าก็ดัง แถมยังมี vegan option สำหรับคนไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยค่ะ ส่วนคนที่ชอบดื่ม ที่นี่ก็มี Chilean wine ซึ่งเจ้าของเป็นคนเลือกมาเองจาก local winery ทั่วประเทศชิลีมาไว้ให้เลือกตามความชอบ สรุปโดยรวมอาหารและไวน์อร่อยและราคาไม่แพงมาก บริการดี แนะนำให้จองก่อนหรือไม่ก็ไปตอนร้านเปิดเลยค่ะ เพราะที่ร้านมีอยู่แค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้น
Afrigonia ($$$$): Afrigonia คืออีกร้านที่อยากแนะนำ เพราะเป็นอาหารที่แปลกแต่อร่อย หากินไม่ได้ง่ายๆ อาหารเค้าคือลูกผสมระหว่างอาหารของอเมริกาใต้กับแอฟริกาใต้ จานที่แนะนำคือปลาแซลมอนกับซอสมะพร้าวเสริฟกับข้าวและลูกเกด เป็นอารมณ์คล้ายๆ Ceviche มีหลายรสทั้งหลาน เปรี้ยว มัน อร่อยดีค่ะ ร้านนี้ถ้าใครสนใจจะไปก็ต้องจองเหมือนกัน เพราะว่าเค้าจะเต็มค่อนข้างทุกวัน โดยเฉพาะ weekend ค่ะ ราคาร้านนี้จะสูงหน่อย แต่สำหรับอาหารที่หากินยาก และบริการดีๆแบบนี้ก็ยังถือว่าคุ้มค่ะ
Gib's Hotel Recommendation:
Viento Patagonico ($115 ต่อคืนสำหรับห้องพักแบบ two twin beds สำหรับ 2 ท่าน ราคารวมอาหารเช้าด้วยค่ะ): อยากแนะนำโรงแรมที่เมืองนี้ด้วย เพราะว่าเป็นโรงแรมที่คุ้มเงินมากๆค่ะ ห้องพักกว้างสบาย สะอาดเรียบร้อย โรงแรมเป็น style ครอบครัวทำกันเอง แต่ทำด้วยใจรักจริงๆ เจ้าของโรงแรมน่ารักมากๆค่ะ อาสาขับรถพาพวกเราไปรับส่งทั้งร้านอาหาร และสนามบินโดยไม่คิดค่าบริการเลย สภานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ชั้นบนสุดมี rooftop เป็น shared space ให้คนมานั่งชมวิว อ่านหนังสือ เล่นเกมส์กันด้วยค่ะ
Rooftop ของโรงแรม Viento Patagonico
[CR] (CR) มนต์เสน่ห์ของ Torres Del Paine อุทยานแห่งชาติที่สวยเป็นอันดับต้นๆของโลก
การเที่ยวพาทาโกเนีย (Patagonia) ให้ครบนั้น เราก็ต้องไปเยือนทั้งสองด้าน ทั้งประเทศอาร์เจนติน่าและประเทศชิลีนะคะ
จากเมืองเอล คาลาฟ้าเต้ (El Calafate) ที่เราอยู่ในประเทศอาร์เจนติน่านั้น สามารถนั่งรถบัสเพื่อข้ามไปยังเมืองพอร์โต้ นาตาเลส (Puerto Natales) ของฝั่งประเทศชิลีได้ โดยใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงค่ะ แต่อันนี้เราขอย้ำว่า ให้เพื่อนๆเช็คตารางรถบัสกันดีๆนะคะ เพราะเวลาที่เค้าลงในเวป กับเวลาที่เดินรถจริงบางทีมันไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรจะไปเช็คตารางเดินรถที่สถานีรถบัสก่อน เพราะจริงๆแล้วสถานที่รถบัสก็อยู่ใจกลางเมืองเอล คาลาฟาเต้เลย พวกเราวางใจกันมากไปหน่อย เลยไม่ได้ไปเช็ค ปรากฎว่าตกรถค่ะ! แล้วรถบัสที่วิ่งนั้นมีเพียงวันละรอบเท่านั้นเอง พวกเราเลยได้ประสบการณ์ใหม่ๆ เหมาแท๊กซี่และ hitch hike กันไปค่ะ เพราะเนื่องจากเป็นการข้ามเส้นชายแดนประเทศแท๊กซี่เค้าเลยไม่สามารถไปส่งเราที่ชิลีได้ หลังจากที่ลงไป stamp passport อะไรกันเรียบร้อย โชคดีมีคนชิลีใจดีไปส่งที่โรงแรมให้ เพราะ immigration กับโรงแรมอยู่ไม่ห่างกันมากนักแค่ 25 นาทีเท่านั้น รอดไปค่ะ
แวะถ่ายรูปกับป้าย Santa Cruz อันโด่งดัง
เมื่อมาถึงฝั่งชิลีแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องไปเยี่ยมเยียนอุทยานแห่งชาติทอเรส เดล พายเน่ (Torres Del Paine National Park) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศชิลี ห่างจากเมืองพอร์โต้ นาตาเลส ประมาณชั่วโมงกว่าๆโดยรถยนต์ มียอดเขาแกรนิต 3 ยอดเป็นสัญลักษณ์ Torres Del Paine นี้ได้รับการจัดลำดับจาก National Geographic (Special Edition) ว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดในโลกอันดับ 5 เลยทีเดียว
ยอดเขาที่เป็นสัญลักษณ์ของ Torres Del Paine
กิจกรรมหลักๆที่มีให้ทำใน park นี้ก็มีหลากหลายค่ะ เช่น hiking, trekking, พายเรือ kayak, ขี่ม้า, ice trekking แต่กิจกรรมที่ดังๆที่คนที่มาเที่ยวที่นี่ชอบทำก็คือเดินป่าเส้นทาง W Trek ซึ่งเป็นการเดินป่าแบบหลายวัน ขึ้นอยู่กับความเร็วของการเดินของแต่ละคน แต่ปกติเค้าก็จะใช้เวลากันอยู่ประมาณ 4-7 วันค่ะ แต่ของทริปเรานั้น เนื่องจากเวลาจำกัด เราเลยต้องรวบรัด โดยการนั่งรถเที่ยวรอบๆอุทยานค่ะ ข้อจำกัดก็คือจะไปได้เฉพาะที่ที่มีถนนเท่านั้น จะไม่มีเวลาให้ hike เจาะลึกเข้าไปบนภูเขาค่ะ แต่ข้อดีก็คือสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย เนื่องจากแต่ละ attraction สามารถเดินเข้าไปได้จากที่จอดรถเลย แล้วก็เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวไม่มากนัก อันนี้ก็จะได้เห็นทั่วๆ park ค่ะ เราจองทัวร์ไปชื่อ Patagonia Adventure เป็นรถตู้คันนึงไม่เกิน 10 คน เค้ามารับที่โรงแรมประมาณตอน 8 โมงเช้า
( Tip: ถ้าได้เลือกที่นั่งก่อน ควรนั่งแถวหน้าๆ เพราะถนนในอุทยานนั้นไม่ใช่ทางเรียบๆ แล้วคนขับก็ขับแบบชำนาญทางเหลือเกิน ไม่ได้สงสารคนนั่งเลย พวกเราก็กระเด้งๆไปตลอดทางเลยค่ะ)
ถนนในอุทยาน Torres Del Paine
รายการเที่ยวตามนี้เลยค่ะ
- รับจากโรงแรม แล้วนั่งไปถึงอุทยาณ Torres Del Paine
- ลงไปถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิว Lago Nordenskjold
- เดินไปเที่ยวน้ำตก Salto Grande
- รับประทานอาหารกลางวันที่ Lake Pehoe (ค่าอาหารกลางวันรวมอยู่ในค่าทัวร์ เค้าจะจัดเป็นข้าวกับ BBQ ให้ อร่อยใช้ได้ค่ะ)
-เดินเล่นริม Grey lake เพื่อชมธารน้ำแข็ง Grey Glacier ให้เวลาอิสระ 1 ชั่วโมง
- เดินเข้าไปในถ้ำ Milodon Cave ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความสำคัญ เนื่องจากเคยมีนักสำรวจไปพบชิ้นส่วนของสัตว์ mylodon เมื่อปี 1896 ซึ่งเป็นสัตว์สูญพันธุ์มามากกว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว ปัจจุบันจึงมีการทำหุ่นปั้นของ mylodon อยู่ด้านในถ้ำแห่งนี้ด้วยค่ะ
วิวจากจุดชมวิว Lago Nordenskjold
วิวจากจุดชมวิว Lago Nordenskjold ลมที่พาทาโกเนียแรงมากๆจริงๆค่ะ
น้ำตกซอลโต้ แกรนเด (Salto Grande Waterfall)
อีกมุมนึงจากน้ำตก Salto Grande
เป็นที่ๆสวยงามและพิเศษจริงๆค่ะ
ทางเข้า Lake Pehoe
สามารถเห็นยอดเขาแกรนิตนี้ได้จากเกือบทุกมุมในอุทยานเลยค่ะ
วิวตอนทานข้าวกลางวันที่ Lake Pehoe ค่ะ
สัตว์ที่มีอยู่ทั่วๆในอุทยานค่ะ หน้าตาคล้ายๆลามา เรียกว่า Guanaco
กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับเพื่อนๆทุกวัยนะคะ เนื่องจากมีรถตู้คอยรับส่งไปยังจุดต่างๆ ลงจากรถก็เดินไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงจุดชมวิวในแต่ละจุดแล้ว เพราะฉะนั้นอันนี้ขอแนะนำเลยค่ะ สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากหรือไม่ชอบ hiking หลายๆวัน กิจกรรมนี้ก็จะเป็นทางเลือกที่ดี ราคาทัวร์ก็ไม่แพงมากอยู่ที่คนละ USD$45 พร้อมทั้งมีบริการรถรับ-ส่งโรงแรม อาหารกลางวัน และไกด์คอยบรรยายเกี่ยวกับสถานที่แต่ละที่ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสแปนิชด้วยค่ะ
ข้อมูลสรุปเกี่ยวกับ adventure นี้
กิจกรรม: นั่งรถชมวิว
เส้นทางที่เลือก: One Day Tour of Torres Del Paine
ระยะเวลา: ประมาณ 10-11 ชั่วโมงค่ะ
ระดับความยาก: 3/10
ระดับความสวย: 10/10
ราคา: USD$45
สำหรับเมืองพอร์โต้ นาตาเลสนั้น เป็นเมืองเล็กๆน่ารัก ผู้คนใจดี ในเมืองนี้มีร้านอาหารอร่อยๆหลายร้านเลยทีเดียว
Gib's Restaurant Recommendations:
Aldea ($$): อาหารพื้นบ้านของชีลี เป็น style homemade ร้านเล็กๆน่ารักๆ จะมี special menu เขียนอยู่ตรงกระดานทุกวัน แต่ละวันก็จะเป็นอาหารไม่เหมือนกัน แล้วแต่ chef และ ingredients ที่ได้มาในแต่ละวัน ถ้าใครชอบกิน lamb ที่นี่เค้าก็ดัง แถมยังมี vegan option สำหรับคนไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยค่ะ ส่วนคนที่ชอบดื่ม ที่นี่ก็มี Chilean wine ซึ่งเจ้าของเป็นคนเลือกมาเองจาก local winery ทั่วประเทศชิลีมาไว้ให้เลือกตามความชอบ สรุปโดยรวมอาหารและไวน์อร่อยและราคาไม่แพงมาก บริการดี แนะนำให้จองก่อนหรือไม่ก็ไปตอนร้านเปิดเลยค่ะ เพราะที่ร้านมีอยู่แค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้น
Afrigonia ($$$$): Afrigonia คืออีกร้านที่อยากแนะนำ เพราะเป็นอาหารที่แปลกแต่อร่อย หากินไม่ได้ง่ายๆ อาหารเค้าคือลูกผสมระหว่างอาหารของอเมริกาใต้กับแอฟริกาใต้ จานที่แนะนำคือปลาแซลมอนกับซอสมะพร้าวเสริฟกับข้าวและลูกเกด เป็นอารมณ์คล้ายๆ Ceviche มีหลายรสทั้งหลาน เปรี้ยว มัน อร่อยดีค่ะ ร้านนี้ถ้าใครสนใจจะไปก็ต้องจองเหมือนกัน เพราะว่าเค้าจะเต็มค่อนข้างทุกวัน โดยเฉพาะ weekend ค่ะ ราคาร้านนี้จะสูงหน่อย แต่สำหรับอาหารที่หากินยาก และบริการดีๆแบบนี้ก็ยังถือว่าคุ้มค่ะ
Gib's Hotel Recommendation:
Viento Patagonico ($115 ต่อคืนสำหรับห้องพักแบบ two twin beds สำหรับ 2 ท่าน ราคารวมอาหารเช้าด้วยค่ะ): อยากแนะนำโรงแรมที่เมืองนี้ด้วย เพราะว่าเป็นโรงแรมที่คุ้มเงินมากๆค่ะ ห้องพักกว้างสบาย สะอาดเรียบร้อย โรงแรมเป็น style ครอบครัวทำกันเอง แต่ทำด้วยใจรักจริงๆ เจ้าของโรงแรมน่ารักมากๆค่ะ อาสาขับรถพาพวกเราไปรับส่งทั้งร้านอาหาร และสนามบินโดยไม่คิดค่าบริการเลย สภานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ชั้นบนสุดมี rooftop เป็น shared space ให้คนมานั่งชมวิว อ่านหนังสือ เล่นเกมส์กันด้วยค่ะ
Rooftop ของโรงแรม Viento Patagonico
Instagram: Prangvadee