จะตอบคำถามนี้ได้ต้องเข้าใจก่อนว่า raw file กับ jpg คืออะไร
จากการที่ผมไม่ค่อยเข้าใจภาพที่ถ่ายเป็น raw file กับ jpg ดีนักเลยตั้งถามในกระทู้นี้
"ทำอย่างไรภาพ jpg จึงจะคมชัดใกล้เคียงภาพ raw?"
https://ppantip.com/topic/35985208
เดิมทีผมเข้าใจว่า raw file มีขนาดใหญ่และเก็บรายละเอียดทุกเม็ด ในขณะที่ jpg มีการบีบอัดข้อมูลทำให้มีการสูญเสียรายละเอียดบางส่วน แต่คำตอบที่เพื่อนๆให้ความรู้รวมถึงหาเพิ่มเติมทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วภาพ jpg เป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ควรออกมาสวยกว่า raw file ที่เป็นเพียงข้อมูลดิบ(และจริงๆแล้วมันไม่มีภาพด้วยซ้ำ)
Jpg มันเป็นผลลัพธ์ในขณะที่ raw มันเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างทาง เราจึงไม่ควรเปรียบเทียบลักษณะนั้น ถ้าเข้าใจตรงนี้สิ่งที่ควรถามต่อคือเราควรตั้งกล้องถ่ายเป็น jpg แต่แรกหรือที่นิยมพูดว่าจบหลังกล้องหรือเราควรถ่าย raw แล้วมาปรับแต่งและสุดท้ายแปลงไฟล์เป็น jpg ในภายหลัง
**********
เมื่อเริ่มต้นถ่ายภาพไม่ว่าจะเลือกถ่ายเป็น raw หรือ jpg กล้องจะบันทึกภาพเป็น raw ก่อน จากนั้นมีสองทางเลือก ถ้าตั้งค่าเป็น jpg คนที่แต่งภาพ raw เป็น jpg คือตัวกล้องเอง แต่ถ้าตั้งค่าเป็น raw หลังจาก import file เข้าโปรแกรมแล้วคนที่แต่งภาพ raw เป็น jpg คือตัวเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกวิธีใดสุดท้ายกระบวนการก็ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
ถ้าเช่นนั้นแบบไหนดีกว่าระหว่างกล้องโปรเซสให้หรือเราใช้โปรแกรมโปรเซสเอง คนส่วนใหญ่คิดว่าทำเองดีกว่าเพราะสามารถแต่งตามที่ชอบได้ แต่อย่าลืมว่าการถ่ายภาพ jpg นั้นเราเป็นคนเลือกปรับค่าต่างๆตามที่เราชอบเช่นกัน ทำไมเราไม่ปรับค่าต่างๆตอนถ่ายแล้วให้กล้องโปรเซสภาพให้เลยโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมในภายหลัง อ่านไปอ่านมางงไหมเนี่ย เผอิญผมไปเจอบทความของคุณ Ken Rockwell(หลายคนคงรู้จักดี) ที่ลงไว้ตั้งแต่ปี 2009 เผื่อใครสนใจ
http://www.kenrockwell.com/tech/raw.htm
สรุปคร่าวๆนะครับเผื่อใครขึ้เกียจตามไปอ่าน
หัวใจสำคัญอยู่ที่ "เวลา"
ถ้าเราเป็นคนมีเวลาเหลือเฟือ ยังถ่ายภาพไม่เก่ง เก่งแล้วแต่กันพลาดหรือต้องการภาพไปแต่ง effect เพิ่มเติมเพื่อจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ การเลือกถ่าย raw เราสามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ในภายหลัง
เขาว่าปีหนึ่งถ่ายภาพหลายพันเป็นหมื่นภาพและส่งงานให้ลูกค้าอีก ใครจะมีเวลาไปโปรเซสภาพ raw ตัวเขาเองทุกวันนี้ถ่ายแต่ jpg อย่างเดียวโดยไม่ถ่าย raw เลย ถ้าตั้งค่า jpg ให้มีขนาดใหญ่+ฝีมือการถ่ายภาพคุณภาพที่ได้แทบไม่ต่างกัน ทุกวันนี้คนเราหมกภาพ raw ในฮาร์ดดิสก์มหาศาลซึ่งเปลืองพื้นที่มากจะมีสักกี่คนที่ได้กลับไปโปรเซสภาพจริงๆหรือได้ทำสักกี่รูป การถ่ายภาพเป็น jpg แล้วเสร็จในคราวเดียวสามารถส่งงานให้ลูกค้าได้และสามารถเริ่มงานโปรเจ็กใหม่ได้ทันที ชีวิตน่าจะสุขีกว่าเดิม
เพราะจริงๆสิ่งสุดท้ายที่เราต้องการจากการถ่ายภาพคือ jpg (tiff, png หรืออะไรก็แล้วแต่) เพื่อเอาไปใช้งาน ชื่นชม ขาย ฯลฯ เราคงไม่ต้องการภาพ raw จริงๆ(เว้นไว้แต่ที่บอกไว้ข้างบนนะครับ)
นั่นละฮะท่านผู้ชม แหม่...จะทำอย่างพี่ได้ต้องเป็นนักถ่ายขั้นเทพพอควรเลย แต่...มันก็ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้ผม(หรือมุมมองเก่าสำหรับเพื่อนๆ)ว่าสุดท้าย output ที่เราต้องการจริงๆคืออะไร ถ้าเราตั้งเป้าให้ถ่าย jpg ได้เจ๋งในคราวเดียวและลดการสะสม raw อาจทำให้ลด workflow หรือขั้นตอนการทำงานของคนที่ถ่ายรูปเป็นมืออาชีพได้มากเลยครับ
ครับ...ลงไว้เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ด้วยกัน เพื่อนๆเห็นยังไงบ้าง ตรงไหนเข้าใจไม่ถูกต้องช่วยชี้แนะก็ดีครับ ขอบคุณครับ
ภาพ raw file จำเป็นจริงหรือ? หรือถ่ายแค่ jpg ก็พอ
จากการที่ผมไม่ค่อยเข้าใจภาพที่ถ่ายเป็น raw file กับ jpg ดีนักเลยตั้งถามในกระทู้นี้
"ทำอย่างไรภาพ jpg จึงจะคมชัดใกล้เคียงภาพ raw?" https://ppantip.com/topic/35985208
เดิมทีผมเข้าใจว่า raw file มีขนาดใหญ่และเก็บรายละเอียดทุกเม็ด ในขณะที่ jpg มีการบีบอัดข้อมูลทำให้มีการสูญเสียรายละเอียดบางส่วน แต่คำตอบที่เพื่อนๆให้ความรู้รวมถึงหาเพิ่มเติมทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วภาพ jpg เป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ควรออกมาสวยกว่า raw file ที่เป็นเพียงข้อมูลดิบ(และจริงๆแล้วมันไม่มีภาพด้วยซ้ำ)
Jpg มันเป็นผลลัพธ์ในขณะที่ raw มันเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างทาง เราจึงไม่ควรเปรียบเทียบลักษณะนั้น ถ้าเข้าใจตรงนี้สิ่งที่ควรถามต่อคือเราควรตั้งกล้องถ่ายเป็น jpg แต่แรกหรือที่นิยมพูดว่าจบหลังกล้องหรือเราควรถ่าย raw แล้วมาปรับแต่งและสุดท้ายแปลงไฟล์เป็น jpg ในภายหลัง
**********
เมื่อเริ่มต้นถ่ายภาพไม่ว่าจะเลือกถ่ายเป็น raw หรือ jpg กล้องจะบันทึกภาพเป็น raw ก่อน จากนั้นมีสองทางเลือก ถ้าตั้งค่าเป็น jpg คนที่แต่งภาพ raw เป็น jpg คือตัวกล้องเอง แต่ถ้าตั้งค่าเป็น raw หลังจาก import file เข้าโปรแกรมแล้วคนที่แต่งภาพ raw เป็น jpg คือตัวเรา ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกวิธีใดสุดท้ายกระบวนการก็ไปสู่จุดหมายเดียวกัน
ถ้าเช่นนั้นแบบไหนดีกว่าระหว่างกล้องโปรเซสให้หรือเราใช้โปรแกรมโปรเซสเอง คนส่วนใหญ่คิดว่าทำเองดีกว่าเพราะสามารถแต่งตามที่ชอบได้ แต่อย่าลืมว่าการถ่ายภาพ jpg นั้นเราเป็นคนเลือกปรับค่าต่างๆตามที่เราชอบเช่นกัน ทำไมเราไม่ปรับค่าต่างๆตอนถ่ายแล้วให้กล้องโปรเซสภาพให้เลยโดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมในภายหลัง อ่านไปอ่านมางงไหมเนี่ย เผอิญผมไปเจอบทความของคุณ Ken Rockwell(หลายคนคงรู้จักดี) ที่ลงไว้ตั้งแต่ปี 2009 เผื่อใครสนใจ
http://www.kenrockwell.com/tech/raw.htm
สรุปคร่าวๆนะครับเผื่อใครขึ้เกียจตามไปอ่าน
หัวใจสำคัญอยู่ที่ "เวลา"
ถ้าเราเป็นคนมีเวลาเหลือเฟือ ยังถ่ายภาพไม่เก่ง เก่งแล้วแต่กันพลาดหรือต้องการภาพไปแต่ง effect เพิ่มเติมเพื่อจุดประสงค์อะไรก็แล้วแต่ การเลือกถ่าย raw เราสามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ในภายหลัง
เขาว่าปีหนึ่งถ่ายภาพหลายพันเป็นหมื่นภาพและส่งงานให้ลูกค้าอีก ใครจะมีเวลาไปโปรเซสภาพ raw ตัวเขาเองทุกวันนี้ถ่ายแต่ jpg อย่างเดียวโดยไม่ถ่าย raw เลย ถ้าตั้งค่า jpg ให้มีขนาดใหญ่+ฝีมือการถ่ายภาพคุณภาพที่ได้แทบไม่ต่างกัน ทุกวันนี้คนเราหมกภาพ raw ในฮาร์ดดิสก์มหาศาลซึ่งเปลืองพื้นที่มากจะมีสักกี่คนที่ได้กลับไปโปรเซสภาพจริงๆหรือได้ทำสักกี่รูป การถ่ายภาพเป็น jpg แล้วเสร็จในคราวเดียวสามารถส่งงานให้ลูกค้าได้และสามารถเริ่มงานโปรเจ็กใหม่ได้ทันที ชีวิตน่าจะสุขีกว่าเดิม
เพราะจริงๆสิ่งสุดท้ายที่เราต้องการจากการถ่ายภาพคือ jpg (tiff, png หรืออะไรก็แล้วแต่) เพื่อเอาไปใช้งาน ชื่นชม ขาย ฯลฯ เราคงไม่ต้องการภาพ raw จริงๆ(เว้นไว้แต่ที่บอกไว้ข้างบนนะครับ)
นั่นละฮะท่านผู้ชม แหม่...จะทำอย่างพี่ได้ต้องเป็นนักถ่ายขั้นเทพพอควรเลย แต่...มันก็ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้ผม(หรือมุมมองเก่าสำหรับเพื่อนๆ)ว่าสุดท้าย output ที่เราต้องการจริงๆคืออะไร ถ้าเราตั้งเป้าให้ถ่าย jpg ได้เจ๋งในคราวเดียวและลดการสะสม raw อาจทำให้ลด workflow หรือขั้นตอนการทำงานของคนที่ถ่ายรูปเป็นมืออาชีพได้มากเลยครับ
ครับ...ลงไว้เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ด้วยกัน เพื่อนๆเห็นยังไงบ้าง ตรงไหนเข้าใจไม่ถูกต้องช่วยชี้แนะก็ดีครับ ขอบคุณครับ