โมโม่ (Momo) เป็นวรรณกรรมเยาวชน ซึ่งแแต่งโดย
มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ (Michael Ende) นักเขียนชาวเยอรมัน เจ้าของผลงานเรื่อง Never Ending Story ที่โด่งดัง ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516)
โมโม่ คือชื่อตัวเอกของเรื่อง เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร นอกจากการฟัง ในเรื่องได้เล่าว่าทุกครั้งคนที่มีปัญหาอะไรในใจ มาเล่าให้โมโม่ฟัง ก็จะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้เอง หรือแม้บางครั้งมีคนทะเลาะกัน เมื่อสองคนนั้นได้มาหาโมโม่และเล่าเหตุการณ์ให้โมโม่ฟัง ไม่นานทั้งสองก็คืนดีได้เอง ทั้ง ๆ ที่โมโม่ไม่ได้ให้คำปรึกษาอะไรเลย ไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้าใด ๆ สิ่งเดียวที่เธอทำคือตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้พูดกำลังเล่า เพียงแค่นั้นผู้พูดก็สามารถจับความคิดขึ้นมาเองได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่ามันอยู่ในสมองของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้แล้ว โมโม่มีเพื่อน ๆ ไปมาหาสู่มากมาย จนวันหนึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น บรรดาเพื่อนของเธอก็ค่อย ๆ หายหน้าหายตาไป เนื่องจากไม่มีเวลาให้เธอ เหตุการณ์นั้นเริ่มต้นจากการปรากฏตัวของผู้ชายสีเทา ลักษณะภายนอกของพวกเขาคือใส่สูท ถือกระเป๋าเอกสาร และคาบซิการ์ จะว่าไปก็คลับคล้ายคลับคลากับภาพลักษณ์ของนักธุรกิจทั่วไปในสมัยปัจจุบัน พวกผู้ชายสีเทานี้ได้ปฏิบัติการอย่างหนึ่ง คือการชักจูงผู้คนต่าง ๆ ให้ "ประหยัดเวลา" โดยการบอกว่า เวลาเป็นสิ่งมีค่า ถ้ายิ่งประหยัดไว้มากเท่าไร ในอนาคตคุณก็จะมีเวลาเพิ่มมากเท่านั้น
ผู้คนต่างเชื่อในคำบอกเล่าดังกล่าว จึงพากันประหยัดเวลากันมากขึ้น จากที่เคยทำงานอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ ยิ้มแย้มทักทายลูกค้า ก็กลับกลายเป็นทำงานให้มากที่สุดภายในเวลาที่น้อยที่สุด การทักทายลูกค้าเป็นสิ่งไม่จำเป็น ผู้คนจึงมีใบหน้าบูดบึ้งกันมากขึ้น ผู้คนในสังคมค่อย ๆ เปลี่ยนไปเช่นนี้ทีละนิด กลายเป็นคนเย็นชา ไม่สนใจสิ่งใด เพราะเห็นว่าไม่มีความสำคัญและเป็นการ "เสียเวลา" จนในที่สุด ทุกคนก็แทบไม่เหลือเวลาอีกเลย และไม่มีใครเลยที่ตระหนักถึงเหตุการณ์เลวร้ายนี้ นอกจากเด็ก ๆ และโมโม่
มีเพียงแต่เด็กเท่านั้นที่รู้สึก และมีเพียงเด็ก ๆ เท่านั้นที่พวกกลุ่มผู้ชายสีเทาทำอะไรไม่ได้ เพราะเด็ก ๆ มีเวลาเหลือมากมาย ไม่จำเป็นต้องประหยัดแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าเด็ก ๆ และโมโม่จึงต้องต่อสู้กับผู้ชายสีเทาเพื่อแย่งชิงเวลาของทุกคนกลับคืนมา
* * * * *
ความดีงามของหนังสือเล่มนี้อาจจะประกอบด้วยเหตุผลหลายประการรวมกัน อย่างแรก คือตัวละครโมโม่ ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง โมโม่เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่สิ่งพิเศษของเธอคือความสามารถในการฟัง ฟังเผิน ๆ แล้วเหมือนเป็นความสามารถพิเศษที่แสนจะธรรมดา เพราะใคร ๆ ก็ฟังได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ฟังเป็น การฟังที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงการใช้หูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น แต่คือการทำความเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายด้วย ผู้ฟังที่ดีจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ รวมไปถึงความรู้สึกของผู้พูด ทั้งนี้ คนเราจะรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าการฟังแบบธรรมดา (ใช้หูฟัง) และแบบพิเศษ (ใช้ใจฟัง) นั้นแตกต่างกันอย่างไร ก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายพูดเองนั่นแล เพราะเมื่อใดที่เราได้เจอผู้ฟังแบบที่สองนั้นเราจะรับรู้ได้เอง เราจะรู้สึกราวกับว่ามีใครอีกคนหนึ่งบนโลกที่เข้าใจเราจริง ๆ
นอกจากนี้ ในเรื่องมีตัวละครอื่นที่น่าสนใจมากมาย เช่น จีจี้ เพื่อนของโมโม่ที่เป็นนักเล่านิทาน คัสซีโอเพย่า เต่าที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าครึ่งชั่วโมงเป๊ะ การถกกันของโมโม่กับเต่าคัตสึเพย่าก็น่าสนใจ (การล่วงรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถือว่ามีประโยชน์หรือเปล่า) และยังมี ท่านโฮร่า เจ้าแห่งกาลเวลา ชื่อเต็มคือ เสคคุนดุส มินุททิอุส โฮร่า ครั้งที่อ่านฉบับภาษาไทยก็คิดว่าชื่อแปลกจัง พอเห็นชื่อภาษาอังกฤษเขียนว่า Master Secundus Minutus Hora ก็เลยเข้าใจที่มาของชื่อ น่าจะมาจากคำว่า Second, Minute และ Hour ที่แปลว่า วินาที นาที และชั่วโมง ส่วนปริศนาคำทายของท่านโฮร่าก็มีลูกเล่นดี ส่วนตัวละครผู้ชายสีเทานี่ เห็นได้ชัดเจนมากว่าต้องการเสียดสีนักธุรกิจผู้สวมสูท สูบซิการ์ และถือกระเป๋าเอกสารเดินอย่างเร่งรีบเสมอ
สิ่งที่เราชอบอีกประการหนึ่งจากเรื่องนี้คือการผูกเรื่อง ตัวละคร และสถานที่ โดยค่อย ๆ เริ่มเกริ่นตัวละครไปทีละบทสองบท ทำให้เราเริ่มรู้จักแล้วผูกพัน พร้อมทั้งเห็นภาพรวมของเมืองว่ามีบรรยากาศอย่างไร (ฉากหลังของเรื่องนี้ได้ต้นแบบวัฒนธรรมและวิถีชีวิตมาจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี) เมืองที่โมโม่อาศัยอยู่ในช่วงแรกดูไม่แตกต่างจากโลกแห่งความจริงมากนัก จากนั้นเมื่อเนื้อเรื่องเข้าสู่ปมดราม่า ก็ทำได้สนุกและน่าติดตามอย่างยิ่งเมื่อความแฟนตาซีเข้ามาแทรกได้อย่างแนบเนียน
นอกจากนี้ คำพูดของตัวละครก็แอบแฝงความคมคายอยู่หลายตอน มีการพูดถึงปรัชญาเกี่ยวกับ “เวลา” ไว้อยู่ประปราย การบรรยายสิ่งของต่าง ๆ ในเรื่องนี้ช่างน่าจับใจและเต็มไปด้วยจินตนาการ เช่น คำบรรยายของดอกไม้ชั่วโมงนั้น งดงามมากเสียจนทำให้ผู้อ่านอย่างเราอยากชื่นชมแม้เพียงสักครั้ง และถึงแม้ลึก ๆ เราจะรู้ดีว่าของเหล่านี้อยู่แต่ในแดนแห่งจินตนาการเท่านั้น แต่ในชั่วขณะหนึ่งเราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าอาจจะมีอยู่จริง ณ ที่ไหนสักแห่ง ถ้าใครเคยอ่านเรื่อง Never Ending Story คงจะทราบดีว่าผู้เขียนมีฝีมือในการแต่งแต้มตัวละครจากจินตนาการของเขาสักเพียงใด หากแต่เรื่องนี้อาจทำให้เรารู้สึกแตกต่างไปสักนิดก็ตรงที่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น
เรื่องโมโม่ สะท้อนถึงยุคสมัยที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว จึงเกิดความคิดสองกระแสขึ้นมาคือ "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" และ "เวลาคือชีวิต" ทั้งที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อราว ๆ 40 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาก็ไม่ได้เก่าตามกาลเวลาเลย กลับแต่จะเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้นเสียอีก เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วที่สุดแล้ว ทั้งนี้ การที่เทคโนโลยีก้าวไปไกล อาจทำให้อุปกรณ์เทคโนโลยีแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนทำให้มนุษย์เราเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันไปโดยไม่รู้ตัว แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีแต่อย่างใด เพียงแต่เตือนใจให้ผู้อ่านกลับมาทบทวนดูว่า ทุกวันนี้เราตั้งหน้าตั้งทำงาน และใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเร่งรีบจนลืมที่จะแบ่งเวลาไว้ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจไม่สำคัญแต่ทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า
ถ้าคุณปู่มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ได้มาเห็นสังคมยุคปัจจุบัน ไม่แน่อาจจะมีโมโม่ภาคสองออกมาก็ได้ จากผู้ชายสีเทาสูบซิการ์ คงกลายเป็นผู้ชายสีเทาเจ้าของกิจการก้มหน้ามองมือถือแทน (ที่จริงคงไม่ได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้นแล้วด้วย) เท่าที่ไปอ่านประวัติของมิฆาเอ็ล เอ็นเด้ ที่พูดเกี่ยวกับงานเขียนของตัวเอง เขาใช้เวลาถึง 6 ปีในการขัดเกลาเรื่องโมโม่ให้ออกมาอย่างที่พอใจ เขาตั้งใจที่จะให้ตัวเอกในเรื่องนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนฮีโร่ในเรื่องอื่น ๆ แต่ต้องการให้มีความพิเศษด้วยตัวตนของตัวละครเอง อาจเป็นเพราะว่า เอ็นเด้ต้องการให้โมโม่เป็นตัวแทนของเราทุกคน เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของเวลา เพราะแค่นั้นก็พิเศษเพียงพอแล้ว
“Time is life itself, and life resides in the human heart.”
― Michael Ende, Momo
เขียนโดย: ฟุ้งซ่านจัง
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/2017/01/10/momo-michael-ende/
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.michaelende.de/en/author/biography/momo-rome-and-a-new-sense-of-time
[Book Review] Momo เพราะเวลาคือชีวิต และชีวิตสถิตอยู่ในหัวใจ
โมโม่ (Momo) เป็นวรรณกรรมเยาวชน ซึ่งแแต่งโดย มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ (Michael Ende) นักเขียนชาวเยอรมัน เจ้าของผลงานเรื่อง Never Ending Story ที่โด่งดัง ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516)
โมโม่ คือชื่อตัวเอกของเรื่อง เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร นอกจากการฟัง ในเรื่องได้เล่าว่าทุกครั้งคนที่มีปัญหาอะไรในใจ มาเล่าให้โมโม่ฟัง ก็จะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาได้เอง หรือแม้บางครั้งมีคนทะเลาะกัน เมื่อสองคนนั้นได้มาหาโมโม่และเล่าเหตุการณ์ให้โมโม่ฟัง ไม่นานทั้งสองก็คืนดีได้เอง ทั้ง ๆ ที่โมโม่ไม่ได้ให้คำปรึกษาอะไรเลย ไม่ได้พูดหรือแสดงสีหน้าใด ๆ สิ่งเดียวที่เธอทำคือตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้พูดกำลังเล่า เพียงแค่นั้นผู้พูดก็สามารถจับความคิดขึ้นมาเองได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่ามันอยู่ในสมองของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว
ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้แล้ว โมโม่มีเพื่อน ๆ ไปมาหาสู่มากมาย จนวันหนึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น บรรดาเพื่อนของเธอก็ค่อย ๆ หายหน้าหายตาไป เนื่องจากไม่มีเวลาให้เธอ เหตุการณ์นั้นเริ่มต้นจากการปรากฏตัวของผู้ชายสีเทา ลักษณะภายนอกของพวกเขาคือใส่สูท ถือกระเป๋าเอกสาร และคาบซิการ์ จะว่าไปก็คลับคล้ายคลับคลากับภาพลักษณ์ของนักธุรกิจทั่วไปในสมัยปัจจุบัน พวกผู้ชายสีเทานี้ได้ปฏิบัติการอย่างหนึ่ง คือการชักจูงผู้คนต่าง ๆ ให้ "ประหยัดเวลา" โดยการบอกว่า เวลาเป็นสิ่งมีค่า ถ้ายิ่งประหยัดไว้มากเท่าไร ในอนาคตคุณก็จะมีเวลาเพิ่มมากเท่านั้น
ผู้คนต่างเชื่อในคำบอกเล่าดังกล่าว จึงพากันประหยัดเวลากันมากขึ้น จากที่เคยทำงานอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบ ยิ้มแย้มทักทายลูกค้า ก็กลับกลายเป็นทำงานให้มากที่สุดภายในเวลาที่น้อยที่สุด การทักทายลูกค้าเป็นสิ่งไม่จำเป็น ผู้คนจึงมีใบหน้าบูดบึ้งกันมากขึ้น ผู้คนในสังคมค่อย ๆ เปลี่ยนไปเช่นนี้ทีละนิด กลายเป็นคนเย็นชา ไม่สนใจสิ่งใด เพราะเห็นว่าไม่มีความสำคัญและเป็นการ "เสียเวลา" จนในที่สุด ทุกคนก็แทบไม่เหลือเวลาอีกเลย และไม่มีใครเลยที่ตระหนักถึงเหตุการณ์เลวร้ายนี้ นอกจากเด็ก ๆ และโมโม่
มีเพียงแต่เด็กเท่านั้นที่รู้สึก และมีเพียงเด็ก ๆ เท่านั้นที่พวกกลุ่มผู้ชายสีเทาทำอะไรไม่ได้ เพราะเด็ก ๆ มีเวลาเหลือมากมาย ไม่จำเป็นต้องประหยัดแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าเด็ก ๆ และโมโม่จึงต้องต่อสู้กับผู้ชายสีเทาเพื่อแย่งชิงเวลาของทุกคนกลับคืนมา
ความดีงามของหนังสือเล่มนี้อาจจะประกอบด้วยเหตุผลหลายประการรวมกัน อย่างแรก คือตัวละครโมโม่ ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง โมโม่เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง แต่สิ่งพิเศษของเธอคือความสามารถในการฟัง ฟังเผิน ๆ แล้วเหมือนเป็นความสามารถพิเศษที่แสนจะธรรมดา เพราะใคร ๆ ก็ฟังได้ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ฟังเป็น การฟังที่แท้จริงไม่ได้เป็นเพียงการใช้หูฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น แต่คือการทำความเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายด้วย ผู้ฟังที่ดีจะสามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ รวมไปถึงความรู้สึกของผู้พูด ทั้งนี้ คนเราจะรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าการฟังแบบธรรมดา (ใช้หูฟัง) และแบบพิเศษ (ใช้ใจฟัง) นั้นแตกต่างกันอย่างไร ก็ต่อเมื่อเราเป็นฝ่ายพูดเองนั่นแล เพราะเมื่อใดที่เราได้เจอผู้ฟังแบบที่สองนั้นเราจะรับรู้ได้เอง เราจะรู้สึกราวกับว่ามีใครอีกคนหนึ่งบนโลกที่เข้าใจเราจริง ๆ
นอกจากนี้ ในเรื่องมีตัวละครอื่นที่น่าสนใจมากมาย เช่น จีจี้ เพื่อนของโมโม่ที่เป็นนักเล่านิทาน คัสซีโอเพย่า เต่าที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าครึ่งชั่วโมงเป๊ะ การถกกันของโมโม่กับเต่าคัตสึเพย่าก็น่าสนใจ (การล่วงรู้อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถือว่ามีประโยชน์หรือเปล่า) และยังมี ท่านโฮร่า เจ้าแห่งกาลเวลา ชื่อเต็มคือ เสคคุนดุส มินุททิอุส โฮร่า ครั้งที่อ่านฉบับภาษาไทยก็คิดว่าชื่อแปลกจัง พอเห็นชื่อภาษาอังกฤษเขียนว่า Master Secundus Minutus Hora ก็เลยเข้าใจที่มาของชื่อ น่าจะมาจากคำว่า Second, Minute และ Hour ที่แปลว่า วินาที นาที และชั่วโมง ส่วนปริศนาคำทายของท่านโฮร่าก็มีลูกเล่นดี ส่วนตัวละครผู้ชายสีเทานี่ เห็นได้ชัดเจนมากว่าต้องการเสียดสีนักธุรกิจผู้สวมสูท สูบซิการ์ และถือกระเป๋าเอกสารเดินอย่างเร่งรีบเสมอ
สิ่งที่เราชอบอีกประการหนึ่งจากเรื่องนี้คือการผูกเรื่อง ตัวละคร และสถานที่ โดยค่อย ๆ เริ่มเกริ่นตัวละครไปทีละบทสองบท ทำให้เราเริ่มรู้จักแล้วผูกพัน พร้อมทั้งเห็นภาพรวมของเมืองว่ามีบรรยากาศอย่างไร (ฉากหลังของเรื่องนี้ได้ต้นแบบวัฒนธรรมและวิถีชีวิตมาจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี) เมืองที่โมโม่อาศัยอยู่ในช่วงแรกดูไม่แตกต่างจากโลกแห่งความจริงมากนัก จากนั้นเมื่อเนื้อเรื่องเข้าสู่ปมดราม่า ก็ทำได้สนุกและน่าติดตามอย่างยิ่งเมื่อความแฟนตาซีเข้ามาแทรกได้อย่างแนบเนียน
นอกจากนี้ คำพูดของตัวละครก็แอบแฝงความคมคายอยู่หลายตอน มีการพูดถึงปรัชญาเกี่ยวกับ “เวลา” ไว้อยู่ประปราย การบรรยายสิ่งของต่าง ๆ ในเรื่องนี้ช่างน่าจับใจและเต็มไปด้วยจินตนาการ เช่น คำบรรยายของดอกไม้ชั่วโมงนั้น งดงามมากเสียจนทำให้ผู้อ่านอย่างเราอยากชื่นชมแม้เพียงสักครั้ง และถึงแม้ลึก ๆ เราจะรู้ดีว่าของเหล่านี้อยู่แต่ในแดนแห่งจินตนาการเท่านั้น แต่ในชั่วขณะหนึ่งเราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าอาจจะมีอยู่จริง ณ ที่ไหนสักแห่ง ถ้าใครเคยอ่านเรื่อง Never Ending Story คงจะทราบดีว่าผู้เขียนมีฝีมือในการแต่งแต้มตัวละครจากจินตนาการของเขาสักเพียงใด หากแต่เรื่องนี้อาจทำให้เรารู้สึกแตกต่างไปสักนิดก็ตรงที่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น
เรื่องโมโม่ สะท้อนถึงยุคสมัยที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว จึงเกิดความคิดสองกระแสขึ้นมาคือ "เวลาเป็นเงินเป็นทอง" และ "เวลาคือชีวิต" ทั้งที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อราว ๆ 40 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหาก็ไม่ได้เก่าตามกาลเวลาเลย กลับแต่จะเข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้นเสียอีก เพราะยุคปัจจุบันเป็นยุคที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วที่สุดแล้ว ทั้งนี้ การที่เทคโนโลยีก้าวไปไกล อาจทำให้อุปกรณ์เทคโนโลยีแทรกซึมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จนทำให้มนุษย์เราเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันไปโดยไม่รู้ตัว แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีแต่อย่างใด เพียงแต่เตือนใจให้ผู้อ่านกลับมาทบทวนดูว่า ทุกวันนี้เราตั้งหน้าตั้งทำงาน และใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเร่งรีบจนลืมที่จะแบ่งเวลาไว้ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจไม่สำคัญแต่ทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า
ถ้าคุณปู่มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ได้มาเห็นสังคมยุคปัจจุบัน ไม่แน่อาจจะมีโมโม่ภาคสองออกมาก็ได้ จากผู้ชายสีเทาสูบซิการ์ คงกลายเป็นผู้ชายสีเทาเจ้าของกิจการก้มหน้ามองมือถือแทน (ที่จริงคงไม่ได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้นแล้วด้วย) เท่าที่ไปอ่านประวัติของมิฆาเอ็ล เอ็นเด้ ที่พูดเกี่ยวกับงานเขียนของตัวเอง เขาใช้เวลาถึง 6 ปีในการขัดเกลาเรื่องโมโม่ให้ออกมาอย่างที่พอใจ เขาตั้งใจที่จะให้ตัวเอกในเรื่องนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเหมือนฮีโร่ในเรื่องอื่น ๆ แต่ต้องการให้มีความพิเศษด้วยตัวตนของตัวละครเอง อาจเป็นเพราะว่า เอ็นเด้ต้องการให้โมโม่เป็นตัวแทนของเราทุกคน เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของเวลา เพราะแค่นั้นก็พิเศษเพียงพอแล้ว
“Time is life itself, and life resides in the human heart.”
― Michael Ende, Momo
เขียนโดย: ฟุ้งซ่านจัง
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/2017/01/10/momo-michael-ende/
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.michaelende.de/en/author/biography/momo-rome-and-a-new-sense-of-time