ออกหมายจับ 52ผู้ต้องการ โกงข้อสอบนายสิบ
แบ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ วิศวะกรรมศาสตร์ ทันตแพทย์ 51 คน และผู้บงการอีก 1 คน"
http://www.naewna.com/local/252179
"พ.ต.อ.อุเทน นำเอกสารและพยานหลักฐานไปเสนอศาลอาญารัชดา ขอให้ศาลพิจารณาออกหมายจับกลุ่มนักศึกษาและผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 52 คน ที่ร่วมกระทำความผิด โดยต่อมาผู้พิพากษาไตร่สวนนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงพิจารณาออกหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดตามที่ พ.ต.อ.อุเทน ขอมารวมจำนวน 52 คน แบ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ วิศวะกรรมศาสตร์ ทันตแพทย์ 51 คน และผู้บงการอีก 1 คน"
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม วอนให้โอกาสนักศึกษา รับจ้างโกงข้อสอบนายสิบ
12 ม.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "ธวัชชัย ไทยเขียว" ถึงกรณีที่มีเยาวชนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ วิศวกรรม และอื่นๆ เข้าไปร่วมอยู่ในกระบวนการรับจ้างเข้าไปเฉลยข้อสอบการสอบคัดเลือกนักเรียนนายสิบตำรวจนั้น ว่า หมดสิ้นกันอนาคตเยาวชนคิดสั้นรับจ้างเข้าไปเฉลยข้อสอบ ต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวไปชั่วชีวิต ซึ่งจากการที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหานั้น เมื่อพิจารณาเบื้องต้นน่าจะเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด "กรรมเดียว" แต่เป็นความผิดต่อกฎหมาย "หลายบท" ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ใช้ "บทที่มีโทษหนักที่สุด" ลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายอาญา
ดังนั้น ในกรณีนี้อัตราโทษบทที่มีโทษหนักสุด คือ ฐานความผิดอั้งยี่ มาตรา 209 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่น 4 พันบาท หากผู้ต้องหาหรือจำเลยกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องแล้วปฏิเสธ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามกระบวนการต่อไป แต่หากจำเลยกระทำความผิดจริงและให้การรับสารภาพ อัตราโทษก็จะลดลงมากึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี 6 เดือน ก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถขอเหตุอันควรแก่การปรานีต่อศาล ด้วยการร้องขอต่อให้ศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติทำการสืบเสาะและพินิจ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม ด้วยว่าตนเองไม่ปรากฏว่ากระทำความผิดอื่นใด หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน
ซึ่งก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาลว่าจะให้โอกาสรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนด แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เยาวชนเหล่านี้ จะต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวไปชั่วชีวิต ไม่สามารถเข้ารับราชการ หรืองานอื่นใดที่หน่วยงานเหล่านั้นได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนที่จะเข้าทำงานได้ว่า "ต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยต้องโทษจำคุกหรือต้องคำพิพากษามาก่อน"
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ยังได้แสดงความคิดเห็นอีกว่า สถานศึกษาก็ไม่ควรไปตัดสิทธิการให้ศึกษาต่อของเยาวชนเหล่านี้ มิเช่นนั้นจะเป็นการสร้างภาระให้กับสังคมและประเทศชาติ ไม่ใช่เป็นการสร้างพลัง ส่วนเขาเหล่านั้นเมื่อจบการศึกษาไปแล้วจะไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือไปเจอหน่วยงานใจดีรับให้เข้าไปทำงานก็ได้ และที่สำคัญก็จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้าน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน ประเทศไทยควรเป็นประเทศที่มุ่งลงโทษเพื่อการบำบัด แก้ไขฟื้นฟู มากกว่าเพื่อเป็นการแก้แค้นทดแทน
http://www.naewna.com/local/252153
ไม่ควรไล่ นศ.แพทย์ วิศวะ ทันตแพทย์ 51คน โกงข้อสอบนายสิบ ออกจากมหาลัย เพราะหัวกะทิ ทั้งนั้น
แบ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ วิศวะกรรมศาสตร์ ทันตแพทย์ 51 คน และผู้บงการอีก 1 คน"
http://www.naewna.com/local/252179
"พ.ต.อ.อุเทน นำเอกสารและพยานหลักฐานไปเสนอศาลอาญารัชดา ขอให้ศาลพิจารณาออกหมายจับกลุ่มนักศึกษาและผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 52 คน ที่ร่วมกระทำความผิด โดยต่อมาผู้พิพากษาไตร่สวนนานกว่า 2 ชั่วโมง จึงพิจารณาออกหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดตามที่ พ.ต.อ.อุเทน ขอมารวมจำนวน 52 คน แบ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ วิศวะกรรมศาสตร์ ทันตแพทย์ 51 คน และผู้บงการอีก 1 คน"
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม วอนให้โอกาสนักศึกษา รับจ้างโกงข้อสอบนายสิบ
12 ม.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวงยุติธรรม ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "ธวัชชัย ไทยเขียว" ถึงกรณีที่มีเยาวชนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ วิศวกรรม และอื่นๆ เข้าไปร่วมอยู่ในกระบวนการรับจ้างเข้าไปเฉลยข้อสอบการสอบคัดเลือกนักเรียนนายสิบตำรวจนั้น ว่า หมดสิ้นกันอนาคตเยาวชนคิดสั้นรับจ้างเข้าไปเฉลยข้อสอบ ต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวไปชั่วชีวิต ซึ่งจากการที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหานั้น เมื่อพิจารณาเบื้องต้นน่าจะเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด "กรรมเดียว" แต่เป็นความผิดต่อกฎหมาย "หลายบท" ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ใช้ "บทที่มีโทษหนักที่สุด" ลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายอาญา
ดังนั้น ในกรณีนี้อัตราโทษบทที่มีโทษหนักสุด คือ ฐานความผิดอั้งยี่ มาตรา 209 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่น 4 พันบาท หากผู้ต้องหาหรือจำเลยกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องแล้วปฏิเสธ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามกระบวนการต่อไป แต่หากจำเลยกระทำความผิดจริงและให้การรับสารภาพ อัตราโทษก็จะลดลงมากึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี 6 เดือน ก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถขอเหตุอันควรแก่การปรานีต่อศาล ด้วยการร้องขอต่อให้ศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติทำการสืบเสาะและพินิจ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม ด้วยว่าตนเองไม่ปรากฏว่ากระทำความผิดอื่นใด หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน
ซึ่งก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาลว่าจะให้โอกาสรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนด แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เยาวชนเหล่านี้ จะต้องมีประวัติอาชญากรติดตัวไปชั่วชีวิต ไม่สามารถเข้ารับราชการ หรืองานอื่นใดที่หน่วยงานเหล่านั้นได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนที่จะเข้าทำงานได้ว่า "ต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยต้องโทษจำคุกหรือต้องคำพิพากษามาก่อน"
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ยังได้แสดงความคิดเห็นอีกว่า สถานศึกษาก็ไม่ควรไปตัดสิทธิการให้ศึกษาต่อของเยาวชนเหล่านี้ มิเช่นนั้นจะเป็นการสร้างภาระให้กับสังคมและประเทศชาติ ไม่ใช่เป็นการสร้างพลัง ส่วนเขาเหล่านั้นเมื่อจบการศึกษาไปแล้วจะไปทำธุรกิจส่วนตัว หรือไปเจอหน่วยงานใจดีรับให้เข้าไปทำงานก็ได้ และที่สำคัญก็จะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้าน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน ประเทศไทยควรเป็นประเทศที่มุ่งลงโทษเพื่อการบำบัด แก้ไขฟื้นฟู มากกว่าเพื่อเป็นการแก้แค้นทดแทน
http://www.naewna.com/local/252153