สาวน้อยพลังจิต
ตอนที่ 1 ความฝันของทราย
ในค่ำคืนอันสงบที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์นวลบาง ท่ามกลางหมู่ตึกและบ้านที่แออัดกันกลางกรุง เสียงเบาบางประปรายของยวดยานบนถนนแทรกเข้าในห้องนอนอันแสนสบาย ม่านลายดอกไม้สีสวยกระพือเบาๆจากลมเป่า แสงนวลของดวงจันทร์ที่ทาบทอเข้ามาในห้องถูกกลบลบด้วยไฟดวงใหญ่ที่ตั้งบนเสาสูงเรียงรายไปตามถนน
ทราย ทอดกายไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ดวงหน้าสงบสะท้อนแสงไฟจากภายนอก บอกให้รู้ว่าสาวแรกรุ่นคนนี้มีใบหน้าคมใส ริมฝีปากอิ่ม แขนเล็กๆเบียดกันข้างกายที่ซุกในผ้าห่มหนานุ่ม ถ้าใครบังเอิญมีโอกาสเห็นภาพตรงหน้า คงเผลอมองเพลินจนลืมตัว
อีกครู่เดียว ใบหน้าคมใสที่สงบเย็นจนเพลินมองเริ่มพลิกไปมา ดวงหน้าเปลี่ยนท่าทีเป็นความหม่นหมอง และถูกเพิ่มน้ำหนักขึ้นด้วยอาการคล้ายตื่นกลัวและร้องไห้ แขนขาของคนหลับขยับเปะปะพาให้ตื่นตระหนก เธอเป็นอะไรไปน่ะ หรือกำลังฝัน
“กรี๊ด.........”
เสียงแหลมเล็กระเบิดลั่นพร้อมกับที่ทรายทะลึ่งตัวพรวดหน้าตาตื่น เธอปาดเหงื่อชุ่มโชก หายใจหอบถี่
เสียงกรีดร้องทำเอาเหล่าสุนัขในละแวกเห่าหอนขึ้นด้วยความตระหนก
เสียงเปิดปิดประตูโครมครามที่ตามด้วยเสียงปึงปังเหมือนวิ่งบ้างเดินบ้างเข้ามาในห้องเจ้า
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอลูก”
แม่อรเปิดประตูเข้ามาโอบกอดทรายแล้วปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
ทรายซุกดวงหน้าที่เจิ่งน้ำตาเข้ากับอกแม่อรร้องกระซิกๆ
“ไม่เอานะ ไม่ร้อง หนูโตเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็แค่ฝันร้ายนะหนูนะ”
แม่อรโยกตัวทำทีเหมือนเก้าอี้โยก มือข้างหนึ่งลูบศีรษะทราย ปลอบประโลมให้เธอผ่อนคลาย
ปากแม่อรแม้จะปลอบประโลมทราย แต่ใจก็หวั่นระแวงปนสงสัย เพราะทรายฝันเรื่องเดิมๆ เหตุการณ์ซ้ำๆอย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อก่อนอาจจะนานๆที แต่หลายเดือนมานี้ทรายฝันถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจเดิมๆนี้ถี่จนเกือบจะทุกคืนเลยทีเดียว
แม่อรเหลือบไปที่ประตู วิน สามีของเธอ พ่อเลี้ยงของทรายเดินขมวดคิ้วเข้ามา แม่อรต้องทำหน้าอ้อนวอนวินไม่ให้พูดอะไรเข้า
“แกไม่ต้องมาทำหน้าตาขอความกรุณา บอกลูกสาวตัวดีเลิกซะทีได้มั้ย กับอ้ายการก่อกวนชาวบ้านกลางดึกอย่างนี้ คนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะมันมานั่งร้องกรี๊ดๆอย่างนี้ทุกคืน ชาวบ้านเขาแทบจะนินทาว่ามันถูกพ่อเลี้ยงปล้ำเอาแล้ว โตเป็นสาวแล้ว ถ้ายังทำตัวสร้างปัญหาอยู่อย่างนี้ก็ไปๆซะ บ้านนี้มันจะได้สงบสุขขึ้นมาบ้างซะที”
วินเดินมาหยุดที่ประตู พูดอย่างหัวเสีย
แม่อรสีหน้าซึมเศร้า พลางปลอบทราย
“อย่าถือสาพ่อเขานะลูก อย่าไปเชื่อคำพูดเขานะ อย่าไปไหนนะ เขาพูดไปอย่างนั้นเอง”
ทรายยิ่งซุกหน้าร้องไห้โฮใหญ่
เธอเองก็แปลกใจ สงสัย และท้อแท้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และนับวันจะหนักขึ้นทุกที ความฝันที่สยดสยองน่าสะพรึงกลัวที่วนเวียนหลอกหลอนเธอตั้งแต่เด็กๆ นานๆครั้งถึงจะเกิด มาเมื่อ 2-3 เดือนนี้ที่มันเกิดถี่ขึ้นๆจนเป็นการฝันร้ายรายวันเอาเลยทีเดียว
ทราย สาวน้อยดวงหน้าคมใส พยายามข่มตาหลับอีกครั้งหนึ่งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ เธอลืมตามองออกไปจับจ้องแสงจากไฟรายทางบนถนน แม้จะนอน แต่ใจนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าเข้าขั้นฟุ้งซ่าน มีเรื่องราวนับได้หลายร้อยเรื่องที่ให้เธอคิด ถ้าใครสักคนที่เป็นนักอ่านใจ หรือสังเกตคนได้จากการมองลึกเข้าไปในดวงตา จะรู้ว่า ดวงหน้าคมใสนั้น มีอะไรที่ชวนหดหู่เศร้าซึมลึกลงไป
หลุมลึกแห่งปริศนานั้นอยู่ลึกลงไปจากดวงตากลมสวยที่เปลือกตาปิดสนิทอยู่ มีแต่สมองและจิตใจเท่านั้น ที่พลุ่งพลานวิ่งวนสับสน ดวงตาที่แฝงความเศร้า หดหู่ และเดียวดาย ดวงตาที่แม้ส่องประกาย
เช้าวันนั้นหลังจากใคร่ครวญและเชื่อว่าเป็นทางเลือกดีที่สุดแล้ว แม่อรจึงจูงมือทรายไปพบคนที่เธอคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาฝันร้ายซ้ำซากของทรายได้
เจ้าแม่สวนกล้วยพ่นควันบุหรี่โขมง มือและร่างกายที่สั่นเทาตามตำรับร่างทรงทั่วไปทำให้รู้สึกน่าเลื่อมใสอย่างจับใจของผู้พบเห็น มีแต่ทรายที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
“นังหนูคนนี้มันมีองค์ เป็นเทพชั้นสูง ท่านจะมาขอใช้ร่างมัน มันไม่ยอมเอานะซิ เหอ เหอ เหอ”
ร่างทรงสตรีวัยกลางคนที่ทั้งผอมทั้งโทรมพูดไปหัวเราะไป
แม่อรที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆพยักหน้าพร้อมพนมมือไหว้ประหลกๆ
“แล้วจะแก้ยังไงเจ้าคะ”
“ก็ให้มันรับขันธ์ พรุ่งนี้ให้มากันแต่เช้า ข้าจะทำพิธีให้ คืนนี้ข้าจะตั้งปะรำพิธีบริกรรมคาถาอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พรุ่งนี้จะได้รู้กันว่าเทพองค์ไหนมาลง เพราะจะได้เชิญท่านมาขอขมาลาโทษ และทำพิธีรับท่าน เหอ เหอ เหอ”
หญิงผอมโทรมพูดพลางหัวเราะแหบๆในลำคอ เธอพยักเพยิดให้แม่อรหันไปมองขันอลูมิเนียมที่วางอยู่บนพานข้างๆเบาะที่เจ้าแม่นั่ง มีดอกไม้ธูปเทียนวางเรียงอย่างรวกๆ พร้อมเศษแบงก์และสตางค์นับเป็นเงินได้ 399 บาท
“เมื่อเช้าวานก็มีคนมารับขัน ข้ายังวางอยู่ตรงนี้เลย เช้านี้ตอนสายๆมันโทรมาบอกว่าถูกหวยตัวบนตรงๆ ข้างล่างถูกตัววิ่ง ได้ไปสามหมื่นเหนาะๆ เหอ เหอ เหอ”
เจ้าแม่สวนกล้วยหัวเราะแล้วพูดต่ออย่างสนุกปาก
“ท่านมาของท่านนานแล้ว เมื่อก่อนนังหนูมันยังเด็ก ท่านก็ไม่อยากจะเร่งรัด ตอนนี้มันโตเป็นสาวแล้ว ท่านถึงได้มาทวงถามเอาบ่อยๆ” คราวนี้เธอหันมาที่ทราย
“อย่าดื้อดึงไปอีหนูเอ๊ย เป็นสวรรค์ลิขิต ท่านกำหนดของท่านไว้แล้ว เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องมารับขันธ์ ไม่งั้นท่านจะเล่นงานเอ็งหนักขึ้นกว่านี้อีก”
แม่อรถวายเงินให้เจ้าแม่สวนกล้วยแล้วก็จูงมือทรายออกมา
“แม่จะให้หนูรับขันธ์จริงๆเหรอ”
ทรายหันมาถามแม่อรทำตาปริบๆ
“ก็ถ้าเราไม่รู้จะแก้วิธีไหนแล้วก็ต้องลองวิธีนี้ไปก่อนแหละลูกจ๋า”
แม่อรตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สีหน้าของเธอนั้นบ่งบอกถึงความอ่อนอกอ่อนใจ
ทรายตอบรับอย่างว่าง่าย เธอเป็นสาวรุ่นที่พูดน้อย ครุ่นคิด เก็บความรู้สึกเก่ง ความจริงแล้วน้อยครั้งมากที่เธอจะปริปาก หรือร้องไห้ ใบหน้าที่ยิ้มน้อยครั้งแต่ก็ไม่ถึงกับบูดบึ้งหรือซึมเศร้า คงยากที่ใครจะสังเกต เพราะมัวแต่ชื่นชมกับความคมใสกลมเกลาเกลี้ยงกลึงที่รับกันไปหมดของดวงหน้า ใบหู โก่งคิ้ว เรียวตา สันจมูก ริมฝีปากที่เอิบอิ่ม ไปจนถึงคอระหง
แม้ในยามนี้ จะรู้ว่าเธอนึกคิดอะไรอยู่ก็ดูได้ยากยิ่ง เพราะไม่มีการแสดงออกใดๆออกมาทางสีหน้าแววตาหรือแม้กริยาท่าท่า เธอยังคงรักษาระดับการเดินต้อยๆไปกับแม่อร นิ่งสนิทเหมือนเรื่องที่พูดคุยเมื่อครู่จบลงไปนานแล้ว
เย็นวันนั้นเมื่อ 3 แม่ลูกและพ่อเลี้ยงนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะกินข้าว ทรายอดไม่ได้จึงพูดขึ้นมาว่า
“แม่.. เราลองไปหาจิตแพทย์ก่อนดีมั้ยคะ เผื่อจะมีวิธีดีกว่าไปรับขงรับขันธ์อะไรนั่น”
วิน ซึ่งนั่งซดน้ำแกงอยู่ถึงกับหัวเราะน้ำแกงพ่นจากปากกลับลงชาม พร้อมระเบิดเสียงอย่างขบขัน
“แล้วแกจะบอกหมอว่าอะไร เหอ คุณหมอขา หนูฝันร้ายค่ะ ขอยาแก้ฝันร้ายได้มั้ยคะ หรือบอกเป็นเพลงว่า คุณหมอขา หนูนอนไม่ค่อยจะหลับ ได้แต่กระส่ายกระสับ.....”
แม่อรยกฝ่ามือขึ้นทำท่าเหมือนจะตบสามี แต่คงไม่คิดจะทำจริงจัง เพียงแต่ยกขึ้นเป็นสัญญาณให้วินสงบปากสงบคำ ส่วนทรายนั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆต่อคำพูด แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นการเมินเฉย ดูเหมือนเป็นความชาชินของใครสักคนที่ต้องฟังผู้ใหญ่พูดโดยที่ตนเองไม่มีโอกาสตอบโต้ ก็ได้แต่นั่งนิ่งเก็บความคิด เก็บความรู้สึกหรือปฏิกริยาตอบสนองใดๆ
“เออ เออ โอเค พูดดีๆก็ได้” วินหันไปมองภรรยาแล้วกลับทำตัวสำรวมใหม่ พูดอย่างเป็นงานเป็นการขึ้นบ้างว่า
“คือที่แกเป็นอยู่น่ะ มันไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป็นโรค แล้วก็ยังไม่ถึงขั้นบ้า ฉันว่าหมอเขาคงไม่รู้จะจ่ายยาอะไรให้ อย่างดีก็ยานอนหลับ มันอาจเป็นอย่างที่สำนักทรงบอกก็ได้ ของแบบนี้ใครจะไปรู้ ............
ลองไปรับขันเหอะนังทราย เผื่อวันหน้าจะได้มาเปิดสำนักทรงที่บ้าน จะได้มีเงินไหลเขาบ้านมั่ง แกก็จะได้ชื่อว่า ไม่ได้มีไว้ผลาญเงินผลาญทองแต่อย่างเดียว”
“เอ๊ะ พี่ พูดแต่เรื่องเงินๆทองๆ เลิกทีได้มั้ย พูดกันบ่อยแล้ว เรื่องเงินทองที่จ่ายให้ลูกทรายก็เป็นเงินฉัน ไม่ใช่เงินพี่”
“เออ เออ เออ ไม่พูดก็ได้”
วินยอมสงบปากสงบคำอย่างเสียไม่ได้ พานลุกหนีออกไปนั่งสูบบุหรี่ ดูทีวีที่ห้องรับแขกคนเดียว
วินไม่ใช่คนเลวร้ายเสียทีเดียว เขาเคยเป็นสามีที่รับผิดชอบ เป็นพ่อเลี้ยงที่ดี มีหน้าที่การงานที่ไม่อายใคร มาเมื่อตอนเศรษฐกิจตกต่ำ วินถูกเลิกจ้าง เขาใช้เงินที่เก็บสะสมร่วมกับอรหลายแสนบาทไปทำธุรกิจ แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงประสบปัญหาขาดทุนและเงินก็หมด ครั้นจะกลับไปทำงานใหม่ ชายอายุเกือบ 50 ความรู้ก็ไม่สูงมากนัก คงไม่มีงานและเงินดีๆให้ทำอีกต่อไป
วินมารู้ว่าอรเก็บเงินไว้อีกก้อนหนึ่งจึงขอให้เธอเอาเงินก้อนนั้นออกมาให้เขาเริ่มธุรกิจใหม่ แต่อรไม่ให้ เธอกลัวว่าหากเงินก้อนที่เหลืออยู่หมดอีก เธอและครอบครัวจะตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านที่จะซุกหัวนอนก็จะไม่เหลือ เพราะบ้านที่อยู่ด้วยกันนั้นเป็นบ้านที่กู้เงินแบงก์มาซื้อ และต้องใช้รายได้ทั้งจากของเธอและวินร่วมกันผ่อนส่ง หากเกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ลำพังรายได้ของเธอไม่พอผ่อนส่งบ้านได้
เธอบอกกับวินว่าจะเอาเงินที่เหลือมาจ่ายค่าบ้านและเป็นทุนการศึกษาให้กับทราย วินจึงไม่พอใจนัก และฝังใจว่าทรายเป็นต้นเหตุที่ทำให้อรไม่ให้เงินเขามาทำธุรกิจ ทุกวันนี้วินมีอาชีพรับจ้างเล็กๆน้อยๆพอมีรายได้ซื้อเหล้ากินซื้อบุหรี่สูบแก้กลุ้มไปวันๆ ภาระหลักในการหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวจึงเป็นของอร
วินจึงดูเหมือนคนทำตัวเหลวไหลไร้สาระไปวันๆ ด้วยความรักแท้ๆ จึงยังคงอยู่กับอรได้ และไม่อยากทำร้ายสิ่งที่อรรักแม้ว่าใจจะถึงขั้นเดียดฉันทรายเอามากๆ ได้แต่สงบปากสงบคำ ยอมตกเป็นเบี้ยล่างตามความรู้สึกของลูกผู้ชายที่เคยมีความสุข มีความมั่นใจในตัวเอง เป็นหัวหน้าของครอบครัว มาเป็นตัวประกอบเล็กๆในบ้านที่ภรรยากลับขึ้นมาเป็นใหญ่ และมีลูกเลี้ยงเป็นสิ่งรักสิ่งหวงและมีคุณค่ากว่าสามีในความรู้สึกของวิน วินจึงไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้แพลมความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นคำพูดประชดประชันเสียดสีทรายและการกระทำของอรที่มีต่อทราย ต่อตัวเขาและต่อชีวิตอนาคตของทุกคนในบ้านหลังนี้
“ คืนนี้อย่านอนดึกนะลูก พรุ่งนี้ไปสำนักทรงกันแต่เช้า จะได้ให้เจ้าแม่สวนกล้วยท่านทำพิธีรับขันธ์”
แม่อรหันมาบอกทรายขณะเก็บถ้วยชามไปล้าง ทรายหันกลับมาผงกศีรษะรับแต่โดยดี แม้ว่าใจเธอจะค้านอย่างรุนแรงก็ตาม
คืนนั้น เมื่อได้ลงเอนกายกับที่นอน อรทำกิจวัตรเดิมๆอย่างที่เคยทำมา คือเอามือก่ายหน้าผาก และคิด คิดวนเวียนกับปัญหาต่างๆ ที่ดูเหมือนจะรุมเร้าเธอและครอบครัวมากขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านที่เพิ่มมากขึ้น ความไม่ลงตัวของปัญหาอคติของวิน ปัญหาประหลาดๆของทราย
ดูภายนอกแม่อรเป็นคนอ่อนไหว แต่ภายในลึกๆแล้วเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งดีคนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพ อ่อนโยนแต่บางทีก็ดูขาดกลัว จะยังไงได้ล่ะ เธอมาภาระมากมายที่ต้องรับผิดชอบ หญิงลักษณะนี้ในวัยนี้และประสบปัญหามากมายอย่างนี้ จะมีกี่คนที่มีโอกาสได้นอนหลับตาอย่างมีความสุข
อรพลิกตัวอีกครั้ง ก่อนจะหลับไป ใจก็คิดภาวนาให้พบอะไรดีๆขึ้นมาบ้างในวันพรุ่งนี้ แม้เธอจะพบว่าจริงๆแล้ว ทุกเช้าที่ตื่นขึ้น เธอรู้สึกได้ว่าสมองยังทำงานอยู่ ขณะหลับไปก็ยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในสมองไม่ได้ขาด หมดโอกาสได้นอนหลับสนิท หลับลึกดีๆอย่างจริงจังมานานหลายปีแล้ว
สาวน้อยพลังจิต ตอนที่ 1 ความฝันของทราย
ตอนที่ 1 ความฝันของทราย
ในค่ำคืนอันสงบที่อาบไล้ด้วยแสงจันทร์นวลบาง ท่ามกลางหมู่ตึกและบ้านที่แออัดกันกลางกรุง เสียงเบาบางประปรายของยวดยานบนถนนแทรกเข้าในห้องนอนอันแสนสบาย ม่านลายดอกไม้สีสวยกระพือเบาๆจากลมเป่า แสงนวลของดวงจันทร์ที่ทาบทอเข้ามาในห้องถูกกลบลบด้วยไฟดวงใหญ่ที่ตั้งบนเสาสูงเรียงรายไปตามถนน
ทราย ทอดกายไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ดวงหน้าสงบสะท้อนแสงไฟจากภายนอก บอกให้รู้ว่าสาวแรกรุ่นคนนี้มีใบหน้าคมใส ริมฝีปากอิ่ม แขนเล็กๆเบียดกันข้างกายที่ซุกในผ้าห่มหนานุ่ม ถ้าใครบังเอิญมีโอกาสเห็นภาพตรงหน้า คงเผลอมองเพลินจนลืมตัว
อีกครู่เดียว ใบหน้าคมใสที่สงบเย็นจนเพลินมองเริ่มพลิกไปมา ดวงหน้าเปลี่ยนท่าทีเป็นความหม่นหมอง และถูกเพิ่มน้ำหนักขึ้นด้วยอาการคล้ายตื่นกลัวและร้องไห้ แขนขาของคนหลับขยับเปะปะพาให้ตื่นตระหนก เธอเป็นอะไรไปน่ะ หรือกำลังฝัน
“กรี๊ด.........”
เสียงแหลมเล็กระเบิดลั่นพร้อมกับที่ทรายทะลึ่งตัวพรวดหน้าตาตื่น เธอปาดเหงื่อชุ่มโชก หายใจหอบถี่
เสียงกรีดร้องทำเอาเหล่าสุนัขในละแวกเห่าหอนขึ้นด้วยความตระหนก
เสียงเปิดปิดประตูโครมครามที่ตามด้วยเสียงปึงปังเหมือนวิ่งบ้างเดินบ้างเข้ามาในห้องเจ้า
“ฝันร้ายอีกแล้วเหรอลูก”
แม่อรเปิดประตูเข้ามาโอบกอดทรายแล้วปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
ทรายซุกดวงหน้าที่เจิ่งน้ำตาเข้ากับอกแม่อรร้องกระซิกๆ
“ไม่เอานะ ไม่ร้อง หนูโตเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็แค่ฝันร้ายนะหนูนะ”
แม่อรโยกตัวทำทีเหมือนเก้าอี้โยก มือข้างหนึ่งลูบศีรษะทราย ปลอบประโลมให้เธอผ่อนคลาย
ปากแม่อรแม้จะปลอบประโลมทราย แต่ใจก็หวั่นระแวงปนสงสัย เพราะทรายฝันเรื่องเดิมๆ เหตุการณ์ซ้ำๆอย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อก่อนอาจจะนานๆที แต่หลายเดือนมานี้ทรายฝันถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจเดิมๆนี้ถี่จนเกือบจะทุกคืนเลยทีเดียว
แม่อรเหลือบไปที่ประตู วิน สามีของเธอ พ่อเลี้ยงของทรายเดินขมวดคิ้วเข้ามา แม่อรต้องทำหน้าอ้อนวอนวินไม่ให้พูดอะไรเข้า
“แกไม่ต้องมาทำหน้าตาขอความกรุณา บอกลูกสาวตัวดีเลิกซะทีได้มั้ย กับอ้ายการก่อกวนชาวบ้านกลางดึกอย่างนี้ คนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะมันมานั่งร้องกรี๊ดๆอย่างนี้ทุกคืน ชาวบ้านเขาแทบจะนินทาว่ามันถูกพ่อเลี้ยงปล้ำเอาแล้ว โตเป็นสาวแล้ว ถ้ายังทำตัวสร้างปัญหาอยู่อย่างนี้ก็ไปๆซะ บ้านนี้มันจะได้สงบสุขขึ้นมาบ้างซะที”
วินเดินมาหยุดที่ประตู พูดอย่างหัวเสีย
แม่อรสีหน้าซึมเศร้า พลางปลอบทราย
“อย่าถือสาพ่อเขานะลูก อย่าไปเชื่อคำพูดเขานะ อย่าไปไหนนะ เขาพูดไปอย่างนั้นเอง”
ทรายยิ่งซุกหน้าร้องไห้โฮใหญ่
เธอเองก็แปลกใจ สงสัย และท้อแท้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และนับวันจะหนักขึ้นทุกที ความฝันที่สยดสยองน่าสะพรึงกลัวที่วนเวียนหลอกหลอนเธอตั้งแต่เด็กๆ นานๆครั้งถึงจะเกิด มาเมื่อ 2-3 เดือนนี้ที่มันเกิดถี่ขึ้นๆจนเป็นการฝันร้ายรายวันเอาเลยทีเดียว
ทราย สาวน้อยดวงหน้าคมใส พยายามข่มตาหลับอีกครั้งหนึ่งแต่ก็ยังไม่สำเร็จ เธอลืมตามองออกไปจับจ้องแสงจากไฟรายทางบนถนน แม้จะนอน แต่ใจนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าเข้าขั้นฟุ้งซ่าน มีเรื่องราวนับได้หลายร้อยเรื่องที่ให้เธอคิด ถ้าใครสักคนที่เป็นนักอ่านใจ หรือสังเกตคนได้จากการมองลึกเข้าไปในดวงตา จะรู้ว่า ดวงหน้าคมใสนั้น มีอะไรที่ชวนหดหู่เศร้าซึมลึกลงไป
หลุมลึกแห่งปริศนานั้นอยู่ลึกลงไปจากดวงตากลมสวยที่เปลือกตาปิดสนิทอยู่ มีแต่สมองและจิตใจเท่านั้น ที่พลุ่งพลานวิ่งวนสับสน ดวงตาที่แฝงความเศร้า หดหู่ และเดียวดาย ดวงตาที่แม้ส่องประกาย
เช้าวันนั้นหลังจากใคร่ครวญและเชื่อว่าเป็นทางเลือกดีที่สุดแล้ว แม่อรจึงจูงมือทรายไปพบคนที่เธอคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหาฝันร้ายซ้ำซากของทรายได้
เจ้าแม่สวนกล้วยพ่นควันบุหรี่โขมง มือและร่างกายที่สั่นเทาตามตำรับร่างทรงทั่วไปทำให้รู้สึกน่าเลื่อมใสอย่างจับใจของผู้พบเห็น มีแต่ทรายที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
“นังหนูคนนี้มันมีองค์ เป็นเทพชั้นสูง ท่านจะมาขอใช้ร่างมัน มันไม่ยอมเอานะซิ เหอ เหอ เหอ”
ร่างทรงสตรีวัยกลางคนที่ทั้งผอมทั้งโทรมพูดไปหัวเราะไป
แม่อรที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆพยักหน้าพร้อมพนมมือไหว้ประหลกๆ
“แล้วจะแก้ยังไงเจ้าคะ”
“ก็ให้มันรับขันธ์ พรุ่งนี้ให้มากันแต่เช้า ข้าจะทำพิธีให้ คืนนี้ข้าจะตั้งปะรำพิธีบริกรรมคาถาอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พรุ่งนี้จะได้รู้กันว่าเทพองค์ไหนมาลง เพราะจะได้เชิญท่านมาขอขมาลาโทษ และทำพิธีรับท่าน เหอ เหอ เหอ”
หญิงผอมโทรมพูดพลางหัวเราะแหบๆในลำคอ เธอพยักเพยิดให้แม่อรหันไปมองขันอลูมิเนียมที่วางอยู่บนพานข้างๆเบาะที่เจ้าแม่นั่ง มีดอกไม้ธูปเทียนวางเรียงอย่างรวกๆ พร้อมเศษแบงก์และสตางค์นับเป็นเงินได้ 399 บาท
“เมื่อเช้าวานก็มีคนมารับขัน ข้ายังวางอยู่ตรงนี้เลย เช้านี้ตอนสายๆมันโทรมาบอกว่าถูกหวยตัวบนตรงๆ ข้างล่างถูกตัววิ่ง ได้ไปสามหมื่นเหนาะๆ เหอ เหอ เหอ”
เจ้าแม่สวนกล้วยหัวเราะแล้วพูดต่ออย่างสนุกปาก
“ท่านมาของท่านนานแล้ว เมื่อก่อนนังหนูมันยังเด็ก ท่านก็ไม่อยากจะเร่งรัด ตอนนี้มันโตเป็นสาวแล้ว ท่านถึงได้มาทวงถามเอาบ่อยๆ” คราวนี้เธอหันมาที่ทราย
“อย่าดื้อดึงไปอีหนูเอ๊ย เป็นสวรรค์ลิขิต ท่านกำหนดของท่านไว้แล้ว เอ็งจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องมารับขันธ์ ไม่งั้นท่านจะเล่นงานเอ็งหนักขึ้นกว่านี้อีก”
แม่อรถวายเงินให้เจ้าแม่สวนกล้วยแล้วก็จูงมือทรายออกมา
“แม่จะให้หนูรับขันธ์จริงๆเหรอ”
ทรายหันมาถามแม่อรทำตาปริบๆ
“ก็ถ้าเราไม่รู้จะแก้วิธีไหนแล้วก็ต้องลองวิธีนี้ไปก่อนแหละลูกจ๋า”
แม่อรตอบคำถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สีหน้าของเธอนั้นบ่งบอกถึงความอ่อนอกอ่อนใจ
ทรายตอบรับอย่างว่าง่าย เธอเป็นสาวรุ่นที่พูดน้อย ครุ่นคิด เก็บความรู้สึกเก่ง ความจริงแล้วน้อยครั้งมากที่เธอจะปริปาก หรือร้องไห้ ใบหน้าที่ยิ้มน้อยครั้งแต่ก็ไม่ถึงกับบูดบึ้งหรือซึมเศร้า คงยากที่ใครจะสังเกต เพราะมัวแต่ชื่นชมกับความคมใสกลมเกลาเกลี้ยงกลึงที่รับกันไปหมดของดวงหน้า ใบหู โก่งคิ้ว เรียวตา สันจมูก ริมฝีปากที่เอิบอิ่ม ไปจนถึงคอระหง
แม้ในยามนี้ จะรู้ว่าเธอนึกคิดอะไรอยู่ก็ดูได้ยากยิ่ง เพราะไม่มีการแสดงออกใดๆออกมาทางสีหน้าแววตาหรือแม้กริยาท่าท่า เธอยังคงรักษาระดับการเดินต้อยๆไปกับแม่อร นิ่งสนิทเหมือนเรื่องที่พูดคุยเมื่อครู่จบลงไปนานแล้ว
เย็นวันนั้นเมื่อ 3 แม่ลูกและพ่อเลี้ยงนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะกินข้าว ทรายอดไม่ได้จึงพูดขึ้นมาว่า
“แม่.. เราลองไปหาจิตแพทย์ก่อนดีมั้ยคะ เผื่อจะมีวิธีดีกว่าไปรับขงรับขันธ์อะไรนั่น”
วิน ซึ่งนั่งซดน้ำแกงอยู่ถึงกับหัวเราะน้ำแกงพ่นจากปากกลับลงชาม พร้อมระเบิดเสียงอย่างขบขัน
“แล้วแกจะบอกหมอว่าอะไร เหอ คุณหมอขา หนูฝันร้ายค่ะ ขอยาแก้ฝันร้ายได้มั้ยคะ หรือบอกเป็นเพลงว่า คุณหมอขา หนูนอนไม่ค่อยจะหลับ ได้แต่กระส่ายกระสับ.....”
แม่อรยกฝ่ามือขึ้นทำท่าเหมือนจะตบสามี แต่คงไม่คิดจะทำจริงจัง เพียงแต่ยกขึ้นเป็นสัญญาณให้วินสงบปากสงบคำ ส่วนทรายนั่งนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆต่อคำพูด แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นการเมินเฉย ดูเหมือนเป็นความชาชินของใครสักคนที่ต้องฟังผู้ใหญ่พูดโดยที่ตนเองไม่มีโอกาสตอบโต้ ก็ได้แต่นั่งนิ่งเก็บความคิด เก็บความรู้สึกหรือปฏิกริยาตอบสนองใดๆ
“เออ เออ โอเค พูดดีๆก็ได้” วินหันไปมองภรรยาแล้วกลับทำตัวสำรวมใหม่ พูดอย่างเป็นงานเป็นการขึ้นบ้างว่า
“คือที่แกเป็นอยู่น่ะ มันไม่ได้ป่วย ไม่ได้เป็นโรค แล้วก็ยังไม่ถึงขั้นบ้า ฉันว่าหมอเขาคงไม่รู้จะจ่ายยาอะไรให้ อย่างดีก็ยานอนหลับ มันอาจเป็นอย่างที่สำนักทรงบอกก็ได้ ของแบบนี้ใครจะไปรู้ ............
ลองไปรับขันเหอะนังทราย เผื่อวันหน้าจะได้มาเปิดสำนักทรงที่บ้าน จะได้มีเงินไหลเขาบ้านมั่ง แกก็จะได้ชื่อว่า ไม่ได้มีไว้ผลาญเงินผลาญทองแต่อย่างเดียว”
“เอ๊ะ พี่ พูดแต่เรื่องเงินๆทองๆ เลิกทีได้มั้ย พูดกันบ่อยแล้ว เรื่องเงินทองที่จ่ายให้ลูกทรายก็เป็นเงินฉัน ไม่ใช่เงินพี่”
“เออ เออ เออ ไม่พูดก็ได้”
วินยอมสงบปากสงบคำอย่างเสียไม่ได้ พานลุกหนีออกไปนั่งสูบบุหรี่ ดูทีวีที่ห้องรับแขกคนเดียว
วินไม่ใช่คนเลวร้ายเสียทีเดียว เขาเคยเป็นสามีที่รับผิดชอบ เป็นพ่อเลี้ยงที่ดี มีหน้าที่การงานที่ไม่อายใคร มาเมื่อตอนเศรษฐกิจตกต่ำ วินถูกเลิกจ้าง เขาใช้เงินที่เก็บสะสมร่วมกับอรหลายแสนบาทไปทำธุรกิจ แต่ด้วยความไม่ชำนาญจึงประสบปัญหาขาดทุนและเงินก็หมด ครั้นจะกลับไปทำงานใหม่ ชายอายุเกือบ 50 ความรู้ก็ไม่สูงมากนัก คงไม่มีงานและเงินดีๆให้ทำอีกต่อไป
วินมารู้ว่าอรเก็บเงินไว้อีกก้อนหนึ่งจึงขอให้เธอเอาเงินก้อนนั้นออกมาให้เขาเริ่มธุรกิจใหม่ แต่อรไม่ให้ เธอกลัวว่าหากเงินก้อนที่เหลืออยู่หมดอีก เธอและครอบครัวจะตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านที่จะซุกหัวนอนก็จะไม่เหลือ เพราะบ้านที่อยู่ด้วยกันนั้นเป็นบ้านที่กู้เงินแบงก์มาซื้อ และต้องใช้รายได้ทั้งจากของเธอและวินร่วมกันผ่อนส่ง หากเกิดความผิดพลาดขึ้นอีก ลำพังรายได้ของเธอไม่พอผ่อนส่งบ้านได้
เธอบอกกับวินว่าจะเอาเงินที่เหลือมาจ่ายค่าบ้านและเป็นทุนการศึกษาให้กับทราย วินจึงไม่พอใจนัก และฝังใจว่าทรายเป็นต้นเหตุที่ทำให้อรไม่ให้เงินเขามาทำธุรกิจ ทุกวันนี้วินมีอาชีพรับจ้างเล็กๆน้อยๆพอมีรายได้ซื้อเหล้ากินซื้อบุหรี่สูบแก้กลุ้มไปวันๆ ภาระหลักในการหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัวจึงเป็นของอร
วินจึงดูเหมือนคนทำตัวเหลวไหลไร้สาระไปวันๆ ด้วยความรักแท้ๆ จึงยังคงอยู่กับอรได้ และไม่อยากทำร้ายสิ่งที่อรรักแม้ว่าใจจะถึงขั้นเดียดฉันทรายเอามากๆ ได้แต่สงบปากสงบคำ ยอมตกเป็นเบี้ยล่างตามความรู้สึกของลูกผู้ชายที่เคยมีความสุข มีความมั่นใจในตัวเอง เป็นหัวหน้าของครอบครัว มาเป็นตัวประกอบเล็กๆในบ้านที่ภรรยากลับขึ้นมาเป็นใหญ่ และมีลูกเลี้ยงเป็นสิ่งรักสิ่งหวงและมีคุณค่ากว่าสามีในความรู้สึกของวิน วินจึงไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะได้แพลมความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นคำพูดประชดประชันเสียดสีทรายและการกระทำของอรที่มีต่อทราย ต่อตัวเขาและต่อชีวิตอนาคตของทุกคนในบ้านหลังนี้
“ คืนนี้อย่านอนดึกนะลูก พรุ่งนี้ไปสำนักทรงกันแต่เช้า จะได้ให้เจ้าแม่สวนกล้วยท่านทำพิธีรับขันธ์”
แม่อรหันมาบอกทรายขณะเก็บถ้วยชามไปล้าง ทรายหันกลับมาผงกศีรษะรับแต่โดยดี แม้ว่าใจเธอจะค้านอย่างรุนแรงก็ตาม
คืนนั้น เมื่อได้ลงเอนกายกับที่นอน อรทำกิจวัตรเดิมๆอย่างที่เคยทำมา คือเอามือก่ายหน้าผาก และคิด คิดวนเวียนกับปัญหาต่างๆ ที่ดูเหมือนจะรุมเร้าเธอและครอบครัวมากขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านที่เพิ่มมากขึ้น ความไม่ลงตัวของปัญหาอคติของวิน ปัญหาประหลาดๆของทราย
ดูภายนอกแม่อรเป็นคนอ่อนไหว แต่ภายในลึกๆแล้วเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งดีคนหนึ่ง เธอเป็นผู้หญิงที่สุภาพ อ่อนโยนแต่บางทีก็ดูขาดกลัว จะยังไงได้ล่ะ เธอมาภาระมากมายที่ต้องรับผิดชอบ หญิงลักษณะนี้ในวัยนี้และประสบปัญหามากมายอย่างนี้ จะมีกี่คนที่มีโอกาสได้นอนหลับตาอย่างมีความสุข
อรพลิกตัวอีกครั้ง ก่อนจะหลับไป ใจก็คิดภาวนาให้พบอะไรดีๆขึ้นมาบ้างในวันพรุ่งนี้ แม้เธอจะพบว่าจริงๆแล้ว ทุกเช้าที่ตื่นขึ้น เธอรู้สึกได้ว่าสมองยังทำงานอยู่ ขณะหลับไปก็ยังมีเรื่องนั้นเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในสมองไม่ได้ขาด หมดโอกาสได้นอนหลับสนิท หลับลึกดีๆอย่างจริงจังมานานหลายปีแล้ว