By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ผลงานล่าสุดของพ่อมดฮอลลีวูดอีกคนอย่าง โรเบิร์ต เซเมกคิส ที่ในระยะหลังดูจะชื่นชอบหนังดราม่าเป็นพิเศษ เพราะผลงาน 3 เรื่องติดในช่วงหลังของเขาเป็นหนังดราม่าทั้งหมด แต่เป็นดราม่าในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ไล่ตั้งแต่ Flight ที่เป็นดราม่าจริงจังในเรื่องราวที่หมิ่นเหม่ศีลธรรม The Walk เป็นดราม่าตามความฝันแบบฟีลกู๊ด และ Allied ที่เป็นดราม่า โรแมนติกผสมแอ็คชั่น ที่แสดงให้ว่าเซกเมกคิสกำลังทำหนังทดลองแนวทางของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แมกซ์ วาแทน สายลับแคนาดา และ แมรีแอนน์ โบเซอจูร์ สายลับฝรั่งเศส ที่ต้องร่วมมือกันทำภารกิจเกี้ยวพาราสีแสดงบทบาทคู่รักปลอม ๆ เพื่อทำการลอบสังหารทูตชาวเยอรมัน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ทำให้เกิดความรักที่เลยเถิด จนทั้งสองตกลงใจแต่งงานกัน ย้ายไปอยู่ที่ลอนดอนและมีพยานรักหนึ่งคน
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปีทางรัฐบาลอังกฤษแจ้งให้แมกซ์ทราบว่าแท้จริงแล้ว แมรีแอนน์ โบเซอจูร์ เสียชีวิตไปตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้ว และโบเซอจูร์ที่เป็นภรรยาและแม่ของลูกเขา แท้จริงแล้วเป็นสายลับของเยอรมัน ทางรัฐบาลจึงให้ภารกิจแมกซ์ในการทดสอบภรรยาของตนเอง ซึ่งหากว่าเป็นสายลับเยอรมันจริง แมกซ์ต้องเป็นคนกำจัดสายลับคนนี้ด้วยตัวเอง มิฉะนั้น ทั้งสองจะถูกสั่งฆ่าทั้งคู่
ทักษะการเล่าเรื่องอันเก่งกาจของเซเมกคิสแสดงให้เราเห็นอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงเปิดเรื่อง ที่เป็นการเล่าเรื่องในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นจากเซเมกคิสมาก่อน นั้นคืออารมณ์หนังสายลับผสมโรแมนติกแบบชวนหัว ระหว่างสองตัวละคร คล้าย ๆ กับหนัง Mr. & Mrs. Smith แต่จริงจังและนิ่งกว่า
แต่หลังจากที่เรื่องเดินทางมาถึงการแต่งงานของสองตัวละครแล้ว อารมณ์หนังก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยเซเมกคิสก็หันกลับไปเล่าเรื่องในโทนดราม่าเต็มตัว ผสมกับโทนสืบสวน ซับซ้อน และแอ็คชั่น มาชูรส ซึ่งอารมณ์ดราม่าที่เราได้เห็นกัน หากใครเป็นแฟนหนังเซเมกคิสก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อย เพราะอารมณ์ดราม่าในเรื่องนี้คล้ายกับผลงานเก่าในดวงใจหลายคนอย่าง Cast Away หรือ Forrest Gump อยู่ไม่น้อย กล่าวคือมีความเมโลดราม่าอยู่สูง และอารมณ์ในแง่ของความคลุมเครือ จริงหรือไม่จริง เซเมกคิสก็สามารถดึงให้คนดูคล้อยตามไปกับตัวละครแมกซ์ได้ดี ชนิดที่ว่าเราจะต้องลุ้นหาคำตอบและอึดอัดกับสถานการณ์ไปพร้อมกับตัวละครเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่าเรื่องที่หนักแน่นและดึงคนดูได้อยู่ของเซเมกคิสที่ไม่เป็นสองรองใคร
ข้อดีอีกข้อ คือทางด้านนักแสดงอย่าง แบรด พิตต์ และ มาริยง โกติยาร์ด ที่แสดงให้เห็นถึงเคมีที่เข้าขากัน และรับส่งกันได้มีเสน่ห์ชวนมอง ซึ่งส่วนนี้นับเป็นส่วนสำคัญอีกอย่างสำหรับหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว เพราะเสน่ห์ของนักแสดงสามารถดึงสมาธิคนดูได้ ซึ่งเมื่อเป็นสองคนนี้ ที่เมื่อแสดงบทบาทที่แต่งองค์ทรงเครื่องแล้วดูดี เนี้ยบ มากว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ทำให้ ฉากที่เมื่อประกบคู่กันแล้วการดึงดูดสายตาจะทำหน้าที่ได้ชะงักนัก
แต่ข้อด้อยของหนังก็มีอยู่บ้างตรงที่บทหนังในช่วงแรกดูจะค่อนข้างรีบเล่าและให้ความสำคัญกับฉากต่าง ๆ มากกว่าความสัมพันธ์ของตัวละคร ทำให้เราคิดว่าทั้งสองคนรักกันเร็วเกินไป และช่วงหลังที่เซเมกคิสดูจะเน้นเรื่องอารมณ์อึดอัด คลุมเครือและเมโลดราม่าหนักมือเกิน จนทำให้จังหวะของเรื่องก็ช้าลง และหนังขาดความบันเทิงที่ทำให้คนได้ผ่อนคลาย
แต่โดยรวมนั้น นี่เป็นอีกหนึ่งหนังดีรับปีใหม่ ที่หลายคนมองข้ามไป แม้จะไม่ได้ดีเลิศแบบสามารถส่งเข้าออสการ์ หรือนักวิจารณ์เทคะแนนให้ แต่ต้องยอมรับว่ารูปแบบหนังแบบนี้ อารมณ์หนังแบบนี้ และทำให้ดีแบบนี้ เราไม่สามารถหาดูกันได้ง่าย ๆ
และเป็นหนังอีกเรื่องที่เล่าเรื่องในช่วงสงครามโลกครั้ง 2 ที่เล่าในอีกแง่มุมให้เราเห็น ว่าในช่วงเวลาอันโหดร้ายอย่างในช่วงสงคราม ที่แม้แต่ความรักที่ไม่สามารถเลือกเวลาเกิดนั้น ก็พ่ายแพ้ต่อการเมืองและความขัดแย้งของสิ่งชั่วร้ายที่เรียกว่าอำนาจ
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว Allied : รักในสงคราม
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
ผลงานล่าสุดของพ่อมดฮอลลีวูดอีกคนอย่าง โรเบิร์ต เซเมกคิส ที่ในระยะหลังดูจะชื่นชอบหนังดราม่าเป็นพิเศษ เพราะผลงาน 3 เรื่องติดในช่วงหลังของเขาเป็นหนังดราม่าทั้งหมด แต่เป็นดราม่าในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ไล่ตั้งแต่ Flight ที่เป็นดราม่าจริงจังในเรื่องราวที่หมิ่นเหม่ศีลธรรม The Walk เป็นดราม่าตามความฝันแบบฟีลกู๊ด และ Allied ที่เป็นดราม่า โรแมนติกผสมแอ็คชั่น ที่แสดงให้ว่าเซกเมกคิสกำลังทำหนังทดลองแนวทางของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แมกซ์ วาแทน สายลับแคนาดา และ แมรีแอนน์ โบเซอจูร์ สายลับฝรั่งเศส ที่ต้องร่วมมือกันทำภารกิจเกี้ยวพาราสีแสดงบทบาทคู่รักปลอม ๆ เพื่อทำการลอบสังหารทูตชาวเยอรมัน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ก็ทำให้เกิดความรักที่เลยเถิด จนทั้งสองตกลงใจแต่งงานกัน ย้ายไปอยู่ที่ลอนดอนและมีพยานรักหนึ่งคน
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปีทางรัฐบาลอังกฤษแจ้งให้แมกซ์ทราบว่าแท้จริงแล้ว แมรีแอนน์ โบเซอจูร์ เสียชีวิตไปตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้ว และโบเซอจูร์ที่เป็นภรรยาและแม่ของลูกเขา แท้จริงแล้วเป็นสายลับของเยอรมัน ทางรัฐบาลจึงให้ภารกิจแมกซ์ในการทดสอบภรรยาของตนเอง ซึ่งหากว่าเป็นสายลับเยอรมันจริง แมกซ์ต้องเป็นคนกำจัดสายลับคนนี้ด้วยตัวเอง มิฉะนั้น ทั้งสองจะถูกสั่งฆ่าทั้งคู่
ทักษะการเล่าเรื่องอันเก่งกาจของเซเมกคิสแสดงให้เราเห็นอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงเปิดเรื่อง ที่เป็นการเล่าเรื่องในรูปแบบที่เราไม่เคยเห็นจากเซเมกคิสมาก่อน นั้นคืออารมณ์หนังสายลับผสมโรแมนติกแบบชวนหัว ระหว่างสองตัวละคร คล้าย ๆ กับหนัง Mr. & Mrs. Smith แต่จริงจังและนิ่งกว่า
แต่หลังจากที่เรื่องเดินทางมาถึงการแต่งงานของสองตัวละครแล้ว อารมณ์หนังก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยเซเมกคิสก็หันกลับไปเล่าเรื่องในโทนดราม่าเต็มตัว ผสมกับโทนสืบสวน ซับซ้อน และแอ็คชั่น มาชูรส ซึ่งอารมณ์ดราม่าที่เราได้เห็นกัน หากใครเป็นแฟนหนังเซเมกคิสก็คงจะรู้สึกดีไม่น้อย เพราะอารมณ์ดราม่าในเรื่องนี้คล้ายกับผลงานเก่าในดวงใจหลายคนอย่าง Cast Away หรือ Forrest Gump อยู่ไม่น้อย กล่าวคือมีความเมโลดราม่าอยู่สูง และอารมณ์ในแง่ของความคลุมเครือ จริงหรือไม่จริง เซเมกคิสก็สามารถดึงให้คนดูคล้อยตามไปกับตัวละครแมกซ์ได้ดี ชนิดที่ว่าเราจะต้องลุ้นหาคำตอบและอึดอัดกับสถานการณ์ไปพร้อมกับตัวละครเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่าเรื่องที่หนักแน่นและดึงคนดูได้อยู่ของเซเมกคิสที่ไม่เป็นสองรองใคร
ข้อดีอีกข้อ คือทางด้านนักแสดงอย่าง แบรด พิตต์ และ มาริยง โกติยาร์ด ที่แสดงให้เห็นถึงเคมีที่เข้าขากัน และรับส่งกันได้มีเสน่ห์ชวนมอง ซึ่งส่วนนี้นับเป็นส่วนสำคัญอีกอย่างสำหรับหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว เพราะเสน่ห์ของนักแสดงสามารถดึงสมาธิคนดูได้ ซึ่งเมื่อเป็นสองคนนี้ ที่เมื่อแสดงบทบาทที่แต่งองค์ทรงเครื่องแล้วดูดี เนี้ยบ มากว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ทำให้ ฉากที่เมื่อประกบคู่กันแล้วการดึงดูดสายตาจะทำหน้าที่ได้ชะงักนัก
แต่ข้อด้อยของหนังก็มีอยู่บ้างตรงที่บทหนังในช่วงแรกดูจะค่อนข้างรีบเล่าและให้ความสำคัญกับฉากต่าง ๆ มากกว่าความสัมพันธ์ของตัวละคร ทำให้เราคิดว่าทั้งสองคนรักกันเร็วเกินไป และช่วงหลังที่เซเมกคิสดูจะเน้นเรื่องอารมณ์อึดอัด คลุมเครือและเมโลดราม่าหนักมือเกิน จนทำให้จังหวะของเรื่องก็ช้าลง และหนังขาดความบันเทิงที่ทำให้คนได้ผ่อนคลาย
แต่โดยรวมนั้น นี่เป็นอีกหนึ่งหนังดีรับปีใหม่ ที่หลายคนมองข้ามไป แม้จะไม่ได้ดีเลิศแบบสามารถส่งเข้าออสการ์ หรือนักวิจารณ์เทคะแนนให้ แต่ต้องยอมรับว่ารูปแบบหนังแบบนี้ อารมณ์หนังแบบนี้ และทำให้ดีแบบนี้ เราไม่สามารถหาดูกันได้ง่าย ๆ
และเป็นหนังอีกเรื่องที่เล่าเรื่องในช่วงสงครามโลกครั้ง 2 ที่เล่าในอีกแง่มุมให้เราเห็น ว่าในช่วงเวลาอันโหดร้ายอย่างในช่วงสงคราม ที่แม้แต่ความรักที่ไม่สามารถเลือกเวลาเกิดนั้น ก็พ่ายแพ้ต่อการเมืองและความขัดแย้งของสิ่งชั่วร้ายที่เรียกว่าอำนาจ
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ